พระพุทธรูปสำคัญประจำโรงเรียนทวีธาภิเศกนามว่า
" พระพุทธทวีธาภิเศกมหามงคล " โรงเรียนทวีธาภิเศก มีพระพุทธรูปสำคัญอยู่สององค์
องค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยพุทธศิลปแบบสุโขทัย แต่เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นใหม่
ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ไว้สำหรับเป็นที่สักการะประจำโรงเรียน
เช่นเดียวกับที่โรงเรียนอื่น ๆ ทั่วไปเป็นพระพุทธรูปสำริด หน้าตักกว้าง 18 นิ้ว
ที่ฐานจารึกชื่อนายสุมิตร รัตนภาหล ผู้สร้างถวาย ยังไม่มีชื่อเรียกเฉพาะ ปัจจุบันประดิษฐาน
ณ ซุ้มพระพุทธรูปใกล้ประตูทางเข้าโรงเรียน เป็นพระพุทธรูปที่เป็นที่เคารพกราบไหว้ของครูอาจารย์
นักเรียนและผู้ปกครองเป็นจำนวนมากอยู่โดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงสอบคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนต่อในระดับชั้น
ม. 1 และม. 4 ของทุกปี เมื่อเข้ามาในโรงเรียนผ่านประตูมองไปทางซ้าย ก็จะได้เห็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามองค์นี้
ประดิษฐานอยู่อย่างสงบภายใต้เงาไม้ที่ดูร่มรื่น อีกองค์หนึ่ง เป็นพระพุทธรูป
อายุเกือบ 200 ปี เป็นพระพุทธรูปบางห้ามสมุทร ทรงเครื่องใหญ่แบบสกุลช่างสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ขึ้น องค์พระพุทธรูปประทับยืนยกพระหัตถ์ทั้งสองขึ้นเสมอพระอุระ
แสดงพระอาการห้าม เรียกกันว่าพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร หรือปางห้ามพระญาติแย่งน้ำในสมุทร
ซึ่งมีที่มาของชื่อปางทั้งสองต่างกันดังจะได้กล่าวต่อไป พระพุทธรูปองค์นี้ ได้รับประทานนามจาก
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก พระพุทธทวีธาภิเศกมหามงคล
ดังข้อความตามลายพระหัตถ์ที่ทรงประทานให้กับท่าน ผอ. กนก จันทร์ขจร อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนทวีธาภิเศก
เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งผู้บริหารอยู่ที่โรงเรียนนี้ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้พระพุทธรูปองค์นี้มาพร้อมกับนำความขึ้นกราบทูลและขอประทานนาม
และได้รับพระกรุณาโปรดฯ ประทานนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า พระพุทธทวีธาภิเศกมหามงคล
อันนำมาซึ่งความปลื้มปิติยินดีและเป็นสิริมงคลยิ่งแก่ชาวทวีธาภิเศก ซึ่งต่างสำนึกในพระกรุณาธิคุณตลอดมา
โรงเรียนจึงถือเอาพระพุทธรูปโบราณ นามประทานจากสมเด็จพระสังฆราชองค์นี้ เป็นพระพุทธรูปสำคัญประจำโรงเรียนทวีธาภิเศก
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา รายละเอียดประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูปองค์นี้ ผู้เขียนขอเสนอแต่พอสังเขปดังนี้
องค์พระพุทธรูปหล่อด้วยสัมฤทธิ์ ลงรักปิดทอง ทำเป็นปางห้ามสมุทร หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
ปางห้ามพระญาติแย่งน้ำในสมุทร (คนละปางกับปางห้ามญาติซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำวันจันทร์)
เป็นพระพุทธรูปรูปประทับยืนตรง ยกพระหัตถ์ทั้ง 2 เสมอพระอุระแสดงอาการห้าม พระพุทธรูปองค์นี้ฉลองพระองค์ด้วยเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์เต็มพระยศ
พระเศียรทรงพระมหาพิไชยมงกุฎ พระบาทฉลองพระบาทเชิงงอน อันเป็นเครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์
ที่สำคัญสำหรับพระมหากษัตริย์ 2 ในห้าอย่าง นอกจากนี้ยังมี กรรเจียกจร ปั้นเหน่ง
ทับทรวง และธำมรงค์ เป็นต้น จึงเรียกว่าพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ ซึ่งนิยมสร้างกันมากในสมัยรัตนโกสินทร์
ตอนต้นพระพุทธรูปองค์นี้สัณนิษฐานว่าน่าจะสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 เช่นเดียวกับพระพุทธรูปพระนามพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ 2 องค์นี้ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด
ฯ ให้สร้างด้วยทองคำอุทิศพระราชกุศลถวายแด่พระบรมราชชนกและพระอัยการของพระองค์
ดังพระนามของพระพุทธรูปนั้นโดยทำปางห้ามสมุทรเช่นเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่เบื้องหน้าซ้ายและขวาขององค์พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
พระแก้วมรกต ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม นัยว่าพระองค์ทรงมีความประสงค์เพื่อให้เกิดสมานฉันท์ขึ้นในหมู่พระประยูรญาติ
เฉกเช่นเดียวกับประวัติที่มาของพระพุทธรูปปางนี้ว่า เมื่อครั้งพุทธกาล ตอนพระประยูรญาติทั้งสองฝ่ายของพระพุทธองค์
คือฝ่ายศากยวงค์และฝ่ายโกลิยวงค์เกิดพิพาทกันเรื่อง แย่งน้ำทำนาที่แม่น้ำโรหินีถึงกับจะยกกองทัพเข้าประหัตประหารกันความทราบถึงพระพุทธองค์จึงได้เสด็จไปประทับท่ามกลางกองทัพทั้ง
2 ฝ่ายที่กำลังเผชิญหน้ากันแล้วทรงยกพระหัตถ์ทั้ง 2 ขึ้นเสมอพระอุระเเสดงพระอาการห้ามพระญาติทั้ง
2 ฝ่ายพร้อมกับเทศนาสั่งสอนจนทั้ง 2 ฝ่ายเลิกลากันหันมาสามัคคีปรองดองต่อกันสืบต่อไป
จึงมีการสร้างพระพุทธรูปปางนี้ขึ้นมา เรียกว่า ปางห้ามพระญาติแย่งน้ำในสุมทร
แต่มักเรียกกันสั้น ๆ ว่าปางห้ามสมุทร นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์อีกตอนหนึ่งในพุทธประวัติ
ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธรูปปางนี้คือ ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดชฎิล 3 พี่น้อง
คือ อุรุเวล กัสสปะ คยา กัสสปะและนทีกัสสปะพร้อมบริวาร ณ ที่พักของพวกเขา โดยพระพุทธองค์เสด็จไปขออาศัยประทับอยู่ด้วย
และถูกจัดที่ซึ่งเป็นโรงไฟที่มีอสรพิษดุร้ายคือพญานาคอาศัย แต่ด้วยพุทธานุภาพบันดลให้พญานาคมีขนาดย่อตัวเล็กลงจนนอนขดอยู่ในบาตรของพระพุทธองค์ได้เป็นอัศจรรย์
ท่านกลางสายตาของเหล่าพวกชฎิลทั้งหลายและเมื่อถึงคืนหนึ่งมีน้ำหลากมากมาท่วมท้นใกล้บริเวณที่ประทับ
พระพุทธองค์ได้ประทับยืนยกพระหัตถ์ทั้ง 2 เสมอพระอุระเพื่อทรงห้ามไม่ให้นำไหลบ่ามาท่วมบริเวณที่ประทับอยู่
โดยน้ำได้ไหลอ้อมไปทั้ง 2 ข้างทำให้ บริเวณนั้นไม่มีน้ำท่วมแม้แต่น้อย เมื่อชฎิลพากันพายเรือมาดูได้เห็นประจักษ์แก่สายตา
จึงพากันละทิฐิเกิดความเลื่อมใสศรัทธาขอบรรพชาอุปสมบทกันทั้งหัวหน้าและบริวาร
รวมทั้งพวกของชฎิลผู้เป็นน้องชาย 2 คนและบริวารที่มาประสบเข้าก็พากันของบวชในพระพุทธศานาจนหมดสิ้น
ทำให้พระพุทธองค์มีพระสาวกช่วยสืบพระศาสนาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ตอนนี้เป็นพุทธประวัติ
จึงเป็นที่มาของพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรอีกตอนหนึ่งเช่นเดียวกัน ผู้เขียนจึงนึกถึงการดำริให้สร้างพระพุทธรูปประจำโรงเรียนทวีธาภิเศก
2 ว่าน่าจะเลือกเอาพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรนี้จะเป็นการเหมาะสมกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมของโรงเรียนเป็นอย่างดี
เพราะ บริเวณที่ดิน 50 ไร่ที่ ท่านนายห้างอาทร สังขะวัฒนะ ศิษย์เก่าผู้ทรงเกียรติผู้ล่วงลับไปแล้วได้กรุณามอนไว้ให้กับโรงเรียนทวีธาภิเศกเพื่อสร้างโรงเรียนทวีธาภิเศก
2 นั้น อยู่ในท้องที่เขตท่าข้าม ที่อยู่ใกล้ชายทะเลมีน้ำขังอยู่แทบทั้งหมดของพื้นที่ในขณะนี้
ยกเว้นที่ซึ่งถมแล้วเพื่อสร้างอาคารเรียนหากจะสร้างพระพุทธรูปปางนี้ประดิษฐานไว้ก็เปรียบได้กับการขอพึ่งพระบารมีของพระพุทธรูปได้บันดาลให้น้ำแห้งหายไปจนหมดสิ้นโดยเร็ว
ดุจที่มาของพระพุทธรูปปางดังกล่าว นั่นคือพื้นที่ 50 ไร่ ได้รับสนับสนุนเป็นการถมจนเต็มเนื้อที่พื้นน้ำหรือที่ชาวอินเดียเรียกว่า
" สมุทร " ก็จะกลับกลายเป็นพื้นดินอันกว้าใหญ่ไพศาล โรงเรียนทวีธาภิเศก 2 นี้จะกลายเป็นโรงเรียนในเขตกรุงเทพมหานครที่มีเนื้อที่มากที่สุดแห่งหนึ่งการขยายตัวหรือพัฒนาความเจริญก้าวหน้าของโรงเรียนก็จะเป็นไปได้อย่างรวดเร็วราบรื่นด้วยพระบารมีแห่งพระพุทธรูปประจำโรงเรียน
ที่เรียกว่า ปางห้ามสมุทร ด้วยเหตุผลดังกล่างวแล้วจึงขอฝากไว้ในดุลพินิจของครูใหญ่และคณะผู้บริหารโรง
เรียนทวีธาภิเศก 2 โรงเรียนน้องของโรงเรียนทวีธาภิเศก ที่ได้มีพระพุทธรูปสำคํยประจำโรงเรียนเป็นพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร
ทรงเครื่องใหญ่ไปแล้ว ส่วนโรงเรียนน้องจะตั้งใจเลือกพระพุทธรูปปางใดก็สุดแล้วแต่พิจารณา
เพียงแต่เสนอแนะมาด้วยความรักและปรารถนาดีต่อกันเท่านั้นเอง เพราะมีความเห็นว่าพระพุทธรูปปางนี้แม้จะขึ้นต้นเรื่องปางว่า
" ห้าม " ก็จริงแต่เป็นการห้ามไม่ให้น้ำท่วม ห่มไม่ให้มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน
มิได้ห้ามกระทำความดีหรือห้ามความเป็นสิริมงคลแต่ประการใด กำลับตรงกันข้ามเมื่อห้ามสิ่งดังกล่าวสำเร็จแล้ว
ผลตามมาคือ ความเจริญรุ่งเรืองของสถาบัน และความสมัครสมานฉันท์ของบุคลากรก็ถือได้ว่าเป็นการ
ห้าม ที่ดีมิใช่ ห้าม ให้เกิดความเสียหายแต่ประการใด ๆ ทั้งสิ้น แม้แต่องค์พระมหากษัตริยาธิราชเจ้ายังทรงเลือกเอาพระพุทธรูปปางนี้สร้างอุทิศถวายพระราชกุศลแด่พระบุรพมหากษัตริย์ในรัชกาลก่อน
ๆ ของพระองค์ เช่น รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างอุทิศถวายแด่รัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่
2 ดังกล่าวแล้ว และรัชกาลที่ 5 ทรงโปรด ฯ ให้สร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ปางนี้เช่นเดียวกัน
เพื่ออุทิศถวายพระราชกุศลแด่อัยกาธิราชเจ้าของพระองค์ ณ ด้านหน้าพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม
ดังปรากฎมาจนถึงปัจจุบันนี้แล้วอยู่ ๆ โรงเรียนทวีธาภิเศกโรงเรียนที่พรองค์ทรงพระราชทานกำเนิดก็ได้รับพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ปางเดียวกัน
มาประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปสำคัญประจำโรงเรียนอยู่ในขณะนี้ ทั้งได้รับนามประทานจากองค์สมเด็จพระสังฆราชพระประมุขแห่งสังฆมณฑลเสียอีดด้วย
จึงนับว่าเป็นเรื่องที่เป็นสิริมงคล แลอัศจรรย์แก่ชาวทวีธาภิเศกเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ มีปรากฎอยู่ในพุทธประวัติตอนหนึ่ง
คือตอนที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่พระเวฬุวันวิหาร ทรงทราบจากรพระเจ้าพิมพิสารว่า
พญาชมพูบดีพระราชาแห่งปัญจาลนคร ผู้ทรงมีบุญญาธิการเพราะทรงอาวุธวิเศษคือ วิษสร
อันเป็นสรวิเศษฉลองพระบาทแก้ว และจักรแก้ว จึงมีพระบรมเดชานุภาพมากเป็นที่ครั่นคร้ามแห่งบรรดาพระราชาแห่งแคว้นต่าง
ๆ เป็นอย่างดี ครั้นพระองค์เสด็จมายังนครราชคฤห์ ทรงเห็นยอดปราสาทสูงสร้างงดงามยิ่งของพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระราชาจึงทรงริษยาจะทำลาย
แต่มิสำเร็จด้วยพุทธบารมีแห่งพระพุทธองค์ ซึ่งประทับอยู่ ณ เวฬุวันในนครราชคฤห์แห่งนั้น
และพระเจ้าพิมพิสารก็ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงเลื่อมใส ศรัทธาต่อพระพุทธองค์เป็นอย่างมาก
พุทธบารมีจึงคุ้มครองพระนครให้ปลอดภัยจากจักรวิเศษ และศรวิเศษของพญาชมพูบดีไปได้
ครั้นความทราบถึงพระองค์ว่าพระเจ้าพิมพิสารถูกพญาชมพูบดีทรงรังแกเช่นนั้น กอปรกับพระพุทธองค์ทรงทราบได้ด้วยพระญาณว่า
พระราชาพระองค์นั้นมีบารมีพอจำสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ จึงทรงเนรมิต เวฬุวันวิหารเป็นนครอันกว้างใหญ่
มีพระบรมมหาราชวัง อันโอ่โถง วิจิตรพิสดาร เนรมิตพระสงฆ์สาวกเป็นอำมาตย์เสนาบดี
แล้วให้ท้าวสักกะเทวราชเสด็จไป อัญเชิญพญาชมพูบดี เสด็จมายังพระนครเนรมิตของพระพุทธองค์
โดยพระพุทธองค์ก็ได้เนรมิตพระวรกายเป็นพระราชาที่ทรงเครื่องต้นเต็มพระยศ พระสิริโฉมงามสง่ายิ่ง
เหนือพระบารมีแห่งพญาชมพูบดี เมื่อพระองค์เสด็จมาถึง เสด็จพระราชดำเนินเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ซึ่งประทับเหนือรัตนบัลลังก์
และได้มีการประลองอาวุธวิเศษกันระหว่างวิษสรกับพุทธจักรของพระพุทธองค์ จนอาวุธของพญาชมพูบดีต้องปราชัย
ทิฐิมานะของพระองค์ก็คลายลงและหมดสิ้นไปในที่สุด ถึงกับยอมมอบกายถวายชีวิตของพระองค์ในพระพุทธศาสนาขอบรรพชาอุปสมบท
พระพุทธองค์จึงทรงประทาน เอหิภิกขุอุปสัมปทาน ให้แก่พญาชมพูบดีในที่สุดและเหตุการณ์ในครั้งนั้น
ก็กลายเป็นที่มาของพระพุทธรูปทรงเครื่องเกิดขึ้น โดยถือเอาตอนที่พระพุทธองค์ทรงเนรมิต
พระวรกายเป็นพระราชาธิบดีที่ทรงเครื่องพระภูษาทรงเต็มพระยศนั้นเอง และขนานนามพระพุทธรูปทรงเครื่องนั้นว่า
"ปางโปรดพญาชมพูบดี" โดยทำเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งคล้ายปางมารวิชัย ผิดกันตรงมีฉลองเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์แทนการครองจีวร
เหมือนแบบพระพุทธรูปโดยๆทั่วไป นี่คือประวัติที่มาของพระพุทธรูปทรงเครื่อง บัดนี้
พระพุทธรูปประจำโรงเรียนองค์นี้ ผู้เขียนได้ อัญเชิญจากห้องพิพิธภัณฑ์เดิมมาประดิษฐาน
ยังห้องพิพิธภัณฑ์ใหม่ ณ ตึก 100 ปีทวีธาภิเศก เรียบร้อยแล้ว แต่เนื่องจากพระพุทธรูปองค์นี้มีความ
เก่าแก่มาก จึงมีส่วนที่ชำรุดเสียหายอยู่หลายแห่ง เช่น แผ่นรักปิดทองที่หุ้มพระวรกายหลุดล่อนสูญ
หายไปฐานที่เคยประดิษฐานเป็นของเดิมก็ไม่มี กลายเป็นฐานแท่นไม้สี่เหลี่ยมรองรับแทนฐานเดิม
แต่ยังโชคดีที่ผู้เขียนได้ไปพบที่ร้านขายของเก่า เป็นฐานพระพุทธรูปรุ่นสมัยเดียวกันและขนาดเท่ากันเข้ากันได้
จึงเรียน ให้ผู้อำนวยการกนก จันทร์ขจร อดีตผู้บริหารโรงเรียนทวีธาภิเศก ท่านจึงได้จัดซื้อบริจาคให้โรง
เรียนซึ่งจะ ได้ทำการเปลี่ยนฐานให้เป็นของเดิมที่สมบูรณ์ต่อไป ผู้เขียนใคร่ขอถือโอกาสเชิญชวนท่านผู้มีจิตเป็นกุศล
มา ณ ที่นี้ด้วย
(ว่าที่ร้อยตรีกฤษณศักดิ์ กัณฐสุทธิ์ เรียบเรียง)