22 ธันวาคม 2001

            ตื่นแต่เช้า เพราะเพื่อนๆ บอกว่าจะมารับแต่ตีห้า พอเอาเข้าจริงๆ แฮ่ มาซะหกโมงครึ่ง

หลังจากนั้นก็เช็คความเรียบร้อยของรถ และของใช้ที่จำเป็น เริ่มออกเดินทางจริงๆ ก็ 07.29 น.(มีสมาชิกร่วมทางกันทั้งหมด 5 คน)

ถึงนครสวรรค์ประมาณ 09.30 น.ได้ทานข้าวมื้อเช้าแบบจริงๆ จังๆ เป็นมื้อแรก (ก่อนหน้านี้จะทานเป็นของว่างรองท้องกันน่ะครับ) หลังจากนั้นก็ออกเดินทางต่อ ตอนแรกว่าจะทานอาหารกลางวันกันที่ลำปาง แต่เนื่องจากถนนหนทางค่อนข้างว่าง ทำให้สามารถเดินทางได้รวดเร็ว จึงตกลงกันว่าจะไปทานมื้อกลางวัน (ตอนบ่ายแก่ๆ) ที่พะเยา แต่ช่างเป็นโชคเสียนี่กระไร เพราะเส้นทางจากลำปางไปอำเภองาวกำลังทำทางอยู่ อื้อฮือ สุดๆ เหมือนกัน ทั้งทางเบียงและทางโค้งตลอดเส้นทาง ก็ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับรถหน่อยนะครับ ช่วงระหว่างทางนี่แหละ ที่บรรดาสมาชิกร่วมทางต้องระดมสรรพกำลังทั้งขนมปัง และนมกล่องมาแก้หิวกันก่อน เพราะอาหารกลางวันได้สลายไป ตั้งแต่โค้งแรกๆ แล้ว ถนนช่วงที่ทำ น่าจะมีระยะทางประมาณ 10-15 กม. หลังจากนั้นก็จะเป็นเส้นทางอันราบเรียบแต่คดเคี้ยวต่อไปจนถึงพะเยา

เมื่อถึงพะเยาแล้ว เราก็เริ่มด้วยการถ่ายภาพคู่กับกว๊านพะเยา จากนั้นก็จัดการกับอาหารกลางวัน  (ซึ่งล่วงเลยมาถึงเกือบบ่ายสี่โมงแล้ว) ที่พะเยานี่ อากาศค่อนข้างเย็น ลมแรง และแสงแดดแทบจะไม่มีเลย สอบถามคนในพื้นที่บอกว่า อากาศเพิ่งจะเริ่มเย็นวันนี้เอง แหมช่างเป็นโชคดีจริงๆ เพราะอากาศเย็นสบายมากๆ เลย เสร็จจากอาหารกลางวัน ก็ออกเดินทางสู่เชียงราย ถึงเชียงรายก็เกือบหนึ่งทุ่ม จากนั้นก็เข้าพักที่โรงแรมเรือนทิพย์ อาบน้ำเสร็จก็ออกไปเดินเล่นในเมือง หาอะไรง่ายๆ ทาน (เชื่อมะว่าอะไรง่ายๆของเพื่อนผมคือกินพิซซ่าอ่ะ)

จากนั้นก็ไปเดินเล่นที่ไนท์บาซาร์ มีของสวยๆ งามๆ น่าซื้อหลายอย่าง แต่ต้องอดใจไว้ก่อน จากนั้นก็ตระเวณเที่ยวรอบๆ เมือง อากาศค่อนข้างเย็น จนเกือบหนาว หลังจากขับรถวนจนทั่วเมือง ก็กลับมาพักผ่อนนอนหลับฝันดี ครอก...

 

23 ธันวาคม 2001

            ตื่นแต่เช้า ก็แค่เจ็ดโมงกว่า เมื่อคืนนี้หลับสบายจริงๆ ขนาดตั้งปาล์มปลุกไว้ตอนหกโมงยังไม่ได้ยินเลย จากนั้นก็อาบน้ำ แล้วเก็บกระเป๋าเตรียมตัวเดินทาง ก่อนจะได้ทานมื้อเช้า ก็ต้องเอารถไปเข้าอู่ก่อน เนื่องจากสายปั๊มน้ำมัน พวงมาลัยพาวเวอร์ รั่ว มารู้ก็เมื่อคืนตอนดึกแล้ว เลยต้องมาทำแต่เช้า เพราะวันนี้มีโปรแกรมออกนอกเมือง หลังจากแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ก็ออกหาอาหารเช้าทาน เป็นพวกเกาเหลาเลือดหมู หลังจากอิ่มแล้ว ก็แวะไปไหว้พระที่วัดพระแก้ว ในตัวเมืองเชียงราย จากนั้นก็แวะไปชมวิวแม่น้ำกกที่หาดเชียงราย แล้วก็ไปเดินซื้อของที่ Big C เชียงใหม่ หาซื้อของกินของใช้เตรียมขึ้นภูชี้ฟ้า ก็ตุนกันไปหลายอย่าง แล้วก็แวะทานอาหารเที่ยงที่นั่นซะเลย จากนั้นก็มุ่งสู่ภูชี้ฟ้า ตลอดเส้นทางก็คดเคี้ยวใช้ได้เลยครับ วิวข้างทางก็สวยมาก พอจะทำให้หายเวียนหัวไปได้บ้าง

กว่าจะถึงจุดกางเต็นท์ที่บนภู ก็เหนื่อยเหมือนกัน ถึงบนภูแล้วก็ต้องรีบขึ้นไปบนจุดชมวิว เพราะกว่าจะมาถึงก็ห้าโมงครึ่งแล้ว ระยะทางจากจุดกางเต็นท์ถึงจุดชมวิว ประมาณ 800 เมตร แต่ทางชันเหลือเกิน เดินไปก็หอบไป เฮ่อ มีเพื่อนผมบางคนเค้าพยายามทำในสิ่งที่หลายๆ คนเค้าไม่ทำกันน่ะครับ คือปั่นจักรยานขึ้นยอดภู ผมเองแค่อุปกรณ์กล้อง กับตัวเอง ก็แทบจะเอาตัวไม่รอดแล้ว ส่วนเพื่อนที่จะปั่นจักรยานขึ้นเนี่ย ได้รู้แล้วครับว่าแรงดึงดูดของโลกเนี่ยมากขนาดไหน เพราะแค่เริ่มปั่นก็เป๋ไปเป๋มาแล้ว อย่าคิดว่าจะปั่นขึ้นเลยครับ แค่เข็นขึ้นยังไม่ไหวเลย สุดท้ายต้องกองจักรยานไว้ที่ข้างล่าง แล้วหอบสังขารตัวเองขึ้นไป เฮ่อ หอบเลยครับ กว่าจะถึง พอไปถึงจุดชมวิวเลยถ่ายรูปให้คุ้มค่ากับความเหนื่อย วิวบนยอดภูสวยงามมาก ลมพัดแรงจนหนาวเลย หลังจากถ่ายรูปจนเป็นที่พอใจแล้วก็ถึงเวลาเดินลงเขา ตอนนี้อากาศเย็นมากแล้ว เริ่มมืดแล้วด้วย หิวก็หิว เลยจ้ำกันอ้าวเลย ลงมาเก็บจักรยาน แล้วก็กางเต็นท์  จัดของ จากนั้นก็ได้เวลาอาหารค่ำ เป็นโชคดีที่มีร้านจำหน่ายอาหารข้างบน เลยไม่ต้องทานอาหารฝีมือพ่อครัวสมัครเล่น (เฮ่อ โล่งอก) จากนั้นก็มานั่งผิงไฟ เพราะอากาศหนาวเหลือเกิน บางคนก็จิบเบียร์แก้หนาว บางคนก็นอนนับดาว สุขสุดๆ เชียวหละ เมื่อเวลาอันสมควรมาถึง ต่างก็แยกย้ายกันเข้านอน เพราะทนนั่งตากลมเย็นข้างนอกไม่ไหวแล้ว ทุกคนต่างนอนหลับฝันดี ก่อนที่ ....จะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น

ตีหนึ่งครึ่ง ท่ามกลางความมืดและความหนาวเย็น ยะเยือก...

“พี่.....พี่...ไฟไหม้ครับ มาช่วยกันดับหน่อยครับ”  อืม... ผมคงฝันไปน่ะ สงสัยจะปีนเขามากไปหน่อย “พี่...พี่ครับ ไปไหม้ป้อม มาช่วยกันดับหน่อยพี่” เอ หรือไม่ใช่ฝันนี่ ตอนนี้หลายคนในเต็นท์ที่ผมนอนเริ่มขยับ  แล้วก็มีเสียงเรียกอีกเป็นระยะๆ โอว...นี่ไม่ใช่ฝันซะแล้ว เพื่อนๆ ในเต็นท์ก็เริ่มตื่นแล้วเดินออกมาดู แต่โห อากาศข้างนอกหนาวมาก.....ก ขอบอก  เมื่อออกมากันแล้ว ก็หาอุปกรณ์ดับไฟใกล้ตัว ขันบ้าง ถังบ้าง แล้วก็เดินสู่กองไฟ จุดที่เกิดเหตุเป็นซุ้มไม้ขนาดประมาณ 1 เมตร x 1 เมตร หลังคาเป็นจาก แต่จุดที่กำลังไหม้ไฟอยู่คือบริเวณฐานของซุ้ม ก็ช่วยกันเอาน้ำสาด ซักพัก ไฟเริ่มสงบ คือไฟยังไหม้ไม่เอยะน่ะครับ ราดน้ำไม่นานก็มอดแล้ว จากนั้นเอาไม้เขี่ย เผื่อจะมีไฟคุข้างในอีก แล้วก็ราดน้ำตามอีกที เฮ่อ สำเร็จครับ ไฟดับแล้ว ก็เลยถามน้องที่มาตามว่า เห็นไฟไหม้ได้ยังไง น้องบอกว่าพอดีออกมานอนนอกเต็นท์ เพราะในเต็นท์มันหนาวมาก ต้องออกมาผิงไฟข้างนอก เลยเห็นไฟไหม้พอดี แล้วน้องเค้าก็นึกว่าตรงที่พวกผมนอน เป็นที่พักของเจ้าหน้าที่ เค้าเลยมาปลุกอ่ะครับ เฮ่อ เข้าใจมาปลุกจริงๆ น้อง จากนั้นต่างคนก็แยกย้ายกันไปหาที่อุ่นๆ นอนต่อ ....

 

24 ธันวาคม 2001

เช้าแล้ว แต่อากาศนอกเต็นท์ช่างเยือกเย็นต่ำกว่าสิบองศา อูย....ย ไม่ไหว เห็นทีต้องขอรับไออุ่นอยู่ในเต็นท์ก่อน  ซักเจ็ดโมงกว่าค่อยรู้สึกว่าเริ่มมีแดดแล้ว เอาละ ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ซะหน่อย อืม สดชื่นมากเลย แต่เย็นจนน้ำมูกหยดเลย จากนั้นก็ล้างหน้าแปรงฟัน น้ำเย็นมากจนเสียวฟัน แล้วก็มาต้มน้ำร้อนชงกาแฟ, มาม่ากินกัน อากาศเย็นขนาดที่ว่ากาแฟร้อนๆ นี่ ซดได้โดยไม่ต้องเป่าเลย หลังจากจัดการกับอาหารเช้าแล้ว ก็เก็บข้าวเก็บของ เตรียมตัวเดินทางต่อไป จากนั้นก็เดินทางสู่เมืองเชียงใหม่ ระหว่างทางก็แวะเก็บภาพวิวทิวทัศน์ริมทางเป็นระยะๆ อากาศเย็นกำลังสบาย แหมสุขใจหาใดปาน ระยะทางจากเชียงรายไปเชียงใหม่นี่ ต้องผ่านอำเภอแม่สรวย ซึ่งเราก็ได้แวะทานอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารบริเวณทางแยกไปอำเภอแม่สรวย ก็เป็นอาหารง่ายๆ พวกข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่าง ทำนองเนี้ยแหละครับ หลังจากทานข้าว เข้าห้องน้ำเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินทางต่อ เส้นทางที่จะไปยังอำเภอแม่สรวย กำลังขยายเส้นทางอยู่ ก็ใกล้จะเสร็จแล้ว มีทางเบี่ยงเป็นช่วงๆ แต่ถนนหนทางก็ไม่ถึงกับลำบากอะไรมากนัก พอดีได้ทราบข้อมูล (ที่ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่) ว่ามีร้านกาแฟ และขนมเค้กอร่อยๆ บรรยากาศดีๆ อยู่ร้านนึง ช่วงก่อนถึงอำเภอแม่สรวย ก็เป็นอีกจุดหนึ่งซึ่งน่าสนใจทีเดียว เพราะหลายมื้อ ที่ทานกาแฟกระป๋องกับขนมปังปอนด์ เอาละมื้อนี้ขอทานกาแฟต้ม กับขนมอบหอมกรุ่นซักมื้อน่ะ แต่ก็ไม่มีใครทราบเลยว่าร้านที่ว่านั่น ชื่อร้านอะไร พอขับรถไปเรื่อยๆ จึงไม่แน่ใจว่าจะเลยไปหรือจะยังไม่ถึง ก็พอดีแวะเข้าปัมป์เติมน้ำมัน ได้สอบถามกับแหมไม่รู้จะเรียกอะไรดี ถ้าเรียกว่าเด็กปัมป์ก็คงจะไม่ใช่ เพราะว่าไม่ได้ใส่ชุดพนักงาน จะเรียกว่าแม่ค้ารึเค้าก็ไม่ได้ขายของ แต่เก็บตังค์ค่าน้ำมันอ่ะ เอาเป็นว่าเจ้าหน้าที่สาวแสนน่ารักก็แล้วกัน เค้าก็บอกว่าเลยมาประมาณ 8 กม. แล้ว ร้านจะอยู่ตรงโค้ง มีป้ายชื่อติดไว้ว่าชื้อร้านจริณ เค้าบอกมาว่ากาแฟและขนมเค้กอร่อยมาก.....ก อื้อฮือ ไม่ทานไม่ได้แล้ว ก็เลยต้องย้อนรถกลับไป ตามคำบอกของเจ้าหน้าที่สาวแสนน่ารัก และจากนั้นไปประมาณ 8-9 กม. เราก็ไปถึงจริณ รีสอ์ท  ซึ่งตั้งอยู่บนโค้งระหว่างทางจากเชียงรายไปอำเภอแม่สรวย (ก่อนถึงแม่สรวยประมาณ 8 กม.) ร้านกาแฟที่นี่บรรยากาศดีมาก และด้านในก็จัดทำเป็นรีสอร์ทให้คนได้เข้าพักอีกด้วย พนักงานก็อัธยาศัยดีมากครับ เราดื่มกาแฟกันคนละแก้ว มีทั้งคาปุชชีโน และเอสเพรสโซ และสั่งเค้กมาคนละชิ้น ที่อร่อยแบบถูกปากก็มี เค้กมะพร้าว, เค้กลูกตาล, ชีสเค้ก นอกนั้นก็พอทานได้ครับ แต่ก็รู้สึกคุ้มค่ากับการย้อนรถกลับมาทานจริงๆ นั่งจิบกาแฟและทานเค้ก ริมแม่น้ำลาว บรรยากาศเย็นสบายๆ แหมสุขใจอย่าบอกใครเลยครับ (ผมเองอดไม่ได้เลยต้องควักปาล์มขึ้นมาจดบันทึกชื่อร้านนี้เก็บไว้) หลังจากท้องอิ่มแล้วก็เข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว แล้วก็ขอเค้าเข้าไปเดินดูในรีสอร์ท ซึ่งต้องข้ามสะพานไม้ซึ่งมีแม่น้ำลาวไหลเอื่อยๆ อยู่ข้างล่าง ท่าทางรีสอร์ทนี้จะเพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน เพราะดูว่ายังตกแต่งไม่เสร็จดี แต่ที่พักก็น่าอยู่ทีเดียว เสียตรงที่ว่าตั้งอยู่ตรงตำแหน่งที่เป็นเพียงจุดผ่านสำหรับคนที่เดินทาง ซึ่งหลายคนที่ผ่านเส้นทางนี้ คงจะตั้งใจเดินทางไปที่เชียงราย หรือเชียงใหม่ มากกว่าที่จะแวะพักที่นี่ แต่ถ้าใครชอบความสงบร่มรื่น เป็นส่วนตัว ที่นี่ก็เป็นอีกจุดที่น่าสนใจ ก็คิดกับเพื่อนไว้ว่า ถ้าโอกาสหน้าได้แวะมาเที่ยวภาคเหนืออีก คงจะได้มาพักผ่อนที่นี่ซักครั้งก็ยังดี ส่วนตอนนี้ เนื่องจากยังต้องเดินทางอีกไกล ต้องโบกมือลาจริณ รีสอร์ท แล้วมุ่งหน้าเดินทางสู่เชียงใหม่ต่อไป

พวกเราหลายๆ คนได้เรียนรู้ว่า บางครั้งกาแฟก็มิได้ทำให้เราหายง่วงนอนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ต้องเดินทางผ่านเส้นทางที่คดเคี้ยวเลี้ยวไปเลี้ยวมา จึงได้เห็นหลายคนคอพับคออ่อนไปเพราะฤทธิ์กาแฟ (รวมทั้งผมด้วยแหละ) ตื่นขึ้นมาอีกที เห็นมีตระกร้าใส่ไข่ลอยอยู่ข้างๆ รถ นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ไข่ลอยอยู่ข้างรถ อ๋อ เรามาแวะที่บ่อน้ำพุร้อน ซึ่งผมเองก็เคยผ่านตรงนี้มาหลายเที่ยวเหมือนกัน แต่ไม่เคยจะจำชื่อบ่อน้ำพุร้อนนี้ได้ซักกะที ด้านหน้าจะมีร้านค้าต่างๆ ขายของที่ระลึกมากมาย และมีแม่ค้าขายไข่ดิบ ซึ่งเอาไปต้มในบ่อน้ำร้อนก็จะกลายเป็นไข่ต้มน้ำพุร้อน จิ้มซอสเค็มๆ มันๆ อะไรทำนองนั้นแหละครับ ผมเดินลงไปเห็นมีร้านค้าขายของมากมายเหลือเกิน แต่ไม่ค่อยมีคนเดินดูซักเท่าไหร่ คงเพราะว่าวันนี้ไม่ใช่วันหยุดน่ะครับ เลยร้างลาผู้คนไปบ้าง ก็อุดหนุนไข่ต้มไปสองตะกร้าๆ ละ 10 บาท มีไข่ไก่ตะกร้าละ 3 ใบ ก็ดีครับเห็นไข่ขาวกำลังน่าทานนิ่มๆ ร้อน ส่วนไข่แดงก็เป็นยางมะตูม แต่ไม่เละมาก ใช้เวลาแช่ในน้ำพุร้อนประมาณสิบกว่านาทีก็ทานได้แล้วครับ แต่ผมยังอิ่มขนมนมเนยอยู่ เลยขอแค่ดู ไม่ได้ทานครับ จากนั้นก็เดินเล่นดูบ่อน้ำร้อน เดินดูของที่มีขายอยู่ แล้วก็ออกเดินทางต่อครับ ตอนนี้ก็เป็นเวลาเข้าใกล้ช่วงเย็นเต็มที อากาศเริ่มเย็นและท้องฟ้าเริ่มครึ้ม พอเดินทางมาเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าเริ่มเจอรถติดเป็นระยะๆ ก็เข้าใจได้ว่า เรากำลังเดินทางเข้าสู่เมืองเชียงใหม่แล้ว จุดหมายหลักของวันนี้คือเดินทางไปที่สนามบินเชียงใหม่ เพื่อไปหาที่พักที่บ้านพักวิทยุการบินฯ ซึ่งอยู่ใกล้กับสนามบิน และตอนที่เดินทางเข้าสู่เมืองเชียงใหม่เนี่ย บอกตามตรงว่าเป็นด้านที่ไม่คุ้นเคย ผมเองพยายามมองไปรอบๆ เมืองว่ามีจุดใดที่เราพอจะรู้จักบ้างก็ไม่เห็นจะมี ก็เลยต้องแวะปัมป์เติมน้ำมันและสอบถามเส้นทางไปสนามบิน ก็พอรู้เส้นทางคร่าวๆ แล้วเราก็เริ่มเดินทางต่อ กว่าจะไปถึงสนามบินได้ ต้องแวะถามเส้นทางเป็นระยะๆ ซึ่งในตอนนี้ผมเริ่มพอๆ จะคุ้นทางบ้างเล็กๆ แล้ว จากนั้นก็เดินทางสู่บ้านพักวิทยุการบินฯ โชคดีจริงๆ ที่มีบ้านว่างอยู่หนึ่งห้อง ก็จัดการลงชื่อ แล้วก็เข้าที่พัก ซึ่งหนึ่งยูนิตจะมีสองห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ และก็มีห้องนั่งเล่น ก็แยกย้ายกันจับจองห้องนอนกัน ห้องละสองคน ที่เหลือก็นอนที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งไม่เป็นปัญหาเพราะมีถุงนอนติดรถมาเพียบ หลังจากอาบน้ำกันหมดแล้ว ก็เตรียมตัวเข้าไปหาอาหารทานในเมือง ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะไปทานอะไรดี ก็เลยกะว่าลองวนๆ เล่นในเมืองซักรอบ ก็เข้าไปแถวๆ ไนท์บาซาร์ พอดีตรงที่จอดรถมีทางเดินผ่านศูนย์อาหาร กาแลฟูดเซ็นเตอร์ ก็เลยทานอาหารที่นั่นซะเลย จากนั้นก็ออกมาเดินเล่นที่ไนท์บาซาร์ ผมเองก็พยายามนำสัญลักษณ์ของปาล์ม ไปเผยแพร่ต่อหน้าสาธารณะชน โดยการใส่เสื้อ Palm Club Meeting # 5 ออกเดินตามตรอกซอกซอย ตอนอยู่ในตัวตึกก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่พอออกมาเดินถนนข้างนอก โห หนาวเหมือนกันแฮะ แต่เพื่อปาล์ม เราเลยยอมหนาว แต่ก็ไม่ยักกะมีใครเข้ามาทักอ่ะ แค่เค้ามองเราแปลกๆ คงเห็นว่าอากาศก็เย็น ยังจะใส่เสื้อยืดตัวเดียวเดินอยู่ได้  เราก็เลยอาศัยเดินในไนท์บาซาร์นานๆ จะได้หายหนาว แล้วค่อยออกมาเดินเล่นข้างนอก จนเริ่มเมื่อยกันแล้ว ก่อนจะกลับ ก็ได้ตกลงกันว่าขับรถไปวนเล่นแถวหน้ามช. แล้วก็หาอะไรอุ่นๆ ตบท้ายด้วย ก็เลยไปนั่งที่ร้านมนต์นมสด ซึ่งมีเด็กวัยรุ่นนั่งทานกันอยู่หลายคนทีเดียว เราก็สั่งโน่นสั่งนี่มาทานให้พอหายหนาว แล้วก็คุยกันต่อถึงโปรแกรมวันพรุ่งนี้ว่า จะไปโน่น ไม่ไปนี่ ไปที่นั่น อะไรไปเรื่อยเปื่อย จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้สรุปอะไร ก็เลยกลับมาคุยต่อที่บ้านพัก ก็พอจะได้เส้นทางท่องเที่ยวคร่าวๆ จากนั้นต่างคนก็เริ่มง่วง ก็แยกย้ายกันไปนอน อากาศเย็นสบายไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศเลย เฮ่อ ผ่านไปอีกหนึ่งวัน คร่อก.......ก

 

25 ธันวาคม 2001

            เช้าอีกแล้ว อากาศแจ่มใส จิดใจเบิกบาน ที่เมื่อคืนได้หลับโดยที่ไม่มีใครมาปลุกกลางดึก กว่าจะตื่นนอนมาอาบน้ำกันจนครบ ก็สายแล้ว จากนั้นก็หาอะไรทานกันตามเรื่องตามราว มาม่าบ้าง ขนมปังบ้าง กาแฟ นมสด เท่าที่จะหาได้ หลังจากจัดการกับมื้อเช้าแบบง่ายๆ แล้ว หลายคนบ่นว่าอยากจะพักที่บ้านพักอีกซักคืน จะได้ไม่ต้องตระเวณหาที่พักในตอนเย็นอีก (ที่สำคัญประหยัดค่าที่พักไปได้อีกคืน) แต่พอตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่บ้านพักก็ต้องเสียใจ เพราะว่าคืนนี้ที่พักเต็มหมดแล้ว ไม่เป็นไร นกขมิ้นเหลืองอ่อนอย่างเรา ค่ำไหนนอนนั่น ก็เลยเก็บข้าวเก็บของ ออกเดินทางต่อไป และก่อนที่จะขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ เราก็ได้แวะทานอาหารเช้า (แต่จริงๆ น่าจะเป็นอาหารเที่ยงมากกว่า เพราะว่าทานกันตอนสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว) แถวๆ หน้ามช. ชื่อร้านโบ้ต (Boat) เห็นเพื่อนๆ ที่เคยมาเชียงใหม่บอกว่า มาทานที่ร้านนี้ประจำ อาหารก็อร่อยดีนะ ราคาไม่แพงด้วย คนนั่งทานกันเต็มเลย จากนั้นเราก็มุ่งตรงสู่ดอยสุเทพ แต่เรากะว่าจะขับเลยไปเที่ยวหมู่บ้านแม๊วที่ดอยปุยก่อน ขากลับค่อยแวะพระธาตุ ก็เลยมุ่งหน้าสู่ดอยปุย เส้นทางลำบากพอสมควร ทั้งทางชันและแคบ แต่ก็พอไปได้ พอไปถึงที่หมู่บ้าน เราก็จอดรถและเดินเที่ยว มีคนมาเที่ยวพอสมควรทีเดียว ส่วนใหญ่จะเป็นคนต่างชาติซะมากกว่า ก็จะมีสินค้าของชาวเขาขายอยู่เต็มไปหมด ที่สะดุดตาคือ มีร้านค้าที่ขายพวกสมุนไพร ยาบำรุงกำลังต่างๆ อยู่หลายร้าน และแต่ละร้านก็จะโฆษณาสรรพคุณของยาที่ขายอยู่ในร้านว่าแก้โรคนั้น แก้โรคนี้ และสินค้าที่แต่ละร้านจะขาดไม่ได้คือ ตัวเดียวอันเดียวของเสือ ซึ่งบางร้านก็เขียนว่าตัวเดียวอันเดียว บางร้านเขียนตรงๆ เลยครับว่า –วยเสือ ผมไม่ได้ทะลึ่งนะครับ เค้าเขียนแบบเนี้ย ตรงๆ เลย เอ้อ เห็นแล้วอึ้งเลย ก็ยังนึกอยู่เหมือนกันว่า ถ้าทุกร้านขายแต่ไอ้นั่นของเสือกัน แล้วป่านนี้เสือมิสูญพันธุ์หมดแล้วรึ ??

            ช่วงที่ไปถึงพอดีเป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้ว ก็ได้ยินเสียงเด็กนักเรียนชาวเขา กำลังท่องอาขยานและร้องเพลง ก่อนจะทานข้าวน่ะครับ ฟังแล้วก็น่ารักดี ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง แต่รู้สึกได้ถึงความตั้งใจครับ ก็เลยได้ช่วยกันทำบุญค่าอาหารกลางวันเด็กกันไปคนละนิดละหน่อย จากนั้นก็เดินชมสภาพความเป็นอยู่ของชาวเขาที่นี่ ซึ่งผมว่าเดี๋ยวนี้เค้ามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การเดินทางก็สะดวกมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีนักท่องเที่ยวมาอยู่ตลอด ก็ถือว่าชาวเขาที่นี่มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าชาวเขาอีกหลายพื้นที่ห่างไกลครับ หลังจากเดินชมและอุดหนุนสินค้าพื้นเมืองจนทั่วแล้ว ก็ได้เวลาอำลาหมู่บ้านขาวเขา เพื่อเดินทางสู่สถานที่ท่องเที่ยวที่ต่อไป ซึ่งก็คือพระตำหนักภูพิงค์  ตอนแรกก็ปรึกษากันว่าจะเข้าไปเที่ยวดีไหมเอ่ย เพราะไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรบ้าง และเข้าชมได้แค่ไหน แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว เข้าไปดูสักนิดคงไม่เป็นไร ก็เลยแวะเข้าไปชมดู เริ่มแรกบริเวณทางเข้าก็จะมีร้านขายของที่ระลึก และขายกาแฟ น้ำส้ม กาแฟหอมมาก สามารถนำหางบัตรมาลดราคาได้ด้วย ก็อุดหนุนกันไปตามระเบียบ จากนั้นก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ ดอกไม้สวยงามมาก ที่น่าสนใจคือแปลงปลูกกุหลาบ ซึ่งมีมากมายหลายพันธุ์มาก หลายสีหลายแบบ ดอกโตและสีสดสะใจมาก เราเพลินกันอยู่ตรงแปลงปลูกกุหลาบกันพักใหญ่ๆ เพราะติดใจกับความงามของราชินีแห่งดอกไม้หลากสีเหล่านี้ จากนั้นเราก็แวะชมสวนและพระตำหนักต่างๆ ซึ่งมีมุมสวยๆ ให้เก็บภาพกันได้ไม่รู้เบื่อเลย จากนั้นก็เดินขึ้นเนินเขาไปชมป่าเฟิร์น และฟักทองยักษ์ ซึ่งใหญ่มาก...ก นอกนั้นก็มีแปลงดอกไม้สวยๆ อีกเยอะ และ เป็นที่เพลิดเพลินอย่างยิ่ง จากนั้นก็แวะดื่มน้ำส้มคั้นสดๆ จากไร่ เป็นส้มพันธุ์สายน้ำผึ้ง ใส่เกลือนิดรสกลมกล่อมได้ที่เลยครับ แล้วเราก็เริ่มเดินเที่ยวต่อ บอกได้เลยว่ามีอะไรๆ น่าสนใจเยอะมาก จากตอนแรกที่ลังเลว่าจะเข้ามาชมดีหรือเปล่า กลายเป็นความคุ้มค่าที่ได้เข้ามา เพราะใช้เวลาในการเดินเที่ยวอยู่หลายชั่วโมงทีเดียว แล้วเราก็ปิดท้ายด้วยการเดินวนมาบรรจบครบรอบตรงร้านขายของที่ระลึกที่ทางเข้าอีกครั้ง คราวนี้ก็ได้อุดหนุนซาลาเปา และข้าวโพดต้มแสนอร่อย ข้าวโพดของที่นี่สดมาก เป็นพันธุ์ที่เรียกว่าสองสี เพราะในฝักจะมีเม็ดที่สีออกเหลืองๆ และสีเข้มๆ ผสมกัน เนื้อหวานอร่อยมากครับ หลังจากนั้นเราก็เริ่มออกเดินทางต่อไป ที่หมายต่อไปคือ “กฤษฎาดอย” ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมได้ยินชื่อมานานแล้วครับ แต่ยังไม่เคยได้ไปสักที ก็ดีครับ ถือเป็นโอกาสดีที่ได้ไป แต่ก่อนจะไปได้ก็ต้องหลงทางกันก่อนเป็นเรื่องปกติ ก็แวะถามทางเป็นระยะๆ แหละครับ

            และแล้วก็มาถึงกฤษฎาดอย กว่าจะมาถึงได้เวลาก็เกือบจะบ่ายสี่โมงแล้ว มีคนเที่ยวพอสมควร ค่าผ่านประตูคนละ 50 บาทแน่ะ เราก็เลยมาคิดกันว่า เรามากัน 5 คน ค่าผ่านประตูก็ 250 บาทแล้ว วันนี้ก็ยังไม่มีที่พักที่ไหน ก็เลยหาที่พักเอาที่กฤษฎาดอยนี่แหละ ลองติดต่อดูแล้ว พอจะมีที่พักบ้าง เฮ่อ ค่อยโล่งอกหน่อย ยังไงคืนนี้ก็มีที่นอนแล้ว แถมยังมีเวลาเหลือเฟือในการถ่ายภาพ ตอนที่เข้าที่พักและเอาข้าวของเก็บ ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น ก็ปรากฏว่า วันนี้แสงแดดไม่ค่อยมี ฟ้าค่อนข้างครึ้ม ก็เลยไปเก็บภาพบรรยากาศตอนเย็นไว้เล็กน้อย อีกอย่างคนก็ค่อนข้างเยอะพอสมควร ก็กะว่าเอาไว้เช้าๆ เราตื่นขึ้นมาค่อยมาเก็บภาพอีกรอบก็ยังไม่สาย เพราะตอนเช้าๆ คงยังไม่ค่อยมีคนมาเที่ยวมากนัก หลังจากเดินชมความสวยงามของไม้ดอกไม้ประดับที่ดูสวยไปหมดทุกมุมแล้ว เราก็มาแวะทานอาหารเย็นที่ร้านอาหาร บรรยากาศดีมากเลย นั่งอยู่ริมระเบียง ริมน้ำ และมีน้ำตกไหลเอื่อยๆ อยู่ใกล้ๆ อากาศกำลังสบาย แต่ตอนที่นั่งทานข้าวไปสักพัก พอพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาไปเท่านั้นแหละ ความหนาวก็เริ่มคืบคลานมา พวกเรามาเดินเที่ยวตั้งแต่ยังไม่เย็นมาก เลยไม่ได้มีเสื้อกันหนาวติดตัวมา ที่นี้ตอนที่นั่งทานข้าวเนี่ย อากาศเริ่มเย็นแล้ว ทานไปหนาวไปเลยหละ อาหารมื้อนี้อร่อยจัง สงสัยจะหิว เพราะตอนบ่ายก็ทานกันมาแค่ซาลาเปากับข้าวโพดต้ม หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว เราก็พากันเดินฝ่าความหนาวกลับที่พัก บ้านพักเป็นแบบกระท่อมหลังคาสามเหลี่ยมจรดพื้น น่ารักดีเหมือนกัน มีการประดับประดาดอกไม้เต็มหน้าบ้านเลย พอกลับมาถึงบ้านก็จัดการกับธุระส่วนตัว เข้าห้องน้ำ อาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย นั่งๆ นอนๆ ดูทีวีกันไปสักพัก เฮ่อ ถ้ามาเที่ยวธรรมชาติแล้วมัวแต่ดูทีวีคงไม่ดีแน่ ก็เลยให้เพื่อนแวบออกไปหาเครื่องดื่ม ส่วนเรากับเพื่อนอีกคนก็ออกไปเดินเก็บหิน จะเอามาเป็นที่ปักเทียนน่ะ ก็ได้หินก้อนกลมๆ แถวริมน้ำมา 4-5 ก้อน หลังจากนั้นเราก็มาสร้างบรรยากาศด้วยการดื่มกินกันท่ามกลางบรรยากาศแสงเทียน อากาศเย็นจนเกือบหนาว แต่คืนนี้สิ ไม่มีดาวให้นับเลย แต่ไม่เป็นไร แค่ตรงนี้บรรยากาศก็ดีจนบรรยายไม่ถูกแล้ว เมื่อได้อันเวลาสมควร ต่างก็เก็บข้าวเก็บของแยกย้ายกันเข้านอน ด้วยความสุขสมใจ

 

 

26 ธันวาคม 2001

            เช้าอันสดชื่นมาถึงอีกครั้ง วันนี้มีนัดกับตัวเองว่าจะต้องออกไปถ่ายภาพบรรยากาศในสวนสวยเก็บเอาไว้ ก็เลยต้องบิดความขี้เกียจออกจากตัว ยันกายลุกขึ้นมาจากที่นอนอันอบอุ่น แล้วล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นจากนั้นก็หยิบอุปกรณ์ถ่ายภาพเท่าที่จะมีอยู่ติดตัวไป ก็มีเพื่อนๆ บางคนที่คิดเหมือนเรา เลยติดตามกันไปถ่ายภาพเป็นเพื่อนกัน ก็มีการแลกกันถ่ายภาพบ้าง ฝากถ่ายบ้าง แยกกันไปหามุมสวยๆ ถ่ายบ้าง กดกันไม่นับเลยครับ สวยไปทุกมุมเลยหละ พอเห็นว่าแดดเริ่มแรงแล้วเราก็พากันเดินกลับที่พัก มาหาอะไรง่ายๆ ทานสำหรับมือเช้า ก็เป็นพวกกาแฟกระป๋อง นมกล่อง ขนมปัง ก็ช่วยๆ กันจัดการกับเสบียงที่เตรียมมา จะได้ไม่ต้องแบกกลับไปด้วย หลังจากนั้นก็อาบน้ำอาบท่า เก็บข้าวของเตรียมตัวเดินทาง แต่ก่อนจะจากที่นี่ไป เราก็เอาของไปเก็บที่รถแล้วก็แวะไปเก็บภาพหมู่มวลดอกไม้ และภาพหมู่พวกเรากันเองอีกครั้ง ให้คุ้มค่าที่สุด ไหนๆ ก็ได้มาเที่ยวแล้ว จากนั้นก็โบกมืออำลากฤษฎาดอย แล้วเดินทางเข้าสู่เมืองเชียงใหม่ เห็นเค้าลือกันมาว่าที่เชียงใหม่นี่มีร้านข้าวซอยอร่อยอยู่เจ้าหนึ่ง แต่เราบอกตรงๆ ว่าจำไม่ได้เลยว่าร้านอยู่ตรงถนนไหน ซอยไหน ก็วนเวียนแวะถามบรรดาคนเมือง ก็พอจะได้ข้อมูลมาบ้าง แม้ว่าร้านที่เราไปทานจะไม่ใช่ร้านที่เคยไป แต่รสของอาหารที่นี่ก็ถือว่าอร่อยแหละครับ อิ่มได้ที่แล้ว ภารกิจต่อไปก็คือซื้อของฝาก ซึ่งแน่นอนว่าแหล่งซื้อของฝากก็คงจะไม่พ้นตลาดวโรรสแน่นอน แต่การเดินทางไปถึงเนี่ย ไม่ง่ายเลย เฮ่อ วนอยู่ในเชียงใหม่มาสองวันแล้ว ยังไปไหนไม่ค่อยถูกเลย เห็นป้ายบอกทางไปตลาดอยู่แว๊บๆ แต่พอเลี้ยวไปตามที่บอก แป๊บเดียวไม่มีป้ายบอกทางต่อแล้ว ก็เลยต้องใช้ปากถามทางเอาง่ายดีครับ พอถึงตลาดก็จัดการซื้อของเท่าที่จะนึกออก ก็มีหมูยอ, กาละแม, และรถด่วน ก็หนอนไม้ไผ่แหละครับ ทอดกรอบตัวสีเหลืองอ่อนๆ น่าทานมากครับ เมื่อได้ของครบก็เตรียมตัวเดินทางกลับบ้าน แต่กว่าจะหาทางออกจากเมืองเชียงใหม่ ก็ต้องแวะปัมป์เติมน้ำมันและถามทางอีก เฮ่อ หลงทางยันวันกลับเลยซิเอ้า ...หลังจากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่บ้าน ตอนที่ออกจากเมืองเชียงใหม่ น่าจะเป็นเวลาประมาณบ่ายสองโมงเห็นจะได้ ก็มุ่งหน้าลงใต้มาเรื่อยๆ การจราจรค่อนข้างจะบางเบา เราเดินทางมาเรื่อยๆ จนผ่านจังหวัดตาก ก็แวะทานกาแฟกับขนมปังปิ้ง แผ่นใหญ่มาก แค่รองท้องแต่ถึงเกือบอิ่มเลยที่เดียว แล้วเราก็เดินทางกันต่อไป มีหลับบ้าง มีคุยบ้างสลับกันไป นึกแล้วก็ไวเหมือนกัน แป๊บเดียวก็กลับบ้าน เรามาแวะทานข้าวเย็นอีกทีที่ร้านไพบูลย์ไก่ย่าง แถวสิงห์บุรี ตอนประมาณเกือบสองทุ่ม แล้วก็ออกเดินทางต่อในที่สุดก็ถึงบ้านผมเป็นรายแรก ก็แหมเราขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย ก็ต้องได้ลงเป็นคนแรกซิ ก่อนจากกันก็ได้แจกจ่ายที่อยู่กันไว้ เพื่อที่จะได้ส่งรูปให้กันได้ เพราะมีประสบการณ์เมื่อปีก่อนที่ไปเที่ยวด้วยกันมา จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ดูรูปกันซะที จนได้มาเที่ยวรอบนี้แหละถึงได้ดูรูปกัน ก็เลยกะว่าถ้าใครอัดรูปเสร็จแล้วก็ให้ส่งไปให้กันเลย ถ้ารอเจอกันอีกสงสัยจะอีกปีหรือทริปหน้าแหละถึงจะได้ดูรูป เฮ่อ ถึงบ้านซะทีเรา แล้วการเที่ยวประจำปีของเราก็ผ่านไปอีกครั้ง หวังว่าทริปหน้าคงมาถึงเร็วๆ นี้นะ (เราเฝ้ารำพันกับตัวเองตามประสาคนชอบเที่ยว)...

1