ความบริสุทธิ์ใจ |
รางวัล "สันติภาพ" ของ UNESCO นับเป็นจุดหนึ่ง ที่ทำให้พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) เป็นที่ยอมรับ ของสังคมได้ ดังที่กล่าวมาแล้วแต่ต้นว่า บุคคลที่ถูกคัดสรร ให้ทำงานนี้ต้องเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติ และอุดมการณ์ที่มั่นคง ชนิดไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ชั่วชีวิต ด้วยความเหมาะสมโดยประการทั้งปวง จึงไม่อาจปฏิเสธใดๆ ว่า รางวัลดังกล่าวนี้ มิได้เป็นไปโดยปกติ หากพิจารณากันด้วยเหตุผล และความเป็นไปได้ โดยข้อแท้จริงว่า รางวัลนี้เกี่ยวกับเรื่อง การให้อิสระเสรีภาพ จากอำนาจกดขี่ ในประเทศบอสเนีย (คำแถลงของ Mr.A Badran รองผู้อำนวยการใหญ่ UNESCO) ดังนั้นรางวัลสันติภาพ คือรางวัลแห่งเสรีภาพ จากการกดขี่ "สันติภาพ" คำนี้มีความหมายสำหรับใคร? คำตอบง่ายที่สุด สั้นที่สุดก็คือ "สำหรับคนที่ไม่มีเสรีภาพ คือประเทศเมืองขึ้น ประเทศที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ เป็นพระประมุข ประเทศที่ไม่เป็น ประชาธิปไตย" ถามต่อไปอีกว่า "ประเทศไทย มีเสรีภาพหรือไม่?" คำตอบก็คือ "ประเทศไทยมีเสรีภาพ มากที่สุดในโลก !!!" ก็ยังมีความสงสัย อีกนั่นแหละว่า "อ้าว...แล้วทำไมถึงต้องรณรงค์ เรื่องเสรีภาพ ถึงขนาดต้องจัดฉาก สร้างภาพกันล่ะ...??" ก็นั่นน่ะซี ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกัน !!! เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็แสดงว่า ต้องมีอะไรนอกเหนือจากนั้น เสรีภาพที่ว่านั้น เป็นเสรีภาพ ของอะไรกันแน่ ??? และใคร ที่ต้องการเสรีภาพนั้น และเพื่ออะไร ?? เพราะประเทศไทย ไม่มีการกดขี่ ดังเช่นในบอสเนีย สมัยปี ๒๕๓๖ แต่อย่างใด ในคำตอบที่ว่า ประเทศไทยมีเสรีภาพ มากที่สุดในโลก ก็เพราะ ๑. ไม่มีประเทศใดในปัจจุบัน ที่มีพระมหากษัตริย์ อันทรงพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ซึ่งทรงเสียสละ ทรงพระกรณียกิจอันเป็นประโยชน์ แก่พสกนิกรชาวไทย มาตลอด นับตั้งแต่ทรงครองราชย์ จวบจนปัจจุบัน (๒๕๔๒) ทรงเป็นองค์นำช่วยเหลือ แม้คนยากคนจน ผู้พิการ ผู้ยากไร้ ก่อนที่ชาติต่างๆ ในโลกจะรู้จักคำว่า "สิทธิมนุษยชน" เสียด้วยซ้ำ (ลองซิครับ คนที่พูดว่า สิทธิเสรีภาพหรือสิทธิมนุษยชน ที่ออกมาเคลื่อนไหวนั่นน่ะ ลองไปอเมริกา จะเห็นว่า ขอทานมากยิ่งกว่ายุง พวกคนจรจัดตัวเหม็นหึ่ง เต็มเกลื่อนถนน เดินรีดไถรถยนต์ ที่วิ่งไปมาขวักไขว่ ที่พูดถึงนี้ คือลอสแอนเจลิส เมืองที่ใหญ่ที่สุด ของอเมริกานะครับ นี่คือความจริง ทำไมไม่พูดถึงบ้าง อยู่ประเทศไทย แสนจะร่มเย็น ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ยังไม่รู้ว่าสุขสมบูรณ์แค่ไหน น่าที่จะซื้อตั๋วเครื่องบิน ให้คนพวกนี้เที่ยวเดียว แล้วไม่ต้องกลับมา ให้หนักแผ่นดินนี้อีกด้วยซ้ำ) ๒. ธุรกิจ การค้า ประชาชนต่างด้าว และต่างศาสนา ล้วนมีอิสระ ที่จะใช้ชีวิตหรือประกอบกิจการ ในประเทศไทย ท่านที่ไปอยู่อาศัยต่างประเทศ เป็นเวลานาน ย่อมจะซึ้งในเรื่องนี้ดี ผมเองอยู่อเมริกา เกือบ ๓๐ ปี ที่ว่าประเทศอเมริกา มีเสรีภาพนั้น เป็นเพียงแต่คำพูดเท่านั้น เพราะผู้ที่ไม่ใช่ชาวอเมริกัน จะเป็นพลเมืองชั้นสอง ทุกอย่างมีขีดจำกัด และการเหยียดหยาม ผู้ที่ทำงานเป็นขี้ข้าฝรั่งเลี้ยงชีพ เกินกว่า ๑๐ ปี จะรู้ดี แต่หากเป็นพวกที่ไปอยู่ประเดี๋ยวประด๋าว วิ่งผ่านมหาวิทยาลัยได้ปริญญา กลับมาพูดไม่ชัด ลืมภาษาชาติ ลืมแผ่นดิน พวกนี้เท่านั้น ที่อ้างว่า อเมริกา คือดินแดนเสรีภาพ ๓. ประเทศไทย ไม่ใช่ประเทศเมืองขึ้น จะเรียกร้อง เสรีภาพ ชนิดไหน ?? หากรณรงค์ว่า ประเทศไทยไม่มีเสรีภาพ ก็เท่ากับเป็นการ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จาบจ้วงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปแล้ว (ประเทศไทย มีเสรีภาพทุกชนิด แม้กระทั่งเสรีภาพในการ ซื้อเสียงเลือกตั้ง ซึ่งประเทศอื่น เขายังมีเสรีภาพ ไม่เท่าเสียด้วยซ้ำ) จึงไม่ใช่ประเด็นเลย ที่จะแตกตื่นกับคำว่า "เสรีภาพ" มากขนาดนี้ ฉะนั้น เมื่อพิจารณาในเชิงลึก ก็อาจจะค้นหาความจริงได้ ไม่ยากนัก เพราะรางวัลเสรีภาพ ของ UNESCO เริ่มเมื่อ ปี ๒๕๒๔ (1981) ตรงกับแผนของ Change Human Mankind Project ร่วมกับสภาวาติกัน อันเป็นที่มาของนโยบาย One World Order ที่ประเทศทั่วโลก ถูกล้างสมองด้วยคำว่า โลกาภิวัตน์ (ควรเรียกว่าโลกาพินาศมากว่า) คือมีมหาอำนาจ อยู่ประเทศเดียว คือ อเมริกา โปรดศึกษาย้อนหลัง จะเห็นภาพได้ชัดเจนในเรื่องนี้ ดังได้กล่าวไปแล้วแต่ต้น และด้วยการอ้างเหตุ ของคำว่า เสรีภาพ และสิทธิมนุษยชนนี้เอง ทำให้สมาชิกของขบวนการ มูลนิธิโกมลคีมทอง นำมาใช้ในการรณรงค์ ให้เปลี่ยนรัฐธรรมนูญ โดยให้บรรจุคำว่า "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (ทำอย่างกับว่า ประเทศไทย เริ่มตั้งชาติมา ไม่ใช่มนุษย์ ยังงั้นแหละ) และไม่บรรจุพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ (ทั้งๆ ที่ประชาชนไทย เกินกว่า ๙๕ % นับถือพุทธศาสนา ยังว่าไม่ใช่ประชามติ...งง ) แต่กลับบรรจุ "รัฐต้องอุปถัมภ์ศาสนา อื่น" ไว้ในมาตรา ๗๓ ก็มาจากนายประเวศ วะสี และบุคคลในขบวนการนี้ ที่เกี่ยวข้องกับพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) โดยตรงทั้งสิ้น จึงเป็นเรื่องน่าพิจารณา อีกประเด็นหนึ่ง ถึงที่มาของรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๔๐ ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร (ประธานร่างฯ เป็นคริสเตียน เสียอีกด้วย?) ก่อนที่จะออกนอกเรื่องไปไกล ขอกลับมา นำเอาเรื่อง "รางวัลเสรีภาพ" ที่ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้รับนั้น มาให้ท่านพิจารณา หาเหตุผลและวิเคราะห์ ด้วยความเป็นกลาง ตามหลักฐานสาธารณะ ผู้เกี่ยวข้อง ผู้พิจารณา ส่งชื่อผู้แข่งขันรางวัล "เสรีภาพ" ๑. เดือน เมษายน ๒๕๓๗ กองสัมพันธ์ต่างประเทศ สำนักงาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ แจ้งให้หน่วยงานต่างๆ ในสังกัดกระทรวงฯ และสถาบันศึกษา ในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย เสนอ ชื่อบุคคล องค์กร หรือหน่วยงาน เข้าแข่งขัน ๒. กรมการฝึกหัดครู (นายนิเชต สุนทรพิทักษ์ เป็นอธิบดี) เสนอชื่อ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) (เป็นเรื่องน่าแปลก เหตุใดในประเทศไทย หน่วยงานอื่น ขาดคนมีความสามารถหรืออย่างไร จึงไม่มีกล่าวถึง...??? คงต้องให้เป็นหน้าที่ท่านผู้อ่าน ค้นหาความจริงเอง) ๓. อธิบดี รองอธิบดี และผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ได้ประชุมแล้ว สรุปว่า ควรเสนอชื่อพระธรรมปิฎก ๔. ผู้ตรวจสอบความถูกต้องด้านภาษา คือ นายระวี ภาวิไล (ซึ่งมีความสัมพันธ์ส่วนตัว กับพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) และร่วมจัดทำ หนังสือพุทธธรรม ฉบับ ๑,๑๔๕ หน้า พิมพ์ครั้งที่ ๑ ปี ๒๕๒๕ สมัยเป็นผู้อำนวยการ ธรรมสถาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และทำงานร่วมกับ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ในการยกร่างหลักสูตร ในส่วนพุทธศาสนา พ.ศ. ๒๕๒๗) และ ดร.อาภา จันทรสกุล Mr.Bruce Evans ๕. วันที่ ๑๓ พ.ค.๒๕๓๗ กรมการฝึกหัดครู นำเสนอ กองการสัมพันธ์ต่างประเทศ ๖. วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๓๗ กรมการฝึกหัดครู ได้รับแจ้งว่า พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้รับคัดเลือก ให้ได้รับรางวัล "สันติภาพ" นำพิสูจน์ทราบ สิ่งที่แสดงให้เห็นก็คือ ความสัมพันธ์ของ นายระวี ภาวิไล ร่วมกับ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ทำหนังสือ "พุทธธรรม" ออกจำหน่าย ตั้งแต่ ปี ๒๕๒๕ และเป็นปีเดียวกันกับที่พระธรรมปิฎก ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิต ครั้งแรกด้วย ?? สิ่งที่น่าสังเกตคือ นายนิเชต นายระวี พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ทำงานร่วมกันมาก่อน ตามคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการที่ ๖ ม.ค. ๒๕๒๗ ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่า ได้มีการมอบปริญญา ดุษฎีบัณฑิต ให้กับพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ในด้านการศึกษาตลอดมา เรียกได้ว่า ปีต่อปี อันเป็นเรื่องผิดปกติธรรมดา ไม่อาจมองได้เป็นอย่างอื่น นอกจากเพื่อสร้างภาพ คุณวุฒิตรงคุณสมบัติ ของบุคคลที่จะมีสิทธิ รับรางวัล "สันติภาพ" เท่านั้น และเมื่อนายนิเชต เป็นอธิบดีกรมการฝึกหัดครู ก็เป็นผู้เสนอชื่อ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ให้ได้รับรางวัล "เสรีภาพ" (ไม่ใช่สันติภาพ) หากมิใช่เช่นนั้น เพราะเหตุใด ?? และทำไม ??? การยึดครองสถานอุดมศึกษา ในการมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตให้กับ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) นั้น หากพิจารณาจากข้อมูลต่อไปนี้ คงจะทำให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจ โยงใยเครือข่าย บุคลากรที่สานต่องานนี้ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน จะโดยรู้ หรือไม่รู้ก็ตาม แต่ผลที่ตามมาก็คือ การสร้างภาพให้กับ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ใช่หรือไม่ ข้อมูลมีดังนี้ คือ ในรายงานการประชุมเพื่อก่อตั้งศูนย์ศาสนสัมพันธ์ ของวิทยาลัยแสงธรรม (วิทยาลัยผลิตบาทหลวง ของคาทอลิค) วันที่ ๑๕ พ.ค. ๒๕๒๕ ณ สามพราน นครปฐม ซึ่งระบุว่า ได้รับเงินทุน มาจากวาติกัน ในระเบียบวาระที่ ๒ ข้อ ๑ ระบุไว้ชัด ในวัตถุประสงค์ว่า ศูนย์นี้จะเน้นหนัก ด้านการศึกษาพุทธศาสนา เป็นพิเศษ โดยเฉพาะ เพื่อเป็นศูนย์ศึกษาพุทธศาสนา ทั้งด้านวิชาการ และด้านปฏิบัติ ข้อ ๒.๑ ตั้งศูนย์รวมเอกสารสำเนาหนังสือหายาก รวมทั้งอุปกรณ์ทันสมัยต่างๆ เช่น COMPUTER หรือ MicroFilm" เดือน มิ.ย. ๒๕๓๐ นายประเวศ วะสี ซึ่งเป็นสมาชิกของ มูลนิธิโกมลคีมทอง ระดับอาวุโส รุ่นก่อตั้ง เช่นเดียวกันกับ นาย ส.ศิวรักษ์ นายประเวศ วะสี ได้เป็นกรรมการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เสนอโครงการ พระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์ โดยมี ศ.นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว (ประธานมูลนิธิเด็ก ซึ่งมีนายประเวศ เป็นรองประธาน) และขณะนั้น ศ.นพ.เสม ทำหน้าที่เป็น นายกสภา มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็นชอบ (แน่นอนที่สุด) และมอบหมายให้ ศ.นพ.ณัฐ ภมรประวัติ อธิการบดีในสมัยนั้น ดำเนินการ โดยให้สำนักคอมพิวเตอร์ เป็นผู้รับผิดชอบ ในเดือน ต.ค. ๒๕๓๐ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ซึ่งเป็นหนึ่งในรุ่นอาวุโส ของมูลนิธิโกมลคีมทอง ในฐานะองค์ปาฐก จึงถูกนำเข้าร่วมโครงการ พระไตรปิฎก คอมพิวเตอร์ ซึ่งมี รศ.ดร. ศุภชัย ตั้งวงศ์ศานต์ ผู้อำนวยการ ศูนย์คอมพิวเตอร์ เป็นผู้รับผิดชอบโครงการนี้ ทั้งหมดนี้ อาจผ่านการวางแผน ไว้อย่างเป็นระบบ โดยศูนย์ศาสนสัมพันธ์ วิทยาลัยแสงธรรม ตามวาระการประชุม ที่กล่าวไว้นั้น ซึ่งมหาวิทยาลัยมหิดล อาจไม่รู้ข้อมูลเบื้องลึกนี้ก็ได้ เจตนาการจัดทำพระไตรปิฎก ฉบับคอมพิวเตอร์นี้ ก็เพื่อวัตถุประสงค์ ในการบิดเบือนพระสัทธรรม คำสั่งสอน ให้กลายเป็น สัทธรรมปฏิรูป (เนื่องจาก ได้พิสูจน์ทราบ เป็นทางการแล้วว่า มีการแก้ไขขึ้นเอง และแทรกความเห็นส่วนตัว ลงไปหลายแห่ง แต่ไม่มีหมายเหตุ การแก้ไขนั้นๆ เรียกว่า เป็นการสังคายนาพระไตรปิฎก ฉบับ สัทธรรมปฏิรูป โดยแท้) และเผยแพร่ไปทั่วโลก ซึ่งในอนาคต หากสถาบันอุดมศึกษา หรือผู้ที่ศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษาไม่เลือกว่า สถาบันใด ต้องการ ความสะดวก จะค้นคว้าหลักธรรมวินัย จากพระไตรปิฎก ก็จะได้ข้อมูลที่ถูกบิดเบือนไปแล้ว โดยเรียบร้อย นี่คือผลงานของขบวนการนี้ ที่สามารถพิสูจน์ได้ อย่างเป็นรูปธรรม และขณะปัจจุบันนี้ ก็ยังใช้อยู่ ในทุกสถาบันอุดมศึกษา นี่คือการยึดครองสมองส่วนหนึ่ง ของสถาบันอุดมศึกษา ในส่วนหัวใจของพุทธศาสนา คือ พระไตรปิฎก และก็แน่นอนว่า พระไตรปิฎกฉบับที่สร้างขึ้นนี้ ต้องตรงกันกับ ข้อมูลที่สร้างปลอมปน พระธรรมวินัย อันอยู่ภายในหนังสือ "พุทธธรรม" อย่างไม่ต้องสงสัย จะเห็นจากหลักฐาน การแสดงเจตนา ของการบิดเบือนก็คือ ไม่มีการแสดงเชิงอรรถว่า ได้แก้ไขขึ้นใหม่ที่ใดบ้าง ในหมวดใด หรือพระสูตรใด ทำให้ไม่สามารถค้นหา ได้ตรงกันกับพระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ ซึ่งใช้เป็นแม่แบบ นอกจากนั้น อดีตพระมหาชาย อาภากโร ซึ่งร่วมในขบวนการ โกมลคีมทอง กับพระธรรมปิฎก (สมัยเป็นพระศรีวิสุทธิโมลี) ไปเผยแพร่อุดมการณ์ ที่วัดอุโมงค์ เชียงใหม่ เช่นกัน ได้ลาสิกขา เป็นฆราวาส และได้ศึกษาต่อเป็น ดร.ชาย โพธิสิตา ก็ได้เข้าทำงานประจำ เป็นอาจารย์สอน อยู่ในสถาบันวิจัย ประชากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (คงไม่ต้องอธิบายว่า สามารถบรรจุเข้ามาได้อย่างไร ?) ในปี ๒๕๓๕ นายธรรมเกียรติ กันอริ สมาชิกของ มูลนิธิโกมลคีมทอง ซึ่งได้ถูกทางราชการ กวาดล้างไปเมื่อ ปี ๒๕๑๙ เพราะเป็นภัย ต่อความมั่นคงของชาติ ได้กลับมาเป็นคอลัมน์นิสต์ อยู่ในหนังสือพิมพ์มติชน ได้เริ่มปลุกกระแสสื่อมวลชน (๒๕๓๕) เพื่อให้พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) เป็นที่รู้จักและยอมรับ ของสังคมอีกทางหนึ่ง เป็นการปูพื้นให้ประชาชนรู้จัก ก่อนที่จะส่งเสริม สร้างภาพในการรับรางวัล "เสรีภาพ" ของ UNESCO ต่อไป ข้อมูลดังกล่าวนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่จะเป็นเหมือน แสงไฟดวงน้อย ในถ้ำมืด อันส่องทาง ให้ท่านผู้อ่าน พอคลำหาข้อแท้จริง ของกลุ่มบุคคล องค์กร และขบวนการเครือข่ายทำลายพุทธ ได้ไม่ยากนัก แม้งานในการสร้างภาพบุคคล ให้สังคมยอมรับ สำเร็จตามเป้าประสงค์ แล้วก็ตาม แต่ยังขาดอำนาจ การยึดครองพื้นที่ทางสมอง ของประชาชนทั้งประเทศได้ ทั้งนี้เนื่องจาก กรมการฝึกหัดครู กรมวิชาการ ยังมีอำนาจไม่เต็มที่ จึงต้องมีการขยายเครือข่าย และอำนาจสั่งการ โดยบุคคลคนเดียวให้ได้ ซึ่งทั้งนี้ ความต้องการ ของเป้าประสงค์หลัก คือ การมีอำนาจอนุมัติ ความเห็นชอบ ในการปรับปรุง หลักสูตรการสอน ได้โดยเอกเทศ ฉะนั้น ความจำเป็นเร่งด่วนที่สุด คือ ต้องตั้งองค์กรขึ้นมาใหม่โดยมีกฎหมาย เป็นเครื่องมือรองรับ เพื่อขยายผลการกลืนชาติ โดยการยึดพื้นที่ทางสมอง เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์หลัก คือการล้มพุทธศาสนา โดยการกลืน และปลอมปน พระสัทธรรมคำสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้เตรียมการดังกล่าว ไว้ก่อนแล้วนั้น มันเป็นสิ่ง ที่ต้องแข่งกับเวลา เพราะผู้ดำเนินการแกนหลัก ในส่วนงานนี้ ใกล้จะปลดเกษียณ อายุราชการแล้ว ซึ่งจะทำให้ อำนาจการสั่งการน้อยลง หนทางเดียวคือ ต้องสร้าง ฐานอำนาจถาวรให้ได้ ดังนั้น จึงอาจเป็นไปได้ว่า นายนิเชต ได้ใช้ความพยายาม ทุกรูปแบบ ทุกวิธีการ ให้รัฐบาล ๒๕๓๘ (ชวน หลีกภัย) ออก พรบ. สถาบันราชภัฏ เพื่อสนองหลักสูตร และหลักการ ในรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งขบวนการของตน ได้วางแผนไว้แล้ว ทั้งยังเป็นการขยายอำนาจ การยึดครอง พื้นที่ทางสมอง ไปทั่วประเทศ โดยใช้หลัก "สัทธรรมปฏิรูป ในหนังสือพุทธธรรม" ของ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) เป็นเครื่องมือ เพราะท่านผู้อ่าน ต้องไม่ลืมว่า หลักสูตรการสอนนั้น ต้องมีวิชาพุทธศาสนาอยู่ด้วย ทุกระดับชั้น นั่นเป็นเรื่องที่ ต้องจัดสร้างสถานการณ์ ในอนาคต เพื่อให้ประชาชน เห็นว่า บุคคลที่ตนสร้างขึ้นมา คือ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) มีความสำคัญต่อองค์กรศาสนาของชาติ และพุทธศาสนาอย่างไร และจำเป็นเพียงใด ที่ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง การสอนทาง ด้านพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหน้าที่ของ ขบวนการล้มพุทธ จะรับช่วงงานในส่วนนี้ไปทำ ในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ในด้านของจิตวิทยา ที่มีต่อผู้มีอาชีพเป็นครู ทุกคนย่อมเห็นดี เห็นงาม ดีใจ และเทิดทูน นายนิเชต โดยสุจริตใจ ในฐานะผู้ก่อตั้งสถาบันราชภัฏ อันเปรียบเสมือนน้ำผึ้ง ที่แสนหวาน ไม่ใช่สิ่งที่ผิด และอาจเป็นไปได้ว่า นายนิเชต เองก็อาจจะถูกใช้ เป็นเครื่องมือของขบวนการนี้ โดยไม่รู้ตัวก็ได้ เพราะผู้วางแผน และผู้ร่วมขบวนการ ได้ถูกคัดสรรและสร้างภาพ ต่อสังคมมาแล้ว เป็นอย่างดี จึงมิได้มีผู้ใดระแวง รู้ถึงสิ่งที่อยู่ภายใต้น้ำผึ้ง ซึ่งก็คือตำแหน่ง และอำนาจ ที่มาพร้อมกับกฎหมาย เป็นการเพิ่มอำนาจ ให้อธิบดี กรมการฝึกหัดครู กลายเป็นเลขาธิการ สภาสถาบันราชภัฏ มีอำนาจควบคุมสถาบันราชภัฏ ถึง ๓๖ แห่งทั่วประเทศ นี่คือการยึดครอง พื้นที่ทางสมอง คนทั้งประเทศ ไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ และถูกต้องตามกฎหมาย การนำยาพิษ ออกแจกจ่ายขยายผล จึงถึงเวลาเริ่มดำเนินการ นับว่าผู้ที่เลือกบุคลากร มาดำเนินงาน และประสานต่อเนื่องนี้ ไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป เป็นการวางแผนอย่างแนบเนียน ระดับโลก และความสุขุมเงียบเชียบ ของขบวนการกลืนชาติ มิได้มีผู้ใดในประเทศไทย รู้สึกสำนึกถึง อันตรายอันใกล้ เนื่องจากประเทศไทย ก่อร่างสร้างชาติ มาด้วยพุทธศาสนา ตามหลักทฤษฎีของคำว่า "ชาติ" ศาสนาเป็นส่วนสำคัญในการปกครอง ขนบ ธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณี โดยเฉพาะความสามัคคี และความสงบเรียบร้อย ในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นเรื่องของความเชื่อ ความศรัทธา ที่จะต้องปลูกฝังกันมา ตั้งแต่เป็นเยาวชน จึงเป็นสิ่งปกติธรรมดา ที่กรมฝึกหัดครู กระทรวงศึกษาธิการ อันจัดว่า เป็นผู้กำหนด อนาคตของชาติ จึงต้องถูกเปลี่ยนแปลง ด้วยแผนยาพิษชุบน้ำผึ้ง ซึ่งนอกจากจะได้รับการคุ้มครอง โดยกฎหมายแล้ว ยังได้รับงบประมาณมหาศาล อันเป็นภาษีของประชาชน ดำเนินการ ให้บรรลุเป้าหมาย ตามคำสั่ง VATICAN COUNCIL 2 ต่อไป สรุปภารกิจ แผนปฏิบัติการขั้นที่ ๓ จัดเป็นเป็นความสำเร็จที่สมบูรณ์แบบ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และด้านการศาสนา จากการใช้แผน Change Human Mankind Project ร่วมแผน Vatican council 2 ซึ่งจะเห็นได้เป็นอย่างดีว่า ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว การทำลายขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลัทธิบูชาเงิน เป็นพระเจ้า มีอิทธิพลเหนือกว่า ศีลธรรม คนทำความชั่วได้ อย่างไม่ละอาย การคอรัปชั่น ในวงราชการ เกิดขึ้นอย่าง เป็นปกติธรรมดา นี่คือจุดเริ่ม ของการทำลาย และสร้างความเสื่อมศรัทธา แก่พุทธศาสนา ในประเทศไทย |