โฮมเพจเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของ
|
|
ความคิดที่จะจัดให้มีระบบการชลประทาน เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากความผันแปรของดินฟ้าอากาศที่มีต่อการทำการเกษตร โดยเฉพาะการทำนาซึ่งเป็นอาชีพหลักของราษฎรไทยนั้น ได้เริ่มมาตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยที่การดำเนินการที่สำคัญคือการขุดคลองเพื่อประโยชน์ในการคมนาคมและการชลประทานร่วมกันขึ้น และการอนุญาตให้บริษัทเอกชนคือบริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม เข้าดำเนินการขุดคลองชลประทานบริเวณทุ่งรังสิต ตั้งแต่ปีพ.ศ.2431 โดยบริษัทจะได้รับกรรมสิทธิในที่ดิน 2 ฝั่งคลองที่ไม่มีผู้ใดจับจองขึ้นไปฟากละ 40 เส้นสำหรับลำคลองใหญ่ และ 25 เส้นสำหรับลำคลองเล็ก และบริษัทสามารถขายที่ดินบริเวณที่ได้รับประโยชน์นี้ เป็นการตอบแทนให้คุ้มกับทุนที่ลงไปได้ ในปีพ.ศ.2442 เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ ได้ไปตรวจราชการในทุ่งรังสิต ได้พบเห็นสภาพของทุ่งนาซึ่งจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือทางด้านการชลประทานอย่างเร่งด่วน จึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอพระบรมราชานุญาตจ้างนายช่างชลประทานชาวต่างประเทศ ให้เข้ามาสำรวจและคิดจัดระบบชลประทานที่ทันสมัยขึ้นจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐบาลติดต่อว่าจ้าง นาย วัน เดอ ไฮเด(J.H. Van der Heide)วิศวกรชลประทานชาวฮอลันดา มาศึกษาสภาพธรรมชาติของทุ่งราบภาคกลาง เพื่อพิจารณาวางโครงการชลประทาน แต่เนื่องจากโครงการที่นายวัน เดอ ไฮเดเสนอนั้นค่าใช้จ่ายสูงถึง 47 ล้านบาท และผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับก็ยังไม่ชัดเจน โครงการดังกล่าวจึงถูกระงับไว้ก่อน และมีการดำเนินการเพียงขุดซ่อมและสร้างประตูน้ำที่คลองภาษีเจริญ คลองดำเนินสะดวก และคลองแสนแสบ โดยที่มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากเรือที่ผ่านไปมาเพื่อชดเชยค่าใช่จ่ายที่ได้ลงทุนไป เนื่องจากในช่วงต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เกิดภาวะแห้งแล้งจนการทำนาเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงในระยะเวลาไม่ห่างกันนักคือในปีพ.ศ.2454 และ 2457 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง มีพระจ้าพี่ยาเธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ซึ่งขณะนั้นทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการเป็นประธานกรรมการ เพื่อทำการสอบสวนเหตุผลต่าง ๆ อันเป็นอุปสรรคต่อการทำนาของประเทศ พระเจ้าพี่ยาเธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทูลเกล้าฯ ถวายรายงานว่า
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชกระแสรับรองรายงานของคณะกรรมการ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ติดต่อคณะวิศวกรชลประทานชาวอังกฤษ นำโดยนายโทมัส วอร์ด(Thomas Ward)ซึ่งต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็น เซอร์ โทมัส วอร์ด เข้ามาสำรวจตามแนวโครงการที่นาย วันเดอไฮเด ชาวฮอลันดาเคยทำไว้ คณะสำรวจชาวอังกฤษเห็นว่า โครงการเดิมใหญ่เกินกำลังของประเทศไทย จึงคิดโครงการใหม่ ผ่อนผันการต้องใช้เงินทุนให้น้อยลง และคิดแบ่งการดำเนินการตามโครงการใหม่นั้น ออกเป็นโครงการย่อย ๆ หลายโครงการ โดยที่สามารถแยกทำได้ทีละโครงการ ทำให้ไม่ต้องใช้เงินมากในคราวเดียวกัน โครงการแรกสุดที่ได้ดำเนินการตามข้อเสนอของ เซอร์โทมัส วอร์ด ก็คือโครงการชลประทานลุ่มแม่น้ำป่าสัก ซึ่งตอนแรกของโครงการนี้เริ่มดำเนินการในปีพ.ศ.2457เรียกว่าโครงการป่าสักใต้ อันเป็นการสร้างทำนบ ใหญ่ ปิดกั้นลำน้ำป่าสักที่ตำบลท่าหลวง และขุดคลองใหญ่(คลองระพีพัฒน์) ทำประตูน้ำในทำนบนั้น เพื่อชักน้ำลงมาทุ่งหลวงตอนเหนือคลองรังสิต แล้วทำประตูน้ำและทำนบ รวมทั้งขุดคลองชักน้ำเข้านาทั้ง 2 ฟากคลองระพีพัฒน์เป็นระยะลงมาต่อคลองหกวาสายบน ซึ่งบริษัทขุดคลองแลคูนาสยามได้ขุดไว้แต่ก่อน นอกจากนั้น ก็มีการขุดแต่งคลองหกวาสายบนนั้นและคลอง 1 ไปจนถึงคลองรังสิต โครงการนี้เดิมคาด ว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 11,500,000 บาท และมีกำหนดแล้วเสร็จในพ.ศ.2466 แต่เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้วัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้าง ซึ่งจำเป็นต้องสั่งซื้อมาจากต่างประเทศนั้น มีราคาสูงขึ้นมาก จำนวนเงินที่ต้องจ่ายลงทุนไปในโครงการนี้จึงสูงถืง 15,780,768 บาท การดำเนินการในขั้นตอนที่ 2 ที่ได้เตรียมการไว้เพื่อจะทำหลังจากโครงการป่าสักใต้เสร็จสิ้นลงนั้น มีการกำหนดระยะเวลาของโครงการไว้ 8 ปี และแบ่งเป็นโครงการย่อย 4 โครงการคือ (1)"สกีมสุพรรณ" เป็นโครงการทดน้ำที่จังหวัดสุพรรณบุรี ประมาณการว่าจะต้องใช้เงินลง ทุนทั้งสิ้น 11,489,084 บาท (2)"สกีมบางเหี้ย" เป็นโครงการชักน้ำในทุ่งหลวง ลงมาใช้ทางใต้ของคลองรังสิตแล้วเลย ระบายออกทะเลทางบางเหี้ย ประมาณการว่าจะต้องใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 4,709,760 บาท (3)"สกีมเชียงรากน้อย"(เดิมรวมอยู่กับสกีมบางเหี้ย) เป็นโครงการชักน้ำในทุ่งหลวง ตอนเหนือคลองรังสิต ไปใช้ทำนาทางแถบตะวันตกของทางรถไฟ ตั้งแต่แขวงอยุธยาลงมาจนถึงคลองรังสิต แล้วจึงระบายออกแม่น้ำเจ้าพระยา ประมาณการว่าจะต้องใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 3,069,000 บาท (4)"สกีมนครนายก" เป็นโครงการสร้างทำนบปิดกั้นแม่น้ำนครนายก ป้องกันไม่ให้น้ำท่วมที่นาในแขวงจังหวัดนครนายกและปราจีนบุรี แล้วนำน้ำขึ้นมาเพิ่มเติมในเขตทุ่งหลวง ประมาณการว่า จะต้องใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 8,033,469 บาท (5)"สกีมป่าสักเหนือ" เป็นการขุดคลองส่งน้ำ จากลำน้ำป่าสักที่สร้างทำนบไว้แล้ว ไปใช้ทำนาในเขตจังหวัดสระบุรี ด้านตอนเหนือของทำนบป่าสัก ประมาณการว่าจะต้องใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 28,551,313 บาท อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัญหาขาดแคลนเงินงบประมาณรายได้ของรัฐไม่เพียงพอกับรายจ่ายซึ่งสูงขึ้นมากอันเป็นผลมาจากการเร่งรัดพัฒนาดังนั้นในปีพ.ศ.2467 เมื่อเสนาบดีกระทรวงพระคลังฯ มีจดหมายกราบบังคมทูลพระกรุณา ขอพระราชทานพระทานพระบรมราชานุญาตจ่ายเงินในการทดน้ำ จึงต้องผ่านการพิจารณาของสภาองคมนตรีตรวจจัดงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งคณะกรรมการของสภาดังกล่าวได้พิจารณาแล้ว มีความเห็นว่า (1)ให้งดการก่อสร้างสกีมป่าสักเหนือ และสกีมนครนายกไว้ก่อน เนื่องจากสกีมป่าสักเหนือนั้นเป็นเพียงโครงการชักน้ำเข้านา โดยไม่สามารถระบายน้ำเพื่อป้องกันอันตรายในการทำนาได้เหมือนกับสกีมเชียงรากน้อยและสกีมบางเหี้ย ส่วนสกีมนครนายกนั้นต้องใช้เงินมากและไม่ผูกพันกับโครงการอื่น เมื่อเงินยังไม่พอจึงสมควรรอไว้ก่อนได้ (2)ให้ดำเนินการตามสกีมเชียงรากน้อยและสกีมบางเหี้ย ให้เสร็จสิ้นก่อนเพราะจะช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพของสกีมป่าสักใต้ที่ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้ว ให้ได้ผลสมบูรณ์ขึ้น (3)สกีมสุพรรณบุรีซึ่งได้ดำเนินการไปบ้างแล้วให้ทำต่อไปเพียงถึงประตูระบายน้ำที่ 3 และ การก่อสร้างเบ็ดเตล็ดที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ปรากฏว่าจนถึงปี พ.ศ.2469 งานของสกีมเชียงรากน้อยและสกีมบางเหี้ย ได้สำเร็จไปประมาณครึ่งหนึ่ง และใช้จ่ายไปทั้งสิ้นเป็นเงิน 4,355,719 บาท ส่วนสกีมสุพรรณบุรีนั้นได้สร้างประตูระบายน้ำที่ 3 และการก่อสร้างเบ็ดเตล็ดที่เกี่ยวข้องก็เสร็จสิ้นแล้ว ด้านคลองส่งน้ำทางฝั่งตะวันตก ก็แล้วเสร็จไปประมาณครึ่งหนึ่ง ในขณะที่คลองส่งน้ำฝั่งตะวันออกกำลังจะดำเนินการ |