ยุทธการ "กรอกยาพิษทางสมอง" |
แทบจะทันทีทันใด หลังจากที่ได้รับ รางวัล "สันติภาพ" จาก UNESCO ก็เกิดกรณีที่ทำให้พระพุทธศาสนา และวงการคณะสงฆ์ เสื่อมเสียชื่อเสียงทันที ทั้งนี้เนื่องจากว่า การดำเนินการ ทั้งหลายนั้น ได้บรรลุเป้าหมาย ตามขั้นตอน มิได้มีอุปสรรคแต่อย่างใด ฉะนั้น การที่จะให้สังคม โดยเฉพาะ วงการคณะสงฆ์ รวมไปถึงองค์กร ปกครองคณะสงฆ์ ไว้วางใจ ในความสามารถ (ที่ได้สร้างภาพขึ้น) นั้น จะต้องสร้างสถานการณ์ ที่ให้ขบวนการของตน ได้สามารถกลายเป็น ตัวจักรสำคัญ ในการเปลี่ยนแปลง และ/หรือ ยึดครองการปกครองคณะสงฆ์ไทย ได้ในอนาคต ซึ่งแน่นอนที่สุด การวางแผนงานดังกล่าวนั้น จะต้องแนบเนียน และให้ผลแน่นอน เกิดเป็นข่าว ที่สามารถสร้างกระแสสังคม โดยสื่อมวลชนบางส่วน อันเป็นเครื่องมือ ของตนได้ พร้อมทั้งยังสามารถ ทำลายพระภิกษุสงฆ์ ที่พิทักษ์รักษาพุทธศาสนา ให้สิ้นชื่อ ขาดความนับถือ ศรัทธา จากประชาชนด้วย ในเวลาเดียวกัน ตามสมการ ยึดพื้นที่ทางสมอง (M = Mental สร้างความเชื่อใหม่ สลายศรัทธาเดิม) โดยความเป็นจริงแล้ว พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา ล้วนแล้วแต่ ถูกอบรม ให้มีความฉลาด มีปฏิภาณไหวพริบ รู้เท่าทันเหตุการณ์ของโลก และประเทศ พระในระดับชั้นราชาคณะ ได้ทราบถึงขบวนการ และอันตราย อันจะเกิดขึ้น ท่านที่มีบทบาท ในการรณรงค์ต่อต้าน และนำสิ่งไม่ชอบมาพากล ทั้งหลาย มาเปิดเผยต่อสาธารณชน เช่น ท่านเจ้าคุณพระราชธรรมนิเทศ (พระมหาระแบบ ฐิตาโณ) สงฆ์ไทยนิกาย "ธรรมยุติ" ได้ออกหนังสือหลายเล่ม เปิดเผยเบื้องหลัง และชี้ถึงภัย ของพระพุทธศาสนา ตั้งแต่ปี ๒๕๒๕ ตลอดมา จัดว่า เป็นอุปสรรคสำคัญในการล้มพุทธศาสนา ตามแผน VATICAN COUNCIL 2 และทำให้ขบวนการดังกล่าว ต้องทำงาน ส่วนที่ไม่เกี่ยวข้อง กับคณะสงฆ์แต่อย่างใด ฉะนั้น แผนงานจึงถูกวางขึ้นใหม่ อย่างแนบเนียนยิ่ง โดยต้องกำจัด ทั้งบุคคล ที่เป็นตัวอุปสรรคต่อต้าน ทำลายศรัทธา ความเชื่อมั่น ในวิธีปฏิบัติในพุทธศาสนา และสร้างความร้าวฉาน ในคณะสงฆ์ไทย ให้หวาดระแวงต่อกัน ทำลายภาพพจน์ องค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย (มหาเถรสมาคม) พร้อมกับออกกฎหมายเพิ่ม เพื่อใช้ลงโทษ พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา ให้มากขึ้น ซึ่งจะต้องใช้ แผนแบบ "มิชชั่น" (การรุก แบบตรงตัว) และโดยคำอนุมัติ ให้ใช้ระบบ สร้างให้เลว แล้วฆ่าให้หมด (Make Them Bad & Kill Them All) ซึ่งเป็นระบบ ที่ประเทศมหาอำนาจ ชำนาญในการใช้ (จะเห็นตัวอย่าง สมัยสงครามเวียตนาม และปัจจุบัน ก็ใช้อยู่ ในวงการเมืองไทย เช่นกัน) เป็นแผนที่สามารถ บรรลุเป้าประสงค์สมบูรณ์แบบ ในหนึ่งเดียว จุดเด่นของพุทธศาสนา อันแตกต่างกับศาสนาใดในโลก คือ "การปฏิบัติ สมาธิจิต" เน้นการปฏิบัติ เป็นหลัก ให้ละกิเลสตัณหา หรือเรื่องใดๆ อันข้องเกี่ยวกับทางโลก หรือทางธุรกิจ ซึ่งขัดกัน กับหลักของ คริสต์ศาสนา ซึ่งในทางโลก และยังขัดกัน กับนโยบายกลืนชาติ โดยประเทศมหาอำนาจ ซึ่งเน้นวัตถุนิยม อุตสาหกรรม และเงินเป็นหลัก จึงเป็นประเด็นหลัก ที่พุทธศาสนา โดยเฉพาะสำนัก ที่สั่งสอน การปฏิบัติสมาธิจิต อันได้รับความศรัทธา กลายเป็นเป้าหมาย ที่ต้องถูกทำลาย พ.ศ.๒๕๓๘ พระยันตระ (วินัย อมโรภิกขุ) ได้รับความศรัทธา จากพุทธศาสนิกชน ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เป็นอย่างมากที่สุด ในด้านการปฏิบัติ จึงเป็นเป้าหมาย ที่ถูกเลือก เพราะเป็นลูกศิษย์คนสำคัญของ พระราชธรรมนิเทศ (มหาระแบบ) ผู้ต่อต้านขบวนการล้มพุทธ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทั้งสองท่าน เป็นพระภิกษุนิกาย "ธรรมยุติ" แต่บุคคลในขบวนการเป็น "มหานิกาย" จึงเป็นองค์ประกอบ ที่ตรงตามเป้าหมาย ทุกประการ สื่อมวลชน ซึ่งมี นายธรรมเกียรติ กันอริ สมาชิกขบวนการ และ สื่อเครือคริสต์ ทำหน้าที่เสนอข่าวโจมตี มหาเถรสมาคม พระยันตระ และ พระราชธรรมนิเทศ ยกย่องบุคคล ในขบวนการล้มพุทธ ไปพร้อมๆ กัน เพื่อสร้างภาพลักษณ์ ยึดพื้นที่ทางสมอง ของประชาชน ผู้ที่ได้รับข่าวสาร ให้คล้อยตาม บุคคลที่มีส่วนชี้นำ ความผิดถูก ต่อสังคมในขณะนั้น คือ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), นายประเวศ วะสี, พระพยอม กัลยาโณ, เสถียรพงษ์ วรรณปก, เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง, ระวี ภาวิไล โดยใช้ข้อหา อาบัติปาราชิก ให้สึกภายใน ๓ วัน ด้วยเหตุผลว่า มีบุตรขณะยังเป็นพระภิกษุ (ผลตรวจสอบภายหลัง ปรากฏว่าเป็นเท็จ เพราะใบสูติบัตรของเด็ก บิดาไม่ใช่พระยันตระ แต่อย่างใด ดูเอกสารภาคผนวก) จึงไม่สามารถเอาผิดอะไรได้ ในระยะแรก ที่เป็นเช่นนี้ เพราะขบวนการล้มพุทธ ต้องการให้สังคม มองภาพขององค์กร ปกครอง คณะสงฆ์ไทย (มหาเถรสมาคม) ในทางลบ เชื่อถือไม่ได้ เมื่อถึงจุดที่เหมาะสม ก็ใช้ความพลิกแพลง ออกเอกสารในการลงโทษ เป็นแถลงการณ์ (เพราะสมเด็จ พระสังฆราชไม่ต้องลงพระนาม) ทั้งหมดนั้น มิใช่มติมหาเถรสมาคม แต่อย่างใด รวมไปถึงหนังสือ สั่งให้พระยันตระ สละสมณเพศ (สึก) ที่อ้างว่า สมเด็จพระสังฆราช ลงพระนามนั้น เมื่อตรวจสอบ ปรากฏว่า เป็นลายเซ็นปลอม (ผู้อ่านสามารถ เปรียบเทียบได้ด้วยตนเอง จากหนังสือ คู่มือพระสังฆาธิการ ว่าด้วย พรบ.กฎ ระเบียบ ฯลฯ แจกจ่ายโดย กองแผนงาน กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ จะเห็นความแตกต่าง ได้ชัดแจ้ง) ท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า การพิพากษา ว่าผิดหรือไม่นั้น มิได้ยึดเอาพระธรรมวินัย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นหลัก แต่กลับยึดหนังสือ "พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ ของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) นำมาใช้ ในการตีความ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ต่อคณะสงฆ์ ในด้านวิชาการและพระธรรมวินัย และให้สังคมยอมรับ พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตฺโต) ซึ่งถูกจัดฉากขึ้นนั่นเอง และผู้ที่ไปแจ้งความ กล่าวโทษพระยันตระ ต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ข้อหาหมิ่นแถลงการณ์ ก็คือ นายเสถียรพงษ์ วรรณปก ดร.ชาย โพธิสิตา (มหาชาย) นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายสมเกียรติ อ่อนวิมล ซึ่งในที่สุดกระแสสื่อมวลชนนำโดย มติชน ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับ นายธรรมเกียรติ กันอริ ก็สามารถทำให้แผนงาน ซึ่งวางไว้นั้น บรรลุเป้าหมาย และที่สุด ก็คือ การออกกฎมหาเถรสมาคม ฉบับใหม่ ซึ่งใช้ลงโทษพระภิกษุสงฆ์ ในพุทธศาสนา ได้ตามต้องการ (สำนักปฏิบัติธรรม ของพระยันตระ ซึ่งเรียกว่า "สำนักลิเจีย" ต่อมาได้ถูกนักการเมือง ซึ่งเป็นอดีต รมช.ศึกษาธิการ ขุดทำลายเตียนโล่ง โดยข้ออ้างว่า "เพื่อค้นหาทองของญี่ปุ่น ในสมัยสงครามโลก ครั้งที่ ๒...???") การปฏิบัติภารกิจนี้ นับว่าใช้เวลาสั้นที่สุด และได้รับผลตอบสนองดีที่สุด บรรลุจุดประสงค์ คือ การทำลายภาพพจน์ ของพระพุทธศาสนา ของไทยโดยองค์รวม จากการประสาน โดยสื่อมวลชน ในการกรอกยาพิษทางสมอง เพื่อให้เกิดความเสื่อมศรัทธา ในพระพุทธศาสนา และบุคคลในขบวนการ สามารถแผ่อิทธิพล มากเพิ่มขึ้น สิ่งที่ต้องย้ำต่อท่านผู้อ่านก็คือ สมการกลืนชาติ จะกระทำได้ต่อเมื่อ สามารถทำลาย ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณี และศาสนาของชาตินั้น ให้ได้เสียก่อน ดังนั้นบุคลากรที่ถูกวางตัวไว้ สำหรับขบวนการนี้ จะมีบทบาทในองค์กร ที่มีอำนาจสั่งการ เกี่ยวข้องกับที่กล่าว ส่วนกลุ่มที่ ๑ ซึ่งดำเนินการ ทางการเมืองโดยกลุ่ม BOSTON ก็ได้ประสบความสำเร็จ ในการทำลาย ฐานเศรษฐกิจ ด้านการธนาคาร และใช้แผน "จริงในเท็จ" โดยสร้างภาพลาออก ด้วยความรับผิด ชอบทางการเมือง ซึ่งแท้จริงแล้วนั้น ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ บุคลากรกลุ่มที่ ๑ สร้างกระแสสังคม ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง รัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายหลัก ของประเทศ ในเรื่องเศรษฐกิจ สร้างระบอบการปกครอง แยกดินแดนเป็นอิสระ ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย คุ้มครองมหาอำนาจ เจ้าของโครงการ ในฐานะต่างชาติ ให้มีสิทธิเหนือคนไทย โดยใช้รหัสดำเนินการ "สิทธิมนุษยชน เสรีภาพ" ในการเคลื่อนไหว ทั้งนี้ เพื่อสร้างโอกาสให้กลุ่มที่ ๑ เข้ามาดำเนินการ ในขั้นสุดท้าย หลังจากสามารถ เปลี่ยนรัฐธรรมนูญ ได้สำเร็จ อันเป็นเป้าหมายรวม ของ สมการกลืนชาติ ให้ได้สมบูรณ์ ภายในปี ค.ศ.1999 นั่นเอง หลังจากกลุ่มที่ ๑ ได้ทำการทำลายภาพพจน์ คณะสงฆ์ไทย ในพุทธศาสนา สำเร็จแล้ว งานต่อไปคือ การสร้างภาพพจน์ ให้กับบุคลากร ในขบวนการล้มพุทธ เข้าแทนที่ในทันที โดยประกาศ คณะกรรมการ วัฒนธรรมแห่งชาติ ๙ พ.ค.๒๕๓๘ แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ ทางวัฒนธรรม จำนวน ๓ คน แต่บุคคล ๒ ใน ๓ กลับเป็นคน ในขบวนการ คือ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) นายประเวศ วะสี ที่น่าสนใจ ไปกว่านั้นก็คือ นายประเวศ วะสี เป็น คณะกรรมการ วัฒนธรรมแห่งชาติ ซึ่งมี นายนิเชต สุนทรพิทักษ์ ผู้เสนอชื่อ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) รับรางวัล UNESCO เป็นหนึ่งในคณะกรรมการ อีกด้วย (ภาคผนวก) นอกจากนั้นพบหลักฐานว่า นายประเวศ วะสี ยังเป็นประธานมูลนิธิ ภูมิปัญญาไทย อันมี นายนิเชต สุนทรพิทักษ์ เป็นกรรมการ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า เมื่อขบวนการล้มพุทธ สามารถทำลายอุปสรรค และผู้ต่อต้าน พร้อมสร้าง ความหวาดระแวง ให้เกิดขึ้น ในระหว่างสงฆ์ไทย ๒ นิกาย ได้เรียบร้อย ตามแผนงาน (ลักษณะ นิทานลิจฉวี ที่ยุให้เกลียดกัน แล้วเข้ายึดครอง) และสร้างภาพให้กับขบวนการล้มพุทธ แล้วอาศัยช่วงจังหวะ ความสับสนทางสังคม สานงานโดยเร่งด่วน เพื่อขยายอิทธิพล ให้มีศักยภาพ ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อสนองยุทธการ "กรอกยาพิษ" เมื่อนายนิเชต สุนทรพิทักษ์ สามารถตั้งสถาบันราชภัฏ ซึ่งมีอำนาจ ควบคุมวิทยาลัยครู ทั่วประเทศ โดยนายนิเชต มีอำนาจสั่งการได้ ตามความมุ่งหมายแล้ว ได้ผลักดัน กระทรวงศึกษาฯ ให้ดำเนินการประสานต่อ ตามเป้าประสงค์ ของขบวนการล้มพุทธต่อไป โดยผลักดัน ให้มีการ นำเอาหนังสือ "พุทธธรรม" และอุดมการณ์ของ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) เข้าเป็นหลักสูตรการศึกษา สำหรับเยาวชนต่อไป ปรากฏตามคำสั่ง กระทรวงศึกษาธิการที่ ๖๗๘/๒๕๓๘ ลงวันที่ ๒๐ ก.ค.๒๕๓๘ ได้จัดตั้งกองทุนเพื่อ "สันติภาพ" พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ซึ่งนายนิเชตฯ ได้จัดตั้งขึ้น ก่อนปลดเกษียณ โดยมีวัตถุประสงค์ "เพื่อเผยแพร่ และรณรงค์ ให้มีการ "ประยุกต์ใช้ พุทธธรรม" ในกระบวนการจัดการศึกษา..." และใช้สถานที่ราชการ คือ สำนักงาน เลขานุการกรม สภาสถาบันราชภัฏ ถนนราชดำเนินนอก เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร โดยมีแผนงาน ภายใต้การดำเนินงาน ของสถาบันราชภัฏ ๒๕๓๘ ถึง ๒๕๔๐ ซึ่งนับว่า เป็นการสั่งการล่วงหน้า หรือการสั่งแบบผูกพันข้ามปี ซึ่งจะดำเนินการต่อเนื่องกันไป โดยกรณีอ้างว่า เป็นเงินรางวัลของ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ที่ได้มา ๖ แสนกว่าบาท มอบให้เพื่อก่อตั้งกองทุนนั้น ซึ่งแน่นอน ไม่เพียงพอ ในการดำเนินงานอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น การพิมพ์หนังสือ ผลงานพระธรรมปิฎก ๔ เรื่อง จำนวน ๕๐,๐๐๐ เล่ม จัดทำ Homepage บน Internet เงินดังกล่าว ก็ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายแล้ว จึงเป็นคำถามว่า เงินที่ขาดไปนั้น นำมาจากแหล่งใด ใครเป็นผู้บริจาค ในระยะ ๒๕๓๘ (รัฐบาลบรรหารฯ).... ??? ในช่วงปี ๒๕๓๘ นายประเวศ วะสี ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ ๒ ทำการรณรงค์ เพื่อให้มีการบัญญัติรัฐธรรมนูญใหม่ เป็นเงื่อนไข กดดันให้ รัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อเอื้อประโยชน์ ให้กับแผนงาน ที่ได้วางไว้ ตามสมการกลืนชาติ การสร้างกระแสเรียกร้อง ประสานโดย สื่อมวลชนในสังกัด เป็นไปอย่างได้ผล โดยอิทธิพลของสื่อ ซึ่งจริงๆ แล้ว ผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวนั้น ก็ไม่ได้รู้ถึงภยันตราย ที่แฝงไว้ ภายใต้การรณรงค์นั้นเลยว่า จะทำให้เกิดการแตกแยก สำหรับประชาชน ในชาติอย่างไร? นาย อานันท์ ปันยารชุน ฉายา นายกนินจา (เข้ามาเป็นนายก อย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้ง อ้างตนเองว่า เป็นนายกพระราชทานแต่งตั้ง ซึ่งที่จริงนายกรัฐมนตรีทุกท่าน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงมี พระบรมราชโองการ แต่งตั้งทั้งสิ้น) เข้ามาเป็นแกนนำ ร่วมในการรณรงค์อีกด้วย โดยได้รับตำแหน่ง เป็นประธาน กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำให้ ไม่มีการบรรจุพุทธ ศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติไทย สำหรับเบื้องหลังในเรื่องนี้ ได้รับการเปิดเผยจาก นายสนิท สีสำแดง ปรากฏเป็นหลักฐานใน กฎหมาย ที่พระภิกษุควรทราบ หนังสือพิมพ์มหามิตร ปีที่ ๒ ฉบับที่๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๒ หน้า ๑๘ โรงพิมพ์สยามรัฐ โทร. ๔๓๓-๐๐๓๖ ว่า ตอนนั้นกระแสของชาวพุทธ ซึ่งเปรียญธรรมสมาคม มี อาจารย์สังเวียน ภู่ระหงษ์ เป็นผู้นำ กำลังไหลแรง มีชาวพุทธ มาร่วมลงชื่อ ขอให้ สสร.บัญญัติลงไปว่า ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ ผู้ลงชื่อเรียกร้อง เป็นจำนวน ล้านกว่าคน รายชื่อทั้งหมด ถูกนำเสนอต่อประธาน สภาร่างรัฐธรรมนูญ นายอุทัย พิมพ์ใจชน นายกเปรียญธรรมสมาคม ได้จัดสัมมนา แสดงประชามติ ณ หอประชุม พุทธมลฑล ....คุณอุทัยได้แสดงความคิดเห็น หลบเลี่ยงต่อการ ที่จะบัญญัติว่า ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติ ผลออกมา ไม่ปรากฏมาตรานี้ ในรัฐธรรมนูญ เบื้องลึก พวกเราได้สืบทราบว่า กรรมาธิการยกร่าง ซึ่งมีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน ไม่เห็นด้วย พวกเขาว่า ตายเป็นตาย ยอมไม่ได้ ที่จะบัญญัติว่า ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ........ ท่านผู้อ่านลองหลับตานึกดูซิว่า นายอานันท์ ปันยารชุน ทำไมจึงประกาศ ต่อที่ประชุม ไม่ยอมรับพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ เพราะนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นคริสเตียน ใช่หรือไม่?? แต่กลับไปบัญญัติ ให้รัฐสนับสนุนศาสนาอื่น ในมาตรา ๗๓ ขณะเดียวกัน ที่รัฐบาลได้เปลี่ยนไปเป็น พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ กลุ่ม BOSTON ซึ่งควบคุมทางด้านการเงิน การธนาคาร ไว้เรียบร้อยแล้วนั้น ก็สร้างกระแส บีบให้รับร่างรัฐธรรมนูญ อันไม่บัญญัติ ให้มีพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ ทั้งๆ ที่ประเทศไทย ใช้พุทธศักราช และประชาชนในชาติ ๙๕% นับถือพุทธศาสนา ยังรวมไปถึง การให้ประโยชน์แก่ต่างชาติ ในการค้าอย่างเสรี และการแบ่งแยกดินแดน แบ่งอำนาจการปกครอง เป็นอิสระได้อีกด้วย การทำลาย ด้านเศรษฐกิจของชาติ เป็นไปอย่างสุดโหด เพื่อให้เข้าสู่ แผนการกลืนชาติในที่สุด กลุ่มที่ ๒ ก็พากันสร้างกระแสว่า "หากไม่รับรัฐธรรมนูญ ต้องนองเลือดบ้าง หากรับรัฐธรรมนูญแล้ว เศรษฐกิจของชาติ จะดีขึ้นบ้าง" เป็นต้น กลุ่มสร้างกระแสนี้ ใช้สัญญลักษณ์สีเขียว และคำขวัญว่า "เสรีภาพ และ สิทธิมนุษยชน" (ท่านทราบไหมว่า ไม่มีโรงงานทอผ้าที่ใดได้รับ ORDER ผ้าสีเขียวเลย แผ่นพับ ป้ายโฆษณา ฯลฯ นั้นเอามาจากที่ใด และใครเป็นผู้ให้เงิน หรือ ลงทุน ในสิ่งเหล่านั้น เขาต้องการอะไร ....???? นี่คือคำถาม) นำพิสูจน์ทราบ หลายกรณีที่ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญ หลังจากที่ประกาศใช้ มีมากมายเหลือคณานับ ปรากฏเป็นข่าว ทางสื่อมวลชน ทุกแขนง ทั้งทางการเมือง และทางศาสนา อันมีผลกระทบต่อความสงบสุข และศีลธรรมอันดี ของชาติ เช่น กรณีกรรมาธิการศาสนาฯ อ้างอำนาจกฎหมาย อันไม่มีในตนเอง (เพราะหน้าที่กรรมมาธิการ คือ "ทำรายงานเสนอต่อ สภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น" ไม่มีหน้าที่อื่น นอกเหนือจากนี้) ออกคำสั่ง ห้ามพระภิกษุสงฆ์ ในพุทธศาสนา ประกอบศาสนกิจ (รับผ้าป่า ซึ่งผู้มีจิตศรัทธาจัดถวาย) กรณีการจัดตั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ การขายรัฐวิสาหกิจ อันเป็นสมบัติของชาติ ของประชาชน ขบวนการดังกล่าว ไม่มีผู้ใดออกมาคัดค้าน เพราะเป้าประสงค์ ที่แท้จริง ที่ต้องการเปลี่ยน รัฐธรรมนูญใหม่ ก็คือ การกลืนชาติ ให้กับประเทศมหาอำนาจ และการกลืนศาสนา ให้กับศาสนาอื่น เท่านั้น จากพยานหลักฐาน ยืนยันว่า "สำนักงานเลขาธิการ สภาคาทอลิค แห่งประเทศไทยเพื่อการพัฒนา (สคทพ.) ทำงาน และรับนโยบาย ที่สัมพันธ์กับ IMF "(รายงานกิจกรรม ในรอบ ๖ เดือน CCTD ม.ค. - มิ.ย.๒๕๔๒ หน้า ๔ ข้อ ๔) จะให้เข้าใจว่า คืออะไร ??? ในเมื่อ สคทพ.เป็นองค์กร ทางศาสนา แต่ IMF เป็นองค์กรทางการเมือง และเป็นตัวแทน ประเทศมหาอำนาจ เจ้าของโครงการ Change Human Mankind Project ด้วย ในเดือนมกราคม ๒๕๔๐ ขบวนการล้มพุทธ ได้เข้าสู่ สถาบันอุดมศึกษา จัดตั้ง "ศูนย์ศาสนศึกษา" เพื่อนำเอาบุคคล ที่จบจากวิทยาลัย คริสเตียนแสงธรรม ระดับปริญญาตรี มาเรียนต่อในระดับปริญญาโท และปริญญาเอก ในด้านศาสนศึกษา โดยมี พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) นายประเวศ วะสี นายเสถียรพงษ์ วรรณปก ฯลฯ เป็นอาจารย์สอน ซึ่งมีอุดมการณ์หลัก คือ "สิ่งใดๆ ที่พิสูจน์ไม่ได้ ทางวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่ไม่อาจเชื่อถือ" (คำสัมภาษณ์ของ นาย ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์ อาจารย์ประจำ คณะสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เนื่องในวันครบรอบ ๖๐ ปี พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) และความสัมพันธ์ในส่วนตัว ของบุคคลทั้งหมด ได้กล่าวไว้แล้ว ในเบื้องต้น พร้อมกันนั้นก็มีการโฆษณา ประวัติ คุณสมบัติ ของ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ให้สังคมยอมรับ ทางโทรทัศน์ทุกช่องๆ ละ ๒๐ นาทีทุกๆ วัน วันละ ๓ เวลา ตลอดถึงปัจจุบัน (๒๕๔๒) ซึ่งเมื่อคำนวณแล้ว จะต้องใช้เงิน เป็นจำนวนมากถึง ๔๓๘ ล้านบาท ในขณะที่ประเทศ อยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ขนาดนี้ (๑ เหรียญสหรัฐ เท่ากับ ๔๐บาท) ถามว่า เงินจำนวนนี้ มาจากที่ใด คงไม่ใช่จาก กองทุนสันติภาพ พระธรรมปิฎก ซึ่งนายนิเชต เป็นผู้จัดตั้งไว้ อย่างแน่นอน จึงเป็นคำถาม ที่ต้องมีคนตอบให้ได้ว่า เงินนั้น มีแหล่งที่มาอย่างใด และเพื่อจุดประสงค์อะไร ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่จัดทำวิดีทัศน์ กลับกลายเป็น มูลนิธิเด็ก ซึ่งสนับสนุนโดย สภาคริสตจักร แห่งประเทศไทย ดังได้กล่าวไปแล้ว ความก้าวหน้าด้านการขยายอิทธิพล ในส่วนการศึกษา ในสถาบันราชภัฏ และกระทรวงศึกษาธิการ นั้น ไม่อาจดำเนินการ ได้อย่างคล่องตัว เนื่องจาก ติดขัดในอำนาจรัฐบาล ซึ่งกลุ่ม BOSTON กลายเป็นฝ่ายค้าน จะไม่สามารถออกกฎหมาย ให้ขบวนการล้มพุทธ มีอำนาจดำเนินการ บรรลุวัตถุประสงค์ได้ เช่น การสร้างหลักสูตรใหม่ ในสถานศึกษาชื่อว่า "หลักสูตรสันติศึกษา" อันเป็นหลักสูตร ระดับปริญญาตรี ซึ่งสำนักงาน สภาสถาบันราชภัฏ โดย นายนิเชต มีนโยบาย ในวันที่ ๘-๙ เม.ย. ๒๕๔๐ ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น ประการหนึ่ง เพราะไม่สามาถ จัดประชุมสัมมนาได้ (รัฐบาลขณะนั้น ห้ามข้าราชการ จัดสัมมนา) ทำให้การดำเนิน ตามยุทธการ "กรอกยาพิษทางสมอง" ไม่อาจก้าวหน้าตามเวลาที่กำหนดไว้ ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องเปลี่ยนรัฐบาล เพื่อให้สามารถดำเนินการ ได้อย่างเต็มที่ กลุ่ม BOSTON จึงจัดชุมนุม ประสานกับ กลุ่มที่๒ โจมตีรัฐบาล เรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งก็ได้ผล ในที่สุด กลุ่ม BOSTON ก็สามารถเข้าไป เป็นรัฐบาล ได้สำเร็จ ตาม TIME TABLE ที่วางไว้ อย่างสมบูรณ์ ในระยะเดียวกันนั้น ทางด้านของ นายนิเชต โดยคำสั่ง จากที่ใดที่หนึ่ง จากหน่วยเหนือ ให้ดำเนินงาน ภายใต้แผนขยายเครือข่าย ยึดครองพื้นที่ทางสมอง ของเยาวชนในชาติ โดยการออกคำสั่ง สำนักงาน สภาสถาบันราชภัฏ ที่ ๙๓๕/๒๕๔๐ ลงวันที่ ๒ ธ.ค. ๒๕๔๐ เรื่องแต่งตั้ง คณะกรรมการ ประชุมทางวิชาการ ของกองทุนการศึกษา เพื่อ "สันติภาพ" ทั้งนี้เพื่อเป็นการ ตรวจสอบความพร้อม กระแสสังคม และความร่วมมือ ของบุคคลที่เคยอยู่ ภายใต้บังคับบัญชา ของตนด้วย แน่นอน ผู้ที่ถูกแต่งตั้งนั้น ขาดไม่ได้ ต้องมีบุคคลในมูลนิธิ โกมลคีมทอง ร่วมเสมอ คือ นายธรรมเกียรติ กันอริ เป็นต้น จากการประเมินผลความพร้อมดังกล่าว จึงเหมาะสม ที่จะดำเนินการ ตามยุทธการ "กรอกยาพิษทางสมอง" ต่อไป โดยการบรรจุหลักสูตร พุทธศาสตร์แนวคริสต์ ซึ่งจะต้องใช้เอกสารประกอบการศึกษา ของ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) โดยรวมประกอบการศึกษา ซึ่งทั้งนี้ ได้กำหนดไว้ เป็นหลักสูตรบังคับ ในหมวดวิชาพื้นฐานทั่วไป (General Education) โดยเปลี่ยนมาจาก หลักสูตรเดิม คือ หลักสูตรพื้นฐานทั่วไป และใช้ชื่อว่า วิชา "มนุษย์กับสันติภาพ (Human and Peace)" เป็นวิชาบังคับเรียน ซึ่งมีผลถึง ๓ หน่วยกิต แทรกไว้ใน กลุ่มวิชามนุษยศาสตร์ ซึ่งบังคับเรียน ๖ หน่วยกิต (ที่มา สรุปสาระสำคัญ การประชุม คณะกรรมการดำเนินการ ปรับร่างรายวิชาพื้นฐานทั่วไป ๒๖ ก.พ.๒๕๔๑ ห้องประชุมช่อแก้ว สถาบันราชภัฏ สวนสุนันทา) นี่คือแผนต่อเนื่อง จากการจัดหลักสูตร "สันติศึกษา" ซึ่งได้กล่าวไปแล้วนั้นเอง ในขณะที่ศีลธรรม อันเป็นพุทธวจนะของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรมศาสดา แห่งพระพุทธศาสนา ถูกแปรเปลี่ยน ปลอมปน เป็นสัทธรรมปฏิรูป โดยพระภิกษุ ในพุทธศาสนา คำว่า "ศีลธรรม" จะไม่มีอยู่ในหัวใจ และจิตสำนึกของเยาวชน อันเป็นอนาคตของชาติ อีกต่อไป ความละอายต่อบาป หรือความชั่ว ก็จะไม่ต้องกลัวเกรง เพราะทำแล้ว ก็ล้างบาปได้ "นิพพาน" ก็กลายเป็น "อุดมธรรม" ของคริสต์ ไปเสียแล้ว สังคมประชาชาติ ความ สงบเรียบร้อย ความมั่นคงของชาติ จะมีรูปร่างเป็นอย่างไร ก็สุดจะเดา เมื่อ "ศีลธรรม" ถูกทำลาย ตัวบทกฎหมาย ที่ระบุไว้ว่า "ขัดต่อความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดี" จะมีความหมาย และใช้บังคับ ได้อย่างไร สถาบันตุลาการ จะเอาอะไรมาเป็นหลัก ในการตัดสินกฎหมายข้อนี้ เพราะไม่มีคำว่า "ศีลธรรม" ในการศึกษา ตั้งแต่ระดับ พื้นฐานของชาติ และนี่แหละ คือชะตากรรมของชาติ ที่สามารถมองเห็น ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยการกระทำของขบวนการล้มพุทธเหล่านี้ แม้จะสามารถเข้ายึดครองกระทรวงศึกษาธิการ ได้อย่างเบ็ดเสร็จ แล้วก็ตาม เพื่อมิให้ เกิดความผิดพลาดในอนาคต หรือมีการแก้ไข หลักสูตรการศึกษา ที่ขบวนการดังกล่าว ได้วางแผนไว้นั้น ได้อีกต่อไป กลุ่มขบวนการล้มพุทธ จึงประสานกัน กับกลุ่ม BOSTON ให้ผลักดัน "พรบ.การศึกษาแห่งชาติ" ให้เอื้อหนุน เป็นไปตาม PROPOSITION 19 จากสมัชชาสังฆราช เพื่อเอเซีย "เรื่องการศึกษา" (เอกสารการสัมมนา ประจำปี ๒๕๔๑ ยอด พิมพิสาร ประธานสภา สังฆราช คาทอลิค แห่งประเทศไทย) ซึ่งปรากฏ เป็นความมุ่งหมายตรงกัน และสอดรับมาตรา อันบัญญัติไว้ใน พรบ.การศึกษาแห่งชาติ อีกด้วย ดังการตั้งกระทรวงขึ้นใหม่ เพื่อรองรับบุคลากร ที่ขบวนการล้มพุทธ ได้จัดเตรียมไว้ ดังตัวอย่างเช่น มาตรา ๔ "กระทรวง" หมายความว่า กระทรวงการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม (ซึ่งก็จะหนีไม่พ้น นายประเวศ วะสี และบุคคล ที่สร้างภาพเตรียมรอไว้แล้วนั่นเอง) มาตรา ๖ "....พัฒนาคนไทยให้เป็น "มนุษย์ที่สมบูรณ์" (แสดงว่า ตลอดตั้งแต่ประเทศไทยตั้งชาติมานี้ คงไม่ใช่มนุษย์ คงเป็นประเภท ครึ่งคนครึ่งสัตว์ กระมัง...?? นี่เป็นคำที่ใช้ ในการเผยแพร่ศาสนาคริสเตียน โดยแท้)....มี "คุณธรรม" มี "จริยธรรม" (จะเห็นได้ว่าไม่มีคำว่า "ศีลธรรม" ทั้งสิ้น ดังได้กล่าว แต่ต้นว่า คุณธรรม จริยธรรม เหล่านี้ ไม่ใช่คำในพุทธศาสนาเลย) และที่บัญญัติมาเช่นนี้ ก็เพื่อให้เป็นไปตาม มติการประชุมของ "สหสภาสังฆราช แห่งเอเซียหรือ FABC ประจำปี ๒๕๔๑" ว่าด้วย ความเป็นหนึ่งเดียว ของกลุ่มชน หรือทางใหม่ ที่จะเป็นพระศาสนจักร ในเอเซีย (รายงานของ ยอดพิมพิสาร อ้างแล้ว) มาตรา ๗ ".....ส่งเสริมสิทธิ "เสรีภาพ" ความเสมอภาค "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" ....รวมทั้ง "ภูมิปัญญาไทย....." (จะเห็นว่า คำพูดที่ได้บัญญัติลงไป ใน พรบ.นี้ ใช้คำจากคัมภีร์คริสเตียนทั้งสิ้น โดยเฉพาะประเทศไทย มีความเป็นมนุษย์ และพูดภาษามนุษย์ มาเป็นพันปี หมื่นปี ก็ไม่ทราบว่า ก่อนจะบัญญัติเช่นนี้ออกมา ผู้บัญญัติ มิได้พูดภาษามนุษย์ กันหรืออย่างไร... ที่ยิ่งไปกว่านั้น จะเห็นได้ชัดว่า คำว่า ภูมิปัญญาไทยนั้น ดีมากจริง แต่ลึกลงไปกว่านั้น ก็คือ ขบวนการล้มพุทธ ได้จัดตั้ง "มูลนิธิภูมิปัญญาไทย" ดักหน้าไว้ ก่อนมี พรบ.นี้แล้ว...อ้างแล้ว) มาตรา ๓๑ "ให้กระทรวงมีองค์กรหลัก ที่เป็นบุคคลในรูปสภา หรือในรูปคณะกรรมการ จำนวน ๔ องค์กร คือ องค์กร การศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมแห่งชาติ คณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน คณะกรรมการ อุดมศึกษา และคณะกรรมการศาสนา และวัฒนธรรม "เพื่อพิจารณาให้ ให้ความเห็น หรือให้คำแนะนำ แก่รัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรี และมีอำนาจหน้าที่อื่น ตามกฎหมายกำหนด" (จากข้อมูลที่นำเสนอ มาแต่ต้น จะเห็นได้ว่า เป็นการบัญญัติ ให้บุคคลในขบวนการ มีอำนาจครอบคลุม ด้านการศึกษา ทั้งประเทศ) มาตรา ๓๒ วรรค ๒ ให้กรรมการสภาการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม แห่งชาติประกอบด้วย รัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ โดยตำแหน่ง จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง "ผู้แทนองค์กรเอกชน" (ถามว่า หากคุณ ไม่ใช่พุทธศาสนิกชน คุณจะตั้งผู้แทนองค์กร จากศาสนาไหน ...??? คงไม่ต้องขยายความ) มาตรา ๖๒ ให้รัฐต้องจัดสรรคลื่นความถี่ สื่อตัวนำ และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ที่จำเป็นต่อการ ส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ วิทยุโทรคมนาคม และการสื่อสารในรูปอื่น เพื่อใช้ประโยชน์ สำหรับ... "การศึกษานอกระบบ"...... "(ในส่วนตรงนี้ ชี้ชัดได้เลยว่า เป็นการบัญญัติ จากผลของ การประชุมสมัชชา สังฆราชคาทอลิค แห่งเอเซีย เรื่องการศึกษา ๒๕๔๑ ซึ่งมีข้อความ ส่วนหนึ่งว่า "โทรทัศน์ช่อง คริสต์ศาสนา (ACT) ซึ่งนับเป็นงานสื่อมวลชนที่สำคัญ ของพระศาสนจักรไทย เพื่อพระศาสนจักรไทย และประเทศเพื่อนบ้าน ในเอเซีย ควรเป็นจุดเริ่มต้น ในการฟื้นฟู พระศาสนจักรไทย ในอันที่จะทำให้ พระศาสนจักรไทย เป็น "เครื่องมืออันแท้จริงแห่งพันธกิจ แห่งความรัก และการรับใช้ ของพระเจ้า" ในประเทศไทย... โดยเฉพาะเราควรสนใจใน "การศึกษานอกระบบ" ให้มากขึ้น คุณค่าที่คาดหวัง และอิทธิพลในสังคม" ที่สุดของที่สุดก็คือ การใช้อิทธิพลทางการเมือง โดยกลุ่ม BOSTON ผนวกกับช่องว่างทางกฎหมาย ซึ่งบุคลากรในขบวนการ เป็นประธานร่างขึ้นนั้น บีบวุฒิสภา ให้พิจารณาผ่าน "พรบ.การศึกษาแห่งชาติ" ให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน โดยอ้างว่าเป็นพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน...??? (ภาคผนวก เอกสาร จ.๔ จ.๔) ท่านผู้อ่านมีความเห็นเป็นอย่างอื่นหรือไม่ ว่าเหตุใด จึงมีกระทรวงพิศดาร เกิดขึ้น และกระทรวงศึกษาธิการ หายไปไหน อีกทั้งคำว่า "ศีลธรรม" ของพระพุทธศาสนา ได้ถูกบัญญัติ ให้ละลายหายสาปสูญ ไปจากประวัติศาสตร์ การศึกษาของไทย อย่างถาวร ด้วยอำนาจแห่งกฎหมายนี้ ถามว่า เป็นประโยชน์กับชนหมู่ใด....??? ในช่วงกลางปี ๒๕๔๑ ถึงปี ๒๕๔๒ นับเป็นช่วงของการ โจมตีภาพพจน์ ของพระพุทธศาสนา เป็นการดำเนินการแบบ มิชชั่น ทั้งได้รับการสนับสนุน อย่างเต็มที่จากกลุ่ม BOSTON ซึ่งเป็นรัฐบาล จุดที่มุ่งทำลายก็คือ วัดในพุทธศาสนา ที่มีการสั่งสอน สมาธิจิต ประสบผลสำเร็จ มากที่สุดในประเทศไทย และก็เช่นเดิม สื่อมวลชนชื่อ มติชน ก็ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ เหนียวแน่น (หากท่านนำเอา นสพ.มติชน ฉบับเก่า ปี ๒๕๓๘ มาเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ ในช่วง ๒๕๔๑ - ๒๕๔๒ จะเห็นว่า เป็นการดำเนินการ ตามแผนเดิม แบบเดิม แม้กระทั่งเนื้อข่าว ก็แทบจะลอกของเดิมมา ชนิดวันต่อวัน เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ตัวบุคลากร ที่ดำเนินการสร้างกระแส ล้วนมาจาก องค์การเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน มีการแจ้งความดำเนินคดี ในรูปแบบเดียวกัน โดยคนๆ เดียวกัน (นายเสถียรพงษ์ วรรณปก ผู้ร่วมขบวนการ) ผู้จุดประเด็นให้เกิดขึ้น โดยการเขียนหนังสือ ก็คือ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) พระพยอม กัลยาโณ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายจรวย หนูคง นายวรเดช ฯลฯ นี่คือเหตุการณ์ปกติที่ต้องเกิดขึ้น เพราะจุดประสงค์ ของประเทศมหาอำนาจ ซึ่งร่วมกับ องค์กรต่างศาสนา ก็คือทำลายแหล่งปฏิบัติ "สมาธิจิต" ในพุทธศาสนา ให้หมดไปจากแผ่นดิน การโจมตีพระพุทธศาสนา และพระเถรานุเถระ มหาเถรสมาคม องค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย โดยไม่มีการยกเว้น อย่างเปิดเผย และท้าทาย ต่อกฎหมายบ้านเมือง และรัฐธรรมนูญ ถึงขนาด ตัดศีรษะพระ เสียบไม้แห่ประจาน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังได้แต่มองตาปริบๆ ไม่กล้าจับกุม ดำเนินคดี นี่คือสิ่ง ที่แสดงให้เห็นถึง การเข้ายึดครอง แบบเบ็ดเสร็จ ในทางการเมือง ของกลุ่ม BOSTON ในปี ๒๕๔๒ เป็นช่วงที่ขบวนการดังกล่าว ใช้อิทธิพลทุกด้าน ผลักดันให้มีการออกกฎหมาย เพื่อควบคุมพุทธศาสนา และพุทธศาสนิกชน ในประเทศไทย รวมไปถึงพุทธศาสนสมบัติทั้งสิ้น บนแผ่นดินนี้ ให้อยู่ภายใต้อำนาจของตน ทั้งยังมีอำนาจ ในการแต่งตั้งกรรมการปกครอง คณะสงฆ์ไทย และพระราชาคณะ ทุกระดับชั้น (ขณะที่เขียนอยู่นี้ เดือน ก.ย. ปี ๒๕๔๒ ยังไม่ทราบผล ว่าจะออกมาอย่างไร) อันเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา อันเป็นสถาบัน ความมั่นคงของชาติ โดยตรง แต่ขบวนการนี้ หาได้มีความหวั่นเกรงอย่างใดไม่ กลุ่ม BOSTON ได้ใช้ความสามารถ ยกเลิก พรบ.ปราบปราม การกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นกฎหมาย ฉบับเดียวของชาติ ที่บัญญัติไว้ ใช้สำหรับพิทักษ์ รักษาสถาบันชาติ พระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้อย่างเต็มอำนาจ เมื่อยกเลิกแล้วเช่นนี้ ทำให้ขบวนการกลืนชาติ สามารถกระทำการใดๆ ทำลายสถาบันทั้ง ๓ ได้ตามต้องการ โดยไม่มีความผิด นับว่าเป็นความเฉียบคม และสุขุม ของผู้วางแผนการกลืนชาตินี้ เป็นอย่างยิ่ง หลักการสอน "สมาธิจิต" ที่ถูกต้องตามพุทธพจน์ ของพระพุทธศาสนา ในพระไตรปิฎกเถรวาท ซึ่งถูกเขียนขึ้น มากว่า ๒๐ ปี ใช้เป็นหลัก ในการสอนในโรงเรียน เช่น หนังสือ "มงคลชีวิต" และหนังสือแนวปฏิบัติ สำหรับพระภิกษุ ผู้บวชใหม่ "พระแท้" ถูกสั่งให้เก็บมาเผาทิ้ง เพราะขัดกับข้อความ ในหนังสือ "พุทธธรรม" อันเป็นสัทธรรมปฏิรูป (ปลอมปนบิดเบือน) ที่เขียนโดยพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขบวนการกลืนพุทธ ต้องใช้หนังสือ "พุทธธรรม" เป็นหลักสูตร "มนุษย์กับสันติภาพ" สำหรับ การสอน ในสถาบันราชภัฏ ตามแผนที่วางไว้ ดังนั้น การทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง อันเป็นแนว ที่ถูกต้อง ตามพระธรรมวินัย แห่งพระพุทธศาสนา และคณะสงฆ์ไทย จึงเกิดขึ้น อย่างรุนแรงและเผ็ดร้อน เพื่อให้ทันปี ค.ศ.2000 อันเป็นช่วงกำหนด ของการกลืนชาตินั่นเอง ข้อมูลที่ท่านจะต้องรับทราบไว้ ซึ่งขัดกับจุดมุ่งหมาย หรือคำประกาศ ในการตั้ง "กองทุนเพื่อสันติภาพ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ของ นายนิเชต สุนทรพิทักษ์ ก็คือ ในวันที่ ๙- ๑๑ ม.ค.๒๕๔๒ ได้มีรายงานการประชุม "การศึกษาพุทธศาสนา เพื่อสันติภาพ" ซึ่งระบุว่า "ได้นำเงินรายได้ทั้งหมด" หลังหักรายจ่าย (ระบุว่ารายจ่าย หนึ่งแสนกว่าบาท) "เข้ากองทุนพระธรรมปิฎก เพื่อเชิดชูธรรม วัดญาณเวสกวัน" ซึ่งพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) เป็นเจ้าอาวาส ....นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่ข้อมูลรั่วไหลออกมา นอกจากนั้นยังไม่มีใครทราบแน่ชัด และโดยเฉพาะ เงินที่ใช้ในการดำเนินการ ก็ใช้จากงบประมาณของรัฐ (เงินภาษีประชาชน) โดยผ่านทาง สภาสถาบันราชภัฏ นั่นเอง |