ลางหายนะโลก
ท่านคงเคยได้ยินเรื่องราว เกี่ยวกับโลกแตก ที่ฮือฮาเมื่อปี 2000 บางคนอาจคิดว่า เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นจริง ท่านจะทำอย่างไร ข้อมูลที่ท่านจะอ่านต่อไปนี้ไม่ได้ให้ท่านเชื่องมงายแต่ อาจเป็นแนวทางหนึ่งที่ท่าน จะสามารถช่วยโลกได้ ลางหายนะโลกนั้นแบ่งได้ 4 หัวข้อใหญ่ๆ ดังนี้
ภัยจากธรรมชาติ
ภัยน้ำมือมนุษย์
การทำลายตนเองอย่างจงใจ
ภัยจากพลังอำนาจที่เหนือกว่า
ภัยจากสาเหตุทางธรรมชาติ
  • ภัยจากอุกกาบาตและวัตถุนอกโลก
  • ภัยระเบิดของรังสีแกมมา
  • สุญญากาศ
  • หลุมดำอำมหิต
  • เปลวสุริยะมหาโหด
  • สนามแม่เหล็กโลกอ่อนแรง
  • เถ้าภูเขาไฟถล่มท่วม
  • โรคระบาด
    ภัยจากอุกกาบาตและวัตถุนอกโลก

    อุกกาบาต มีโอกาสจะถูกดึงเข้ามาใก้ลวงโคจรของโลก และผ่านทะลุบรรยากาศเข้ามาสร้างความพินาศให้กับโลกของเราได้ และมักจะเกิดขึ้นทุก 1-3 ศตวรรษ ได้มีข้อสันนิฐานกันว่าเหตุที่ไดโนเสาร์ต้องสูญพันธ์ไปก็เพราะโลกถูกถล่มด้วยกลุ่มอุกกาบาตจากนอกโลก

    ภัยระเบิดของรังสีแกมมา

    ภัยระเบิดของรังสีแกมมาอาจเกิดขึ้นจากกาแล็กซีอื่นที่เป็นผลจากรวมตัวกันของดวงดาวที่ล่มสลาย ก่อให้เกิดพลังงานมหาศาลมากกว่าดวงอาทิตย์ถึง 10 ควอดริเลียน ถ้าการระเบิดเกิดขึ้นในระยะไกลขนาด 1000ปีเเสง ซึ่งไกลกว่าดาวที่เราเห็นบนท้องฟ้าในวันปกติ มันจะปรากฏแสงสว่างจ้าเท่าๆกับดวงอาทิตย์ ชั้นบรรยากาศของโลกจะถูกเผ่าจนสุก ที่อันตรายมาก คือ แพลงก์ตอนในมหาสมุทรจะถูกทำลายไม่เหลือ นั่นหมายถึงการสูญสิ้นทั้งแหล่งผลิตออกซิเจนให้กับบรรยาการของโลก และรากฐานของห่วงโซ่อาหารในโลก

    สุญญากาศ

    ในประวัติยุคแรกๆของจักวาล อวกาศที่ว่างเปล่าอันเต็มไปด้วยพลังงาน ต่อมามีสุญญากาศชนิดใหม่ที่มีความเสถียงมากกว่าเข้ามาแทนที่ การเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดการปล่อยพลังงานออกมาอย่างมหาศาล และเป็นเหตุให้เกิดการขยายตัวของเอกภพ และเป็นไปได้ว่าอาจจะมีสุญญากาศชนิดใหม่ที่เสถียงกว่าเกิดขึ้นมาอีก ขณะที่เอกภพขยายตัวและเย็นลง ฟองสุญญากาศชนิดใหม่นี้อาจปรากฏและแผ่กระจายในความเร็วเท่ากับแสง การระเบิดของพลังงานจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นจุณไปในชั่วพริบตา

    หลุมดำอำมหิต

    ในกาเเล็กซีทางช้างเผือกของเราเต็มไปด้วย “หลุมดำอำมหิตใน อวกาศ ( black hole ) ” ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ประมาณกันว่ามีถึง 10 ล้านหลุมที่เรียกกันว่าหลุมดำเพราะมันมีแรงโน้มถ่วงมหาศาลจนสามารถดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งแสงสว่างไม่ให้ผ่านไปได้ง่าย หลุมดำเหล่านี้มีการโคจรคล้ายดาวอื่นๆ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นถ้ามันโคจรผ่านระบบสุริยะโดยไม่ต้องถึงกับเข้ามาประชิดติดโลกของเราอย่างน้อย โลกต้องเสียแนวโคจร ทำให้ฤดูกาล ดินฟ้าอากาศ ปันป่วนกันอย่างคาดไม่ถึง หรือมิฉะนั้นก็ถูกดูดจนกระเด็นออกไปนอกระบบสุริยะสู่ชะตากรรมอันเวิ้งว้างในห้วงลึกของอวกาศ

    เปลวสุริยะมหาโหด

    เปลวสุริยะ ( solar flare ) เป็นการระเบิดของพลังงานหลักบนดวงอาทิตย์ที่ส่งผลตรงถึงโลกด้วยอนุภาคความเร็วสูง และทุกๆ11 ปี นักวิทยา-ศาสตร์ค้นพบดาวฤกษ์ที่คล้ายดวงอาทิตย์มีปฏิกิริยาโชติช่วง โดยส่งแสงสว่างและความร้อนขนาดมหึมาขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ และเป็นไปได้ว่าเปลวสุริยะขนาดยักษ์บนดวงอาทิตย์อาจระเบิดพรึบขึ้นมาวันได้ก็ได้ นั่นหมายความว่าภายใน 2-3 ชั่วโมง โลกจะถูกย่างสด โดยสูญชั้นโอโซนก่อน

    สนามแม่เหล็กโลกอ่อนแรง

    ความเข้มของสนามแม่เหล็กโลกได้ลดลงเกือบ 5 % เมื่อศตวรรษที่แล้ว สนามแม่เหล็กทำหน้าที่ปกป้องภัยจากพายุอนุภาค และรังสีคอสมิคจากดวงอาทิตย์และจากห้วงอวกาศ หากสนามแม่เหล็กอ่อนกำลังลง อนุภาค ต่างๆ ก็จะเข้าทำลายชั้นโอโซนได้ง่ายขึ้น และอีกประการหนึ่งก็จะส่งผลถึงอุบัติภัยที่เกิดขึ้นกับระบบนิเวศ

    เถ้าภูเขาไฟถล่มท่วม

    ภัยพิบัติที่เกิดจากความร้อนภายในโลกยังดำรงอยู่ โดยเฉพาะจากภูเขาไฟระเบิด ซึ่งเคยเกิดในระดับที่รุนแรงมากๆ มาแล้วเมื่อภูเขาไฟระเบิดขึ้น เถ้าถ่านจะแผ่กระจายไปทั่วในบรรยากาศทำให้อุณหภูมิลดลง ก๊าซจากภูเขาไฟจะทำให้เกิดฝนกรด ซึ่งอาจถึงขั้นทำลายชั้นโอโซน และผลกระทบในระยะยาว คือ ภูเขาไฟจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ออกมา ก่อให้เกิดปรากฏการเรือนกระจกซึ่งทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น

    โรคระบาด

    ตลอดศตวรรษที่ 14 โรคไข้ดำ ( กาฬโรค ) ได้คร่าชีวิตผู้คนในยุโรปไปราว 1 ใน 4 ของประชากร แค่ช่วงปี ค.ศ. 1918 - 1919 ไข้หวัดใหญ่ก็คร่าชีวิตผู้คนไปอีก 20 ล้านคน และปัจจุบันโรคเอดส์ก็กำลังทำสถิติทำลายล้างชีวิตระดับโลก ขณะที่โรคเก่าเช่น มาลาเรีย และโรคหัด ก็พัฒนาตนเองให้ต่อสู้กับยาปฏิชีวนะหวนคืนกลับมาอีกครั้ง เกษตรกรรมเข้มข้นสมัยใหม่และการพัฒนาที่ดินทำให้มนุษย์ใกล้ชิดกับโรคของสัตว์มากขึ้น การเคลื่อนย้ายประชากร การเดินทางระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นทั่วโลกทุกๆวัน หมายถึงเชื้อโรคสามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็วกว่าที่เคย

    กลับไปหัวข้อ 1