Religious Colony "เมืองขึ้นทางศาสนา"

 

 

ประเทศเวียตนาม เป็นอาณาจักรโบราณที่สืบเนื่องมาจากอาณาจักร "จามปา" หรือ "เจนละ" ในยุคกรุงศรีอยุธยาทางประวัติศาสตร์เรียกชนเวียตนามนี้ว่า "ญวน" มีสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข และพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ ปรากฏพระพุทธรูป และโบราณพุทธศาสนสถานอายุพันปี เป็นหลักฐาน ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกษัตริย์ของเวียตนาม กับประเทศไทยที่เด่นชัดที่สุด จะอยู่ในช่วงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์ราชชวงศ์จักรี คือ เมื่อประมาณ ๒๐๐ กว่าปีมานี้เอง ประเทศเวียตนาม เกิดการกบฏ กษัตริย์ของเวียตนามชื่อ "องเชียงสือ" ได้ลี้ภัยเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ซึ่งสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ได้ทรงพระราชทานกองทัพไทยพร้อมกับอาวุธ ให้กลับไปกู้ชาติเวียตนามและปราบกบฏไกเซิน จากการรบอันเข้มแข็ง และการบัญชาการของกองทัพทหารไทยทำให้กลุ่มกบฏไกเซิน พ่ายแพ้แตกหนีกระจัดกระจายไปอยู่ทางภาคใต้ของประเทศ องเชียงสือจึงประกาศพระองค์ เป็นจักรพรรดิกษัตริย์เวียตนาม พระนามว่า "จักรพรรดิยาลอง" อันเป็นต้นราชวงศ์ยาลอง ตั้งเมืองหลวงอยู่ที่ "เมืองฮานอย" ซึ่งอยู่ตอนเหนือของประเทศ พร้อมกับขอพระราชทานข้าราชการไทยผู้มีความสามารถในการบริหารแผ่นดินจากกรุงรัตนโกสินทร์ ไปช่วยบริหารราชการแผ่นดินของประเทศเวียตนามอีกด้วย

ในประเทศเวียตนามขณะนั้น ได้มีคณะมิชชันนารีโรมันคาทอลิคชาวฝรั่งเศส ได้ไปเผยแพร่ศาสนา และทำการค้าจำนวนหนึ่ง อาศัยอยู่แถบชายฝั่ง เพื่อการสะดวกสำหรับค้าขายกับจีน พร้อมกันนั้นก็ทำการค้ากับทางภาคใต้ของเวียตนามคือเมืองเว้ อันเป็นที่พักสินค้าซึ่งส่งมาจากฝรั่งเศส ด้วยในช่วงกลางสมัยของจักรพรรดิยาลอง กลุ่มกบฏไกเซิน ที่ถูกปราบปรามและหนีลงสู่ภาคใต้นั้น ได้ยุยงเชื้อสายกษัตริย์ราชวงศ์ เกวี๋ยน ซึ่งอยู่ในเมืองเว้ ให้ก่อการกบฏ จักรพรรดิยาลองจึงส่งกองทัพจากกรุงฮานอย ซึ่งอยู่ด้านเหนือลงมาปราบปราม แต่เนื่องจากว่าหนทางจากฮานอยลงสู่ภาคใต้นั้นทุรกันดาร ต้องข้ามเขารกชัฏ และป่าดงดิบ ทหารส่วนใหญ่ก็เป็นไข้ป่าตายเสียมาก คณะมิชชันนารีโรมันคาทอลิคฝรั่งเศสซึ่งอยู่ในกรุงฮานอย จึงยื่นข้อเสนอว่าจะรับปราบกบฏให้ แต่จักรพรรดิยาลองจะต้องอนุญาตให้พวกมิชชันนารีฝรั่งเศสประกาศศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิคได้ทั่วประเทศเวียตนาม และมีสิทธิพิเศษที่จะสามารถลงโทษประหารชีวิตได้ ซึ่งจักรพรรดิยาลองก็ทรงอนุญาต มิชชันนารีฝรั่งเศสจึงทำหนังสือไปยังรัฐบาลฝรั่งเศสเพื่อขอกองทัพและอาวุธมาทำการปราบปรามกบฏในเมืองเว้ ซึ่งแน่นอนที่สุดเพราะฝรั่งเศสขณะนั้นจัดว่าเป็นประเทศมหาอำนาจและมีอาวุธที่ทันสมัย ในชั่วเวลาไม่ถึง ๓ เดือนกบฏไกเซิน ในเมืองเว้ก็ราบคาบ ตามบันทึกประวัติศาสตร์กล่าวว่ากบฏไกเซินล้วนเป็นผู้ที่นับถือพุทธศาสนาและใช้ผ้าเหลืองโพกศีรษะเป็นเครื่องหมาย ในเมืองเว้สมเด็จสังฆราชเวียตนามประทับอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาในภาคใต้ของประเทศเวียตนามยุคนั้นด้วย นี่คือจุดเริ่มต้นของการเผยแพร่คริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิค ในประเทศเวียตนามอย่างเป็นรูปธรรมในเมืองเว้และภาคใต้ของเวียตนาม สำหรับกองทัพฝรั่งเศสที่มาช่วยทำการปราบกบฏนั้นก็คงอาศัยพำนักอยู่ในเวียตนามอย่างถาวร และส่วนหนึ่งก็เข้ารับราชการในกองทัพของเวียตนามด้วย ทางฝ่ายมิชชันนารีได้รณรงค์เผยแพร่ศาสนาอย่างรวมเร็ว ส่วนกองทัพฝรั่งเศสที่อยู่ในส่วนราชการของเวียตนามก็ขยายเครือข่ายอิทธิพลครอบคลุมกองทัพ เวียตนามได้ส่วนหนึ่ง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าโดยธรรมชาติของการเผยแพร่ศาสนาของมิชชันนารีโรมันคาทอลิคนั้น เบื้องหลังก็คือการยึดครองประเทศที่ตนเองเข้าไปอาศัยอยู่นั้นเป็นเมืองขึ้น ซึ่งได้เคยเกิดขึ้นในประเทศสยามมา หลายครั้ง ทั้งนี้ก็มิได้พ้นสายตาของจักรพรรดิยาลอง และเหล่าทหารเวียตนาม ผู้รักชาติแต่อย่างใด

เมื่อสิ้นจักรพรรดิยาลอง กษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ มิชชันนารีโรมันคาทอลิคฝรั่งเศส ได้ก่อการกบฏขึ้นโดยมีชาวเวียตนามที่เข้ารีตเป็นคริสเตียนให้ความร่วมมือ พร้อมทหารฝรั่งเศสที่รับราชการอยู่ในกองทัพเวียตนาม ทำการพร้อมกันทั้งในกรุงฮานอยซึ่งอยู่ทางเหนือและเมืองเว้ภาคใต้ ทั้งนี้เพราะเชื่อจากประสพการณ์เดิมว่า กองทัพเวียตนาม คงไม่สามารถปราบปรามได้เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในครั้งก่อน ทหารที่นับถือคริสเตียนโรมันคาทอลิค ได้ทำการเผาวัด และฆ่าพระสงฆ์ในพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากมาย ยังความเจ็บแค้น ให้กับพุทธบริษัทชาวเวียตนามเป็นอย่างยิ่ง จึงทำการต่อต้านอย่างสุดชีวิตทั่วประเทศทั้งเหนือใต้ ตั้งเป็นกองทัพชาวพุทธขึ้นโดยไม่รอกองทัพเวียตนามมาช่วย เนื่องจากกษัตริย์เวียตนามพระองค์นี้ ฉลาดและรู้เล่ห์กลของพวกสอนศาสนาโรมันคาทอลิคนี้ได้ พร้อมด้วยทหารเวียตนามที่นับถือพุทธ ได้เตรียมพร้อมรับเหตุการณ์นี้อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น จึงสามารถปราบปรามได้ในเวลาไม่นาน กองทัพฝรั่งเศส และพวกมิชชันนารีรวมทั้งพวกเวียตนามที่เข้ารีตโรมันคาทอลิค พ่ายแพ้หลบหนีกระจัดกระจาย หนีตายเข้าสู่ประเทศไทย พร้อมบาทหลวงซังซาเวีย และด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทย ก็ทรงพระราชทานที่ดินให้เป็นที่อาศัยของคนเหล่านี้ (กลายเป็นหมู่บ้านญวนสามเสน) ซึ่งมิชชันนารีเหล่านี้ เองก็ได้ถือโอกาสความมีเสรีภาพและพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทย ยึดพื้นที่ภาคเหนือตอนบนเป็นที่ประกาศศาสนา โดยมีเชียงใหม่เป็นฐานที่ตั้ง (ซึ่งผู้เข้ารีตกลุ่มนี้ ได้ทำการสร้างสถานการณ์ทำลาย ใส่ความอันเป็นเท็จต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมือง และทางสงฆ์ให้ลงโทษพระสุปฏิปันโนของไทย คือครูบาศรีวิชัย ผู้สร้างพระธาตุดอยสุเทพ ทุกวิถีทางอันเป็นเหตุให้ท่านมรณะภาพ ในวัยอันไม่สมควร) และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวียตนาม จัดเป็นสงครามศาสนาครั้งแรกที่เกิดขึ้น ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และด้วยความสามัคคีของพุทธบริษัทเวียตนาม ทำให้เหล่านักล่าเมือง ขึ้นโรมันคาทอลิคเข็ดขยาดไป ประเทศเวียตนาม สถาบันพระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมด้วยประชาชนจึงอยู่เป็นสุขสืบมา

"ผู้ที่เชื่อและได้เปลี่ยนเป็นชาวคริสต์จะรอด ผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้า จะต้องถูกพิพากษาลงโทษ" นี่คือคำสั่งสอนอันปรากฏอยู่ใน มารโก บทที่ 16 ข้อ 15/16 ซึ่งชาวคริสต์โรมันคาทอลิค ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด การกำจัด ผู้ที่ไม่นับถือในพระเจ้าของชาวคริสต์ให้สิ้นไป ถือว่า เป็นหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นบุคคลพวกนี้จึงมิได้สำนึกว่าตนเองนั้นได้กระทำบาปกรรมมหาศาล ต่อประชาชนชาวเวียตนาม ความต้องการยึดครองดินแดนและประกาศศาสนา เพื่อให้ประเทศเวียตนามเป็นดินแดนคริสเตียนโรมันคาทอลิคมิได้จางหายไป แต่กลับเพิ่มพูนด้วยความอาฆาตที่มีต่อพุทธบริษัทชาวเวียตนาม เพียงแต่รอเวลาเพื่อล้างแค้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมว่าจะมาถึงเมื่อไรเท่านั้น และไม่นานเกินรอเพียง ๓๐ กว่าปี หลังจากนั้น กองทัพฝรั่งเศสนำด้วยบาทหลวงโรมันคาทอลิคก็สามารถยึดประเทศเวียตนามได้ทั้งหมด โดยความร่วมมือของชาวเวียตนามที่เข้ารีตนับถือคริสต์เตียนโรมันคาทอลิค ซึ่งมีความเชื่อว่า การขายชาติให้กับบาทหลวง คือคำสั่งของพระเจ้า ผู้ที่ไม่นับถือพระเจ้า คือพวกซาตานต้องกำจัดให้สิ้นไปจากแผ่นดิน ตามที่กล่าวเป็นคำสั่งสอนไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ล ระบบการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ เป็นพระประมุขของเวียตนาม ถูกจัดให้เป็นบุคคลประเภทสอง โดยมีชาวฝรั่งเศสเป็นผู้บริหารประเทศ และระบบราชการถูกเปลี่ยนใหม่ มีไว้สำหรับชาวเวียตนามที่นับถือคริสเตียนโรมันคาทอลิคเท่านั้น โดยเฉพาะภาคใต้ ซึ่งจัดว่าเป็นส่วนสำคัญ และเป็นเมืองท่าของเวียตนาม กองทัพฝรั่งเศส โดยคำแนะนำของบาทหลวงโรมันคาทอลิค ได้บังคับให้จักรพรรดิออกพระราชกฤษฏีกา เรียกว่า "พระราชกฤษฏีกา ฉบับที่๑๐" ให้ยกศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิคเป็นศาสนาประจำชาติ และให้พุทธศาสนา เป็นสิ่งต้องห้าม เป็นศาสนาของชนกลุ่มน้อย หรือพวกกรรมกรชนชั้นต่ำ พร้อมกับกำหนดให้พระพุทธศาสนาทั้งศาสนา มีสภาพเป็นเพียงสมาคมเอกชนตามธรรมดา ซึ่งหากสมาคมเหล่านี้ จะจัดกิจกรรมใดๆ เช่นทอดกฐิน จัดเทศน์ ทำบุญออกพรรษา ต้องขออนุญาต จะจัดงานบุญถือศีล หรือนั่งกรรมฐานวิปัสสนา ถือว่ามีความผิดฐานร่วมกันชุมนุมต่อต้านรัฐบาล

ด้วยเหตุดังกล่าวนี้จึงทำให้วัดวาอาราม พุทธสถานถูกรื้อและเผาทิ้งทำลายเสียมากต่อมาก ฝรั่งเศสเอาไฟสุมพระพุทธรูป เพื่อเอาทองคำไป ทำเป็นแท่งส่งไปให้บาทหลวงบ้าง เป็นสมบัติของตนเองบ้าง พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา ถูกลอบฆ่าบ้าง ถูกจับสึกให้ไปเป็นกรรมกรท่าเรือบ้าง วัดพุทธศาสนาในภาคใต้ที่เป็นวัดใหญ่ ก็ถูกดัดแปลงเป็นโบสถ์คริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิค พร้อมกันนั้นได้ออกกฎหมายบังคับ ส่วนภาคใต้ ห้ามประชาชนหรือบริษัทจ้างพุทธศาสนิกชนเป็นลูกจ้างที่มีค่าจ้างเด็ดขาด ยกเว้นจะจ่ายเป็นอาหารสองมื้อเท่านั้น แต่ส่วนในภาคเหนือนั้น ใกล้หูใกล้ตาพระมหากษัตริย์ที่ยังมีผู้จงรักภักดีอยู่ ก็คงยังผ่อนผันบ้าง แต่ก็มีการลอบฆ่าผู้นำพุทธศาสนาอยู่ตลอดเวลา   การค้าขายทั้งสิ้น ห้ามชาวพุทธทำกิจการอย่างเด็ดขาด และไม่ให้บาทหลวงรับคนจนเข้ารีตเป็นคริสเตียน ด้วยประการทั้งปวง จึงทำให้ผู้ที่ต้องการมีตำแหน่งทางการเมือง รับราชการทุกหน่วยของเวียตนามในยุคนั้นต้องหันมานับถือคริสเตียนโรมันคาทอลิค ซึ่งจัดเป็นบุคคล ระดับสูงกว่าพระมหากษัตริย์ของเวียตนาม ที่เป็นพุทธมามกะ นี่คือการล้างแค้นอันแสนหฤโหดที่เกิดขึ้น ทำให้พระพุทธศาสนาเริ่มเสื่อมโทรมลง

ด้วยการเข้ายึดครองของโรมันคาทอลิคโดยอาศัยกองทัพฝรั่งเศสเข้าเข่นฆ่าชาวพุทธอย่างกระหายเลือดนี้เอง ทำให้ชาวพุทธในประเทศเวียตนามผู้รักชาติ รวมตัวกันกอบกู้เอกราช ให้กลับคืนมาสู่ประเทศเวียตนาม โดยจัดตั้งเป็นกองกำลัง มีนายพลทหารที่เป็นพุทธศาสนิกชนเป็นหัวหน้า แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มด้วยกันคือ ๑.กลุ่มก๋าวด่าย ๒.กลุ่มหว่าห่าว ทั้งสองกลุ่มนี้ ร่วมกันทำการรบโดยใช้กลยุทธ์ทุกรูปแบบตลอดมา แม้จะสูญเสียชีวิตไปมากมาย ก็มิได้ย่อท้อแต่อย่างใด เพียงเพื่อให้ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ได้กลับมาเป็นเอกราชเช่นเดิมการรบนั้นมีอย่างต่อเนื่องเกือบร้อยปี จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ประเทศญี่ปุ่นเข้ายึดครองเอเซีย ประเทศฝรั่งเศสเสียเอกราชแก่เยอรมันทำให้ต้องปล่อยให้เวียตนามเป็นเอกราชในปี พ.ศ.๒๔๘๕ แต่มันก็เป็นอิสระภาพชั่วคราวเพียง ๓ ปีเท่านั้น เพราะในต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๘ ประเทศญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามถูกปลดอาวุธ บาทหลวงโรมันคาทอลิคชาวฝรั่งเศสที่ อยู่ในเมืองเว้รู้เรื่องจึงรีบส่งข่าวแจ้งไปยังรัฐบาลที่กรุงปารีส ให้รีบส่งกองทัพเข้ายึดครองประเทศเวียตนามเป็นการด่วน ทางประเทศฝรั่งเศสจึงส่งกองทัพนำ โดยนายพลแคล์ ผู้เคร่งในศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิค นำทหาร ๒ กองพล เข้ายึดครองประเทศเวียตนามในทันที และเริ่มปราบปรามพุทธศาสนิกชนเป็นงานหลักเช่นเดิม ทำให้ชาวพุทธในประเทศเวียตนามรวมตัวกันต่อต้านกองทัพฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์เวียตนาม และประวัติศาสตร์โลกเลยทีเดียว

นับตั้งแต่ฝรั่งเศสเข้าปกครองประเทศเวียตนามตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๙ ถึงปี พ..ศ. ๒๔๙๔ นั้น ได้จัดระบบศาสนาใหม่ บังคับให้รัฐบาลเวียตนามออกกฎหมาย ไม่มีพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ (เหมือนประเทศไทย ที่ไม่ยอมบัญญัติพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ ลงในรัฐธรรมนูญ) ผู้ที่ต้องการรับราชการ ต้องเป็นคริสเตียนโรมันคาทอลิคเท่านั้น ไม่ยอมรับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ เข้าทำงานในทุกตำแหน่งทางราชการ และจัดให้เป็นประชาชนที่นับถือพุทธ เป็นชั้นต่ำสุดของประเทศตลอดมา รวมทั้งเปลี่ยนกฎหมายการศึกษา ของประเทศเวียตนามใหม่ โดยให้ยกเลิกการสอน การใช้ภาษาเขียนของประเทศเวียตนาม (ทำให้ปัจจุบันประเทศเวียตนาม ต้องใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นอักษร ในการเขียนแต่ออกสำเนียงเป็นภาษาเวียตนาม ภาษาประจำชาติ เวียตนามจึงสาปสูญไปจากโลก) ชาวเวียตนามที่นับถือพุทธศาสนาส่วนใหญ่อยู่ทางด้านตอนเหนือของประเทศซึ่งติดอยู่กับจีน ก็ตั้งกองกำลังกู้ชาติ ให้หลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสอีกพวกหนึ่ง

ดังได้กล่าวไปแต่ต้นนั้นแล้วว่า แต่เดิมมาจักรพรรดิหรือสถาบัน กษัตริย์ และบุคคลชั้นสูง รวมทั้งข้าราชการ ประชาชนส่วนใหญ่ของเวียตนาม ล้วนนับถือพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาประจำชาติ ครั้นเมื่อเวียตนาม ได้สูญเสียเอกราชให้แก่ประเทศฝรั่งเศส เกือบร้อยปีนั้น ทำให้การขยายตัวของศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิคแพร่กระจายมากขึ้น ทั้งโดยการเผยแพร่และการจำกัดผู้นำพุทธรวมถึงการกีดกันทางสังคม ทำให้วัดในพุทธศาสนาค่อยๆ หายไป ทั้งนี้เพราะว่า การที่ฝรั่งเศสได้ออกกฎหมาย ว่าการจ้างผู้ใดเข้าทำงานหรือเป็นลูกจ้าง ต้องเอาแต่ผู้เข้ารีตเป็นคริสเตียนเท่านั้น โรงเรียนดีๆ ที่มีฝรั่งเศสสอนหนังสือก็เป็นโรงเรียนคาทอลิค และเลือกสอนเฉพาะลูกคนรวย หรือลูกข้าราชการที่เป็นคาทอลิค ลูกชาวพุทธไม่มีสิทธิ์ที่จะได้เข้าเรียน ดังนั้นผู้ที่ต้องการก้าวหน้าหรือเป็นข้าราชการก็ต้องนับถือคริสเตียน และเรียนในโรงเรียนคาทอลิค จึงทำให้ประเทศเวียตนามมีแต่ชาวคาทอลิคมากมายด้วยเหตุนี้ นี่คือการกลืนศาสนาอย่างหฤโหดที่สุด ในประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติของชาวเอเซีย ตะวันออกเฉียงใต้ กับ คริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิค

การต่อต้านเพื่อกอบกู้เอกราชเวียตนามจากการปกครองของฝรั่งเศส เกิดขึ้นอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะทางด้านเหนือของประเทศ ซึ่งมีพุทธบริษัทชาวเวียตนามอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ประกอบกับพื้นที่ทางภาคเหนือ ล้วนแล้วแต่เป็นภูเขาและป่าดงดิบ ยากในการป้องกัน และการทำการรบ ซึ่งกองทัพฝรั่งเศส เสียเปรียบกองกำลังกู้อิสรภาพเวียตนามตลอดมา ทำให้กองทัพ ฝรั่งเศสจำต้องอพยพชาวเวียตนาม ที่เป็นคริสเตียนลงมาทางใต้ พร้อมกับนำเอากษัตริย์เวียตนามคือ "จักรพรรดิเบ๋าได๋" และพระราชวงศ์ทั้งหมดมายังภาคใต้เพื่อเป็นตัวประกัน โดยอ้างว่าเพื่อถวายความปลอดภัย คงเหลือกองทัพไว้บางส่วน ในพื้นที่ราบซึ่งเรียกว่า "เดียนเบียนฟู" อันเป็นแหล่งเกษตรกรรม ซึ่งปลูกข้าวที่สำคัญ และทำรายได้มหาศาล ให้กับฝรั่งเศสอย่างมาก จึงยังคงกองทัพ ไว้ป้องกันผลประโยชน์ในส่วนนี้ของตน และเพื่อง่ายในการปราบปรามกองกำลังกู้ชาติ ฝรั่งเศสจึงประกาศแบ่งประเทศเวียตนาม เป็น ๒ เขต คือ เขตเหนือและเขตใต้ เพื่อความสะดวกทางยุทธศาสตร์การรบ ท่านผู้อ่านควรทราบว่า ประเทศเวียตนามนั้น แต่เดิมไม่มี เวียตนามเหนือ เวียตนามใต้ แผ่นดินเป็นประเทศผืนเดียวกัน ประชาชนเวียตนามทั้งสิ้น ล้วนนับถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ต่อเมื่อฝรั่งเศสเข้ามา ปกครองได้ยกเลิกไม่ให้มีศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติ และให้ข้าราชการ รวมทั้งประชาชนชาวเวียตนามทุกคน จะทำงานได้จะต้องถือศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิค หากไม่ถือศาสนาคริสต์ต้องเป็นชาวนา หรือกรรมกรแบกหาม โดยถือเป็นประชากรชั้นต่ำสุดของประเทศเวียตนาม ตามกฎหมายพระสงฆ์ในพุทธศาสนาเวียตนาม ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ต้องถูกลงโทษหนักเหมือนโจร ถือว่าเป็นศัตรูสังคม เพราะสั่งสอนคนให้เป็นศัตรูของพระเจ้า และนี่คือที่มาของการปรามปราม เข่นฆ่าชาวพุทธอย่างขนานใหญ่ ทำให้ฝรั่งเศสแบ่งประเทศ ออกเป็นเวียตนามเหนือและเวียตนามใต้ ด้วยสาเหตุหลัก ก็เพื่อปราบปรามชาวเวียตนามที่นับถือพุทธศาสนา ให้สิ้นเสร็จเด็ดขาดนั่นเอง นี่เป็นสาเหตุให้ประเทศเวียตนามแบ่งออกเป็น ๒ ประเทศโดยเหตุผลทางยุทธศาสตร์และทางศาสนา แต่สำหรับประชาชนชาวเวียตนามเองนั้น ก็ยังคงไปมาหาสู่กันตามปกติ เหมือนเช่นเป็นประเทศเดียวกันอย่างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

จักรพรรดิเบ๋าได๋ กษัตริย์ของชาวเวียตนาม ทรงเป็นพุทธมามกะ ได้ทรงมีพระบรมราชโองการประกาศยกเลิกการกีดกันชาวพุทธ และปฏิบัติพุทธศาสนพิธี ตามโบราณประเพณีของประเทศเวียตนาม ดังนั้นพระพุทธศาสนา และคณะสงฆ์จึงได้รับการยอมรับ และปกป้องจากทางราชการ   ทำให้ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา สามารถกลับเข้ารับราชการได้ในทุกตำแหน่งอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกันนั้นจักรพรรดิเบ๋าได๋ ได้เชิญหัวหน้ากลุ่มขององค์กรพุทธศาสนาต่างๆ เข้ามารับตำแหน่งหน้าที่ราชการทั้งทางทหาร และการบริหาร ซึ่งผู้นับถือพุทธศาสนาเหล่านี้ ล้วนเป็นผู้รักชาติ และเป็นฐานมวลชนส่วนใหญ่ของประเทศทั้งหมด เมื่อเทียบกับจำนวนของโรมันคาทอลิคซึ่งทั้งประเทศเวียตนามในขณะนั้นมีเพียง ๑ แสนสี่หมื่นคน และส่วนใหญ่เป็นข้าราชการสมัยใหม่ ที่นิยมวัฒนธรรมตะวันตก คิดว่าเป็นพวกเจริญแล้ว ดูถูกภาษาและคนชาติเดียวกัน ไม่คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศ พร้อมที่จะรับใช้ต่างชาติซึ่งเข้ายึดครองประเทศ การประกาศพระบรมราชโองการดังกล่าว ทำให้บาทหลวงโรมันคาทอลิคชาวฝรั่งเศส ไม่พอใจจักรพรรดิเบ๋าได๋เป็นอย่างยิ่ง จึงได้ส่งรายงานต่อสันตะปาปา ณ กรุงวาติกัน ถึงสถานการณ์อันแปรเปลี่ยนนี้ โดยด่วนทันที แต่ก็ไม่ทันต่อเหตุการณ์ที่พลิกผันในการรบระหว่างกองทัพกู้ชาติชาวเวียตนามกับกองทัพฝรั่งเศสที่ "เดียนเบียนฟู"

เป็นสัจธรรมตราบใดที่ผู้ยึดครองไม่สามารถเปลี่ยนอุดมการณ์ "ความรักชาติ" ออกไปจากสมอง จิต วิญญาณ ของชนในชาตินั้นให้ได้อย่างถาวรแล้วละก็ ไม่ว่าผู้ยึดครองนั้นจะใช้อาวุธอันทันสมัยทรงประสิทธิภาพอย่างไร ก็ไม่สามารถเอาชนะกองทัพที่ต่อสู้ด้วยอุดมการณ์ได้ทั้งสิ้น นี่คือกฎสากลที่เป็นธรรมชาติ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาของยุทธศาสตร์ อันทำให้กองทัพฝรั่งเศสที่แข็งแกร่งต้องพ่ายแพ้แก่กองทัพชาวเวียตนามผู้รักชาติในยุทธการ "เดียนเบียนฟู" อันลือลั่นก้องโลก ซึ่งเป็นการรบระหว่างกองทัพตีนเปล่า ตัวเปล่ากับกองทัพมหาอำนาจที่ใส่เสื้อเกราะ ระหว่างปืนกับจอบเสียม ระหว่างปืนใหญ่กับดอกไม้ไฟ ระหว่างรถถังหุ้มเกราะกับรถจักรยาน สิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือจิตใจ ของนักรบแต่ละฝ่าย เปรียบได้ฟ้ากับดิน ในเมื่อชาวเวียตนามรบ เพื่ออิสรภาพของแผ่นดินมาตุภูมิ แต่กองทัพฝรั่งเศสรบ เพื่อผลประโยชน์ของชาติอื่น ที่พวกตนต้องการจะกอบโกย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า พลังรักชาติรักแผ่นดินที่รวมเป็นหนึ่งเดียวคือ เป้าประสงค์ของความต้องการเป็นอิสรภาพ จากการยึดครองของต่างชาติ ชัยชนะจึงเป็นเรื่องที่ไม่ต้องเอื้อม เพราะมันอยู่ภายในอุ้งมือของนักสู้ชาวเวียตนาม ผู้รักแผ่นดินเกิดเหล่านั้นอยู่แล้ว จึงเป็นสิ่งปกติที่กองทัพมหาอำนาจฝรั่งเศส พ่ายแพ้อย่างหมดรูป ไม่ต้องพูดถึงศักดิ์ศรีของฝรั่งเศส ผู้ยึดครอง เพราะไม่มีนับตั้งแต่การก้าวย่างเข้าสู่ดินแดนเวียตนาม ด้วยวัตถุประสงค์ที่ไม่บริสุทธิ์แล้ว และคงไม่ต้องกล่าวถึงอนาคต ของข้าราชการชาวเวียตนาม ผู้ขายชาติ ขายศาสนา ซึ่งให้การสนับสนุนกองทัพฝรั่งเศส ให้ยึดครองแผ่นดินเกิดของตนเองว่า จะมีสภาพอเน็จอนาจสักเท่าใด และนี่คือฉากสุดท้ายของมหาอำนาจฝรั่งเศส ในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แต่มันคือ การเริ่มต้นของการแผ่อิทธิพล ของประเทศมหาอำนาจชาติใหม่ ที่ต้องการผลประโยชน์ในภูมิภาคนี้เช่นกัน


(หน้าปก - - - สารบัญ - - - อ่านต่อ)

1