อุดมธรรม-นิพพาน กับขบวนการล้มพุทธ

p30-153.jpg (7626 bytes)

 

สิ่งที่ชาวพุทธจำนวนมากรับทราบจากข่าวสาร ในกรณีวัดพระธรรมกาย เกิดจากการเสนอข่าว สร้างกระแสว่า บิดเบือนคำสอน ว่า นิพพาน เป็น อัตตา ซึ่งก็ได้รับผล ประชาชนพากันรุมโจมตี โหมกระหน่ำตลอดมา จวบจนปัจจุบัน จึงขอเรียนให้ทราบว่า จากพยานเอกหลักฐาน ที่ได้รับแจกจากการประชุมเสวนา ณ อาคารรัฐสภาวันที่ 30 ก.ค. 2542 ซึ่งจัดโดย คณะกรรมมาธิการศาสนาฯ นั้น สามารถยืนยันได้ว่า การใช้คำว่า "นิพพาน" เป็นตัวนำ ในการโจมตีนั้น มีวัตถุประสงค์ ให้ชาวพุทธไขว้เขว ในพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่แน่ใจว่า เป็นอย่างใดแน่ และเมื่อเกิดความสับสน ก็สามารถบิดเบือน สร้างคำจำกัดความใหม่ ของคำว่า "นิพพาน" ของตนเข้าไป โดยใช้คำว่า "อุดมธรรม" (ซึ่งมิใช่คำในพระพุทธศาสนา) แทน โดยระบุว่า คือสิ่งเดียวกันกับ "นิพพาน" ปรากฏเป็นหลักฐานแจ้งชัด และยกย่อง ถือเป็นสิ่งสูงสุด เท่ากับพระนิพพาน อันเป็นธรรมขั้นโลกุตร ที่พระอรหันต์ ผู้หมดกิเลสแล้วเท่านั้น จึงจะบรรลุได้ ปรากฏแจ้งชัด ในผังการปกครองสังฆมลฑล ที่นำเสนอโดย พระศรีปริยัติโมลี (ดูเอกสารประกอบ)

ผมเองก็สงสัยมาตลอดในคำว่า "อุดมธรรม" คืออะไรกันแน่ และเหตุผลไฉนจึงนำไปไว้สูงสุด และให้ ความหมายว่า คือ "นิพพาน" ซึ่งเป็นโลกุตรธรรมขั้นสูงสุด ของพระพุทธศาสนา ผมพยายามค้นหา ในพระไตรปิฎกทุกฉบับ ที่มีอยู่ในโลก ผลคือไม่มีครับ แต่มีอยู่ที่เดียวในโลกคือ หนังสือ "อุดมธรรม" ซึ่งแจกที่รัฐสภาฯ นั่นแหละ ท่านทราบหรือไม่ว่า ใครบัญญัติและให้ความหมายคำว่า "อุดมธรรม" ท่าน ผู้นั้นคือ พระธรรมปิฎก นั่นเอง ซึ่งให้ความหมายคำๆ นี้โดยรวมว่า "อุดมธรรม คือ การเอื้อเฟื้อเกื้อกูลศาสนาอื่น" (ในขณะที่ "นิพพาน"ในความหมายของพระไตรปิฎก คือ การดับกิเลสอาสวะทั้งปวง หลุดพ้นจากโลกียธรรมทั้งสิ้น) เป็นการบิดเบือนพระสัทธรรม ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยชัดแจ้ง กรณีวัดพระธรรมกายซึ่งโดนกล่าวหาว่าสอนผิดพระไตรปิฎก แล้วกรณี ประกาศให้โลกยอมรับว่า เป็น "อุดมธรรม" คือ "นิพพาน" จะดำเนินการอย่างไร?? หรือว่า เพราะเป็นคนของ คณะกรรมาธิการศาสนาฯ จึงทำได้ไม่ผิด

คำถามที่อยากจะถามไปยังผู้ที่มีความรู้ทางพระพุทธศาสนาว่า ในเมื่อพระพุทธ องค์ได้ทรงบัญญัติไว้แจ้งชัด ในพระไตรปิฎก เรื่องนิพพาน ซึ่งมิได้เกี่ยวข้อง หรือมีข้อความใดๆ อันกล่าวถึง การสนับสนุนศาสนาอื่นเช่นนี้ จัดว่าผู้ที่กล่าว หรือประกาศเช่นนั้นได้ทำตัวเป็น ศาสดาองค์ใหม่ แทนพระพุทธเจ้าได้หรือไม่??

เอกสารดังกล่าวนี้ ได้รับอนุญาตจากนายอำนวย ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการศาสนาฯ ให้แจกจ่ายกับผู้ร่วมประชุมได้ จึงพอพิสูจน์เจตนา อำนาจ และ อิทธิพลของขบวนการ และองค์กรนอกศาสนานี้ ได้เป็นอย่างดี

ผมมีข้อความซึ่งคัดจากเอกสารที่อนุญาตให้แจกที่รัฐสภาฯ มาให้ท่านผู้อ่านพิจารณา ข้อความมีดังนี้

"ตัวธรรมชาติทั้งหลายเป็นกายของพระเจ้า กฎของธรรมชาติ เป็นจิตของพระเจ้า หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ นั้นคือพระประสงค์ และข้อเรียกร้องของพระเจ้า ส่วนผลตามหน้าที่นั้น คือผลที่พระเจ้าประทานให้" ผมอยากจะถามท่านผู้อ่าน ท่านเชื่อหรือ ไม่ว่า เป็นคำเทศนาของพระพุทธทาส ซึ่งเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ท่านที่เป็นลูกศิษย์ลูกหา ช่วยตอบด้วยนะครับ หรือใครมีเทปหลักฐานยืนยัน การเทศนานี้ โปรดส่งมาให้จะเป็นพระคุณยิ่ง แต่สำหรับผมเองนั้น ไม่เชื่อครับ ว่าพระสงฆ์ในพุทธศาสนาจะเทศนาสั่งสอนคริสต์ศาสนา โดยเฉพาะท่านพุทธทาส ซึ่งเป็นพระที่เคร่งในการปฏิบัติ ผมเข้าใจว่า เป็นการทำให้เสื่อมเสีย โดยท่านไม่มีสิทธิแก้ตัว เพราะท่านมรณภาพไปแล้ว เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือว่า พระพุทธทาส สนับสนุนคริสเตียน เพื่อให้เจือสมกับคำว่า "อุดมธรรม" ของพระธรรมปิฎก นั่นเอง

และนับแต่วันจันทร์ (๒ ส.ค. ๔๒) ที่ผ่านมา ผมได้รับคำถาม จากหน่วยราชการ และร้านจำหน่ายหนังสือ และประชาชนตลอดจนพระสงฆ์ จำนวนมาก เกี่ยวกับหนังสือ "เปิดโปงขบวนการล้มพุทธ" มีความสงสัย อยากทราบข้อกฎหมายบางประการ ที่เกี่ยวข้อง ก็ขอเรียนตอบให้ทราบว่า

หนังสือดังกล่าวนั้น เป็นการแสดงความต่อเนื่องเชื่อมโยง และพฤติกรรมของกลุ่มบุคคล ที่ร่วมกันกระทำการ อันมิใช่เจตนารมย์ ของรัฐธรรมนูญ สร้างสถานการณ์ "กรณีธรรมกาย" เพื่อเป็นสาเหตุ สร้างกระแสประชาชน นำไปเป็นข้ออ้าง ในการออกกฎหมาย ยึดอำนาจคณะสงฆ์ไทย และใช้บังคับพุทธศาสนิกชน ทั่วประเทศ อันเป็นอันตราย ต่อความมั่นคงของชาติ เป็นอย่างยิ่ง "การแสดงข้อมูลแท้จริง ที่เกิดขึ้นจริง มีหลักฐานทางราชการ และหลักฐานสาธารณะ สามารถพิสูจน์ได้ มิใช่เป็นความเท็จ เป็นการติชม ด้วยความเป็นธรรม นำมาเปิดเผยต่อสาธารณชน ให้รับทราบ รับรู้ เพื่อป้องกัน เหตุอันจะเป็นภัย ต่อความสงบสุข และศีลธรรมอันดี ของประเทศชาติ อันเป็นวิสัยของประชาชนชาวไทย พึงกระทำ (จึงไม่ขัดต่อ ป.อาญา มาตรา 329)" อีกทั้งเป็นการกระทำที่ถูกต้อง ตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญ ตัวบทกฎหมาย และหน้าที่ของพลเมืองไทย ส่วนผู้ที่ห้ามจำหน่ายจ่ายแจก หนังสือดังกล่าว ซึ่งมีประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชน ดังกล่าวนั้น อาจจัดเป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 (ฐานตัวการร่วม) คือ ร่วมกระทำความผิด กับกลุ่มบุคคล ที่ดำเนินการใดๆ ซึ่งเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา อันเป็นสถาบัน แห่งความมั่นคงของชาติ อยู่ในขณะนี้ สำหรับผู้จำหน่ายจ่ายแจก คือ ผู้ที่ทำหน้าที่พลเมืองดีของไทย ในการเผยแพร่ ข้อมูล ป้องกันประเทศ และช่วยรักษาความมั่นคงของชาติ ในส่วนสถาบันศาสนาอีกด้วย

                   พุทธศาสนาคือศาสนาประจำชาติ              

คำนี้มิใช่คำกล่าวอ้างขึ้นลอยๆ โดยการแอบอ้าง จากชาวพุทธไทย แต่อย่างใด ปรากฏหลักฐาน โดยมีพระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำรัส ณ พระที่นั่ง จักรีมหาปราสาท เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2527 มีความจำเพาะตอนหนึ่งว่า

"คนไทยเป็นศาสนิกที่ดีทั่วกัน ส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนา ประจำชาติ" จากพระราชดำรัสนี้ เป็นสิ่งยืนยันสถานะของ พระพุทธศาสนา เฉกเช่นบรรพกษัตริย์ไทย แต่โบราณกาล (การที่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือขบวนการ ได้กล่าวอ้างว่า ไม่เคยปรากฏหลักฐาน ณ ที่ใด ในประเทศไทยว่า ศาสนาพุทธ คือศาสนาประจำชาติ ซึ่งคำกล่าวข้างต้นนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด) และยิ่งไปกว่านั้น คือ ทรงมีพระราชดำรัสต่อหน้า สันตปาปา จอห์น ปอล ที่ ๒ ประมุขแห่งศาสนจักร โรมันคาทอลิค เมื่อมีพระกรุณา โปรดเกล้า โปรดกระหม่อม ให้เข้าเฝ้า ซึ่งชาวพุทธไทย จงโปรดระลึกไว้

ฉะนั้นการที่ผมและชาวพุทธไทย อีกหลายล้านท่าน ที่ได้ออกมากล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า "พุทธศาสนา คือ ศาสนาประจำชาติ" ย่อมมีที่มา มีหลักฐาน เป็นการสนอง เบื้องพระยุคลบาท เทิดทูนพระราชปณิธาน พระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันสูงสุดของชาติ ซึ่งผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้

จากการประชุมที่เกิดขึ้นในวันที่ ๑ ก.ย. ๓๗ "จิตสำนึกของชาวพุทธ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ในฐานะเป็นศาสนาประจำชาติ" วิทยากรท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา ได้กล่าวต่อหน้าที่ประชุมว่า

"อาตมาได้รับนิมนต์ให้มาพูดเรื่อง พุทธศาสนา ในฐานะเป็นศาสนาประจำชาติไทย... อาตมาจะต้องของทำความเข้าใจ กับที่ประชุมก่อนว่า ตัวอาตมานั้น ไม่ได้มาเพื่อที่จะร่วมรณรงค์ในเรื่องนี้ และว่าที่จริง อาตมาก็ไม่ได้สนใจ เรื่องการบัญญัติพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติหรือไม่ เหตุผลในการที่จะบัญญัติพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ ไว้ในรัฐธรรมนูญ ก็ไม่เห็นด้วย"

ท่านทราบไหมครับ ว่าวิทยากรที่กล่าวถึงนี้ คือใคร ท่านคือ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ผู้สร้างสถานการณ์ "กรณีธรรมกาย" ให้เป็นเรื่องแตกแยกในพระพุทธศาสนา อยู่ในขณะนี้ เมื่อนำเอาข้อมูลนี้ ไปรวมกับคำสารภาพของ นายประเทือง เครือหงส์ ซึ่งรับสารภาพว่า เป็นผู้ยกร่าง พรบ.ทั้ง ๒ ฉบับ จึงทราบได้ทันทีว่า พระธรรมปิฎก เป็นผู้กำกับเหตุการณ์ ให้เหมาะสมต่อการนำ พรบ.ใหม่ มาดำเนินการได้สำเร็จตามแผนงานที่วางไว้

                   ใครคือผู้กำกับบทที่อยู่หลังฉาก ???                

ขณะนี้กระแสของการต่อต้านกฎหมาย ฆราวาสปกครองสงฆ์ และกฎหมายปลดอำนาจ สมเด็จพระสังฆราช ประมุขสงฆ์ไทย กำลังแรงขึ้นทุกขณะ แต่ขบวนการล้มพุทธก็พยายามใช้สื่อสารมวลชน ในอาณัติของตน พยายามสร้างข่าวพระธัมมชโย จะต้องไปให้การกลบเกลื่อน โดยพยายามสร้างภาพ ให้เห็นไปเหมือนว่า พระคืออาชญากรยังไงยังงั้น ผมอยากจะถามเจ้าหน้าที่ตำรวจจังว่า คดีวูล์ฟกัง ราชายาเสพติดน่ะ ไม่เห็นได้วางกำลังขนาดนี้ น่าสลดใจ จากภาพที่ออกมาทางโทรทัศน์ ในความคิดเห็นส่วนตัวผมว่า ทำให้ข้าราชการตำรวจส่วนใหญ่ เสียชื่อ เพราะมันเป็นการ สนองตัณหาของผู้ใหญ่ ไม่กี่คนเท่านั้น

กรณีที่ดินนี้ หากว่าถึงเรื่อง การสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งสำนวน อัยการก็ไม่ฟ้องแล้ว เพราะอะไร เพราะว่า ผู้แจ้งความกล่าวโทษนั้น ได้กล่าวโทษในข้อหาเกี่ยวกับเรื่อง เจ้าพนักงานทำผิดต่อหน้าที่ ประเด็นที่จะต้องสอบสวนก็คือ เป็นเจ้าพนักงานหรือเปล่า มีหน้าที่หรือเปล่า หากเป็นเจ้าพนักงาน ไม่มีหน้าที่ ก็ไม่มีความผิดแล้ว นี่ว่ากันตามตัวบท ไม่ว่าจะเป็นมาตรา 147 หรือ 157 ก็ตาม แต่ที่พนักงานสอบสวน กำลังทำอยู่ขณะนี้ ภาษากฎหมาย เขาเรียกว่า หลงประเด็น แต่จะบอกความลับ ให้ท่านผู้อ่านทราบเอาไว้สักนิดว่า ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องสอบสวนเรื่องสิทธิ์ บนที่ดินนั้น ก็เพราะนายอาคม เอ่งฉ้วน และกรรมการศาสนา ถูกฟ้องคดีแพ่ง ซึ่งศาลประทับรับคำฟ้อง และนัดไต่สวนมูลฟ้อง ปลายเดือนนี้ ดังนั้นการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงมุ่งประเด็นสิทธิ์บนที่ดิน ว่าได้มาชอบหรือไม่ เพื่อจะนำไปใช้ในการต่อสู้คดี ในศาลแพ่ง ของนักการเมืองที่ถูกฟ้องนั้น หากพนักงานสอบสวน ว่าผมพูดไม่จริง เมื่อมีการเบิกพยานในการไต่สวนมูลฟ้อง ที่ศาลแพ่ง อย่าอ้างข้อมูลใดๆ หรือเอาสำนวนสอบสวนเรื่องสิทธิ์ที่ดินนี้ ไปอ้างไหมล่ะ แล้วที่ผมบอกว่า สำนวนดังกล่าวที่สอบสวนนี้ แม้จะส่งอัยการก็ไม่ส่งฟ้อง เพราะขัดต่อกฎหมายที่พนักงานสอบสวนเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องลับ โดยเฉพาะ ละเมิดรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยสิทธิของบุคคล ในการตรวจบัญชีส่วนตัวในธนาคาร เป็นการได้พยานเอกสารมาโดยทุจริต (ขัดต่อ พรบ.ธนาคารพาณิชย์ ห้ามเปิดเผยข้อมูลของลูกค้า) เจ้าพนักงานสอบสวนก็อาจมีความผิด ฐานเปิดเผยความลับทางราชการ (ไม่เชื่อลองเปิดกฎหมายดูเถอะครับ แล้วจะต้องตกใจว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจอาศัยอำนาจกฎหมายข้อไหน ออกหมายเรียกหมายจับ หมายค้น ทั้งๆ ที่ตนไม่มีกฎหมายรองรับสักนิดเดียว แม้แต่คำว่าพนักงานสอบสวน ตาม ป.วิ.อาญามาตรา 2 (6) ก็นำมาใช้อ้างไม่ได้ เพราะไม่ใช่กรมตำรวจแล้วครับ) นี่เป็นเรื่องง่ายๆ เห็นได้ชัดว่า อะไรเป็นอะไร ใครเป็นใคร และทำไมจึงเกิดขึ้น

แน่นอนที่สุด การทำลายพระพุทธศาสนา ให้สิ้นไปจากแผ่นดินไทย โดยใช้ผลประโยชน์ อำนาจ และอิทธิพลเป็นเครื่องล่อใจ ให้ใครต่อใคร กระทำลงไปโดยไม่กลัวบาปกรรมที่จะตามมาถึงตัวโดยเร็ววันนั้น ย่อมมีตัวการ มีผู้ร่วมขบวนการ หากท่านอ่านข่าวสารจากสื่อมวลชนขณะนี้ จะเห็นว่า มีการออกมาปฏิเสธ จากพระธรรมปิฎก ว่าไม่เคยรู้เห็น เกี่ยวกับการร่างพระราชบัญญัติ ทั้งสองฉบับแต่อย่างใด แต่จากเอกสาร บันทึกการประชุมวันที่ 10 มิ.ย. 42 เรื่องการปรับปรุงกฎหมายปกครองคณะสงฆ์ ที่กรมการศาสนา หน้า 21 ปรากฏข้อความดังนี้

นายวรเดช อมรวรพิพัฒน์ นักวิชาการประจำกรรมมาธิการศาสนาและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เสนอสรุปได้ว่า

1.เจ้าคุณพระธรรมปิฎก อาพาธ จะมีหนังสือขอลาออก จากการเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการชุดนี้ อย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง แต่ปรารภว่า ยินดีที่จะให้คำปรึกษา หรือวิจารณ์เป็นลายลักษณ์อักษร มาเป็นเรื่องๆ ไป

ผมก็อยากจะฝากให้ท่านผู้อ่าน พิจารณากันเองก็แล้วกันว่า เกี่ยวข้องหรือไม่ แล้วที่สำคัญก็คือว่า นายวรเดชฯ เกี่ยวข้อง หรือได้รับมอบอำนาจ หรือเกี่ยวข้องสถานใด กับพระธรรมปิฎก จึงมีสิทธิ มาแจ้งต่อที่ประชุมแทนได้ ช่วยตอบให้ทราบด้วยนะครับ

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวในโลกที่มีความ เป็นอมตะ เป็นอกาลิโก มีความทันสมัยต่อทุกยุค ธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันได้ปรากฏในพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นพระพุทธวัจนะ แม้พระอรหันต์ ผู้เป็นพระสุปฏิปันโน ซึ่งเป็นพระอริยสงฆ์เคารพ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด มิอาจบิดเบือน ด้วยพระพุทธวัจนะ ได้บัญญัติแจ่มชัดว่า

"ดูก่อนอานนท์ ธรรมวินัย อันเราบัญญัติไว้ดีแล้ว จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย แทนตถาคตสืบไป" อันธรรมวินัยของพุทธศาสนา ยอดยิ่งกว่าศาสนาใด เนื่องจาก มีวิถีทางปฏิบัติ ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง สิ้นจากกิเลสตัณหา อาสวะ ได้โดยการปฏิบัติให้ถึง "นิพพาน" ซึ่งมีบัญญัติไว้ ในพระไตรปิฎกว่า ต้องใช้การบำเพ็ญเพียรหลายภพหลายชาติ สะสมบุญบารมี จึงจะบรรลุอรหันต์ มีพระนิพพานเป็นที่สุด นั่นคือ ความหมายและหลักธรรม ในพระพุทธศาสนา และความหมายของคำว่า "นิพพาน" อันธรรมสูงสุด

แต่บัดนี้พระสัทธรรมพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ถูกเหยียบย่ำ ลดคุณค่า ของพระ "นิพพาน" ให้หมดความหมาย กลายเป็นอักษรตัวเล็กๆ ที่อธิบายความ หมายของ "อุดมธรรม" ดังได้กล่าวไปแล้ว ซึ่งขบวนการล้มพุทธ ได้จัดให้เป็นสิ่งสูงสุด ในพระพุทธศาสนา ซึ่งพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ต้องปฏิบัติตาม จึงอยากจะถามว่า นับตั้งแต่กฎหมายนี้ ประกาศใช้ พระสงฆ์และชาวพุทธทั่วไป จะต้องเคารพนับถือกราบไหว้ผู้ที่บัญญัติ คำว่า "อุดมธรรม" ในฐานะเป็นศาสดา แทนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช่หรือไม่?


(หน้าปก - - - สารบัญ - - - อ่านต่อ)

1