คำสั่งจากวาติกัน กับ "พุทธธรรม" การทำลายองค์กรพระพุทธศาสนาในประเทศไทยนั้น ได้มีการวางแผนไว้ อย่างเป็นขั้นตอน โดยมีผลสืบเนื่องมาจาก VATICAN COUNCIL การประชุมใหญ่ สำนักวาติกันที่ ๒ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ ๑๑ ต.ค.๒๕๐๕ ถึง ๘ ธ.ค.๒๕๐๘ (๓ ปี) เป็นการจัดประชุม บิชอฟของคาทอลิคทั่วโลก อันถูกคัดสรรว่า เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพสูง ๔,๐๐๐ คน ซึ่งผลของการประชุม ได้มีมติออกมาเป็นคำประกาศ ซึ่งเรียกว่า "Declaration on relations of the church with non - christian religions คำแถลงของสภาประชุม เรื่อง ความสัมพันธ์แห่งศาสนจักรกับศาสนาที่มิใช่คริสต์ศาสนา" ซึ่งมองเป้าหมายทางด้านเอเซียซ ึ่งมีฐานทางด้านการเกษตร อันสามารถอำนวยผลประโยชน์ ให้กับองค์กรคริสตจักรของวาติกัน ได้เป็นอย่างดี แต่มีด่านสำคัญคือ พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งอยู่ในตำแหน่งใกล้เส้นศูนย์สูตร และเส้นแบ่งกึ่งกลางของการสื่อสาร และการคมนาคมของโลก ซึ่งมีพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ มีองค์กรปกครองคณะสงฆ์ ที่เข้มแข็ง และเป็นที่เคารพสักการะ ขององค์พระมหากษัตริย์ รวมไปถึงผู้บริหารของประเทศ ถูกจัดให้เป็นสถาบันหลักของชาติ แห่งความมั่นคงของชาติ ประกอบกับประเทศไทย นับเป็นประเทศ ที่มีทางออกทะเลติดต่อกับ ๒ มหาสมุทรคือ มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิค เป็นจุดศูนย์กลางแห่งพาณิชย์นาวี เพราะฉะนั้นประเทศไทย จึงเป็นจุดสำคัญ ที่จะต้องกลืนให้ได้โดยดุษฎี และไร้การต่อต้าน โดยการทำลายพระพุทธศาสนา นั่นหมายถึงจำนวนประชากรชาวพุทธ ซึ่งมีจำนวนถึง ๙๕% ของ ประเทศที่จะต้อง สยบยอมในที่สุด จึงมีมติเห็นชอบร่วมกัน โดยเป็นคำสั่ง ๒ ประการ ปรากฏเป็นหลักฐาน คือ (๑๐:๒๔) "ให้วาติกันสนับสนุนหาผู้เชี่ยวชาญ ไปจัดการเปลี่ยนแปลงพระไตรปิฎก คัมภีร์ในพระพุทธศาสนา ให้มาเป็นคริสต์ศาสนา" (๙:๑๒:๑๕) "ให้แยกแทรกศาสนธรรมที่แท้จริง อันทรงคุณค่าในพระพุทธศาสนาให้ได้ โดยอาศัยพระวจนะเผยของพระเจ้า ในคริสต์ศาสนา เป็นเครื่องส่องทาง ให้ดำเนินการพิจารณาหาหนทาง จัดทำให้เห็นได้ว่า ศาสนธรรมอันทรงคุณค่า ในพระพุทธศาสนานี้ จะสมบูรณ์ได้ด้วยการ อาศัยคำของคริสต์ศาสนา" ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ ของสำนักวาติกันขึ้น ในปี พ.ศ.๒๕๐๙ คือ ๑. The Secret Congregation of Propaganda กระทรวงโฆษณาเผยแพร่ศาสนา รับผิดชอบวิธีการเผยแพร่แบบมิชชั่น (การรุกแบบตรงตัวแตกหัก) ๒. Secretariat for non-Christians สำนักงานเลขาธิการเพื่อผู้ไม่นับถือคริสต์ศาสนา รับผิดชอบงานแบบไดอาล็อค เมื่องานของ (๑) ไม่สามารถทำได้ แบบเฉียบพลัน ให้ใช้หน่วยงานนี้ เข้าทำงานในระบบกลืนศาสนา และวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นไปเลย หน่วยงานทั้งสองนี้เอง ได้ออกเอกสารลับเฉพาะ ซึ่งใช้สำหรับการสั่งการ ระหว่างสำนักงานเลขาธิการฯ กับบาทหลวงชั้นผู้ใหญ่ ตั้งแต่บิชอฟขึ้นไป ซึ่งมีการปฏิบัติภารกิจอยู่ทั่วโลก เรียกว่า Bulletin Confidential Publication เรียกสั้นๆ ว่า Bulletin หรือวารสารแถลงกิจ ซึ่งเป็นคำสั่งที่สำคัญ ทั้งนี้ทั้งนั้น จะต้องยึดหลักการ ๓ ข้อของมติที่ประชุมแห่งวาติกันคือ (๗:๑๕) "ภารกิจของงานเผยแพร่แบบมิชชั่น ไม่จำกัดอยู่ที่การเปลี่ยนใจ บุคคลทีละคน ให้มานับถือคริสต์ศาสนาต่อไปแล้ว แต่ภารกิจในบัดนี้คือ การเปลี่ยนตัวศาสนาทั้งศาสนา ให้มาเป็นคริสต์ศาสนา" (๑๐:๗) "ท่านจงไปทำให้ประชาชาติทั้งหมด ให้เป็นสาวกของพระเยซู" ถ้อยคำนี้ควรต้องจารึกด้วยตัวทอง ลงหน้าแท่นบูชา ของวาติกัน ที่ ๒" (๑๐:๒๕:๒๗) "ในประเทศพระพุทธศาสนา คริสต์ศาสนจักร จะต้องนำเอาองค์ประกอบต่างๆ ของพุทธมาใช้ และเปลี่ยนรูปเสีย ใหม่ด้วยการให้ความหมาย ทางคริสศาสนาลงไป เพื่อที่จะดัดแปลงให้เข้ากัน กับคริสต์ให้ได้" ได้มีการจัดระบบในการดำเนินการเหล่านี้ จากข้อมูลหลักฐานชี้ชัดว่า การเริ่มอย่างเป็นรูปธรรม ในการทำลายพระพุทธศาสนา ในประเทศไทย คือ ในเดือน มกราคม พ.ศ.๒๕๑๐ ได้มีการออกหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "คริสตธรรม - พุทธธรรม" ปาฐกถาซินแคลร์ ทอมสันอนุสรณ์ ชุดที่๕ โดย โดสุเกะ โดยมหาวิทยาลัยพระคริสตธรรม สภาคริสตจักร ณ ประเทศไทย เชียงใหม่ เป็นผู้ตั้งชื่อ จัดพิมพ์โดย ว.ศ. (นายวิโรจน์ ศิริอัฐ สาเหตุที่ต้องใช้นามแฝงเพราะกลัวถูกต่อต้านจากชาวพุทธ) คณะเผยแพร่ วิธีการดำเนินชีวิตอันประเสริฐ ๕/๑ ถนนอัษฎางค์ พระนคร (ซึ่งต่อมาได้จดทะเบียนเป็น มูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ (ผชป.) ปัจจุบันออกหนังสือ เสียงปลุก มีพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ร่วมบริหาร ซึ่งพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ก็เขียนบทความลงในหนังสือนี้เช่นกัน มูลนิธินี้ เป็นตัวร่วมสำคัญของการจัดเสวนา โจมตีมหาเถรสมาคม องค์กรปกครองคณะสงฆ์ เพื่อออกกฎหมาย บังคับพระภิกษุสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา และพุทธศาสนิกชน เรียกว่า พรบ.สงฆ์ฉบับใหม่ พร้อมกับ พรบ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ณ ตึกรัฐสภา) หนังสือดังกล่าวได้ แอบอ้างว่าเป็นถ้อยคำของพระพุทธทาสแห่งสวนโมกข์ฯ ตีพิมพ์เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ เพราะขณะนั้นพระพุทธทาส กำลังโด่งดังเป็นที่รู้จัก โดยอาศัยแจกจ่าย ในพื้นที่ภาคเหนือเป็นหลัก แต่ถูกจับได้ เพราะข้อความในหนังสือนั้น อ้างคัมภีร์ไบเบิลอย่างละเอียด แม้กระทั่งเลขหน้าคัมภีร์ ทุกๆ คำพูด จึงไม่เกิดผล กับชาวพุทธเท่าใดนัก (ในการปลอมปน แอบอ้างพระพุทธทาส ยังปรากฏให้เห็น อย่างเด่นชัด ถึงขนาดปลอมลายมือพระพุทธทาส เสียด้วยซ้ำในหนังสือชื่อ "พุทธ - คริสต์ ในทัศนะท่านพุทธทาส" ซึ่งเป็นการเทศนา เรื่องคริสเตียนล้วนๆ (ดูภาคผนวก) สรุปภารกิจ คำสั่งวาติกัน "...ไม่ได้ผลเท่าที่ควร กลับได้รับการต่อต้านจากชาวพุทธ ไม่สามารถสร้างความศรัทธา ในตัวศาสนาโดยคำสอนได้ ด้วยวิธีการแทรกข้อความ หรือปลอมปน เนื่องจากยังไม่มีความกระจ่าง ในคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนา และยังไม่มีประสบการณ์..." ในปี พ.ศ.๒๕๑๔ นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ และ นายประเวศ วะสี กับพวก ได้ร่วมกันจดทะเบียน มูลนิธิโกมลคีมทอง (ดูภาคผนวก เอกสาร จ.๒) จากการเปิดเผยของนาย ส.ศิวรักษ์ ผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิ นี้ว่า "มูลนิธิโกมลคีมทอง ได้เงินสนับสนุน จาก องค์กรคริสเตียน และองค์กรต่างชาติ โดยร่วมกับ สภาคริสตจักร แห่งประเทศไทย และจัดตั้งกลุ่มประสานงานศาสนา เพื่อสังคม (กศส.) ซึ่งเป็นตัวทำงานของคริสต์ ในกลุ่มพุทธ ซึ่งกลุ่ม กศส. นี้ จัดเป็นแกนหลัก ในการปฏิบัติภารกิจสำคัญ ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมทั้งให้ทุนจัดตั้ง มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก ๕ มูลนิธิอีกด้วย" |