ยุทธการล้มพุทธ และแพร่เชื้อไวรัสศาสนาในเวียตนาม

 

 

พระพุทธศาสนา กับสถาบันพระมหากษัตริย์เปรียบประดุจดั่งลมหายใจกับชีวิต ยังความร่มเย็นเป็นสุขให้กับปวงประชาในประเทศอยู่รวมกันอย่างสันติสุข แต่เมื่อสิ้นสถาบันหนึ่งสถาบันใดเสียแล้ว ก็เปรียบประดุจสังขารที่ไร้ลมหายใจ รอวันสิ้นชาติว่าจะมาถึงเมื่อใดเท่านั้น

การกดขี่ทารุณและกวาดล้างพุทธศาสนิกชนในเวียตนามเป็นไปทุกรูปแบบ ตามอารมณ์ของเจ้าพนักงาน และสนองตัณหาของรัฐบาลคริสเตียนโรมันคาทอลิคอันมี โง ดินห์ เดียม เป็นหัวหน้ารัฐบาล พระราชกฤษฏีกฉบับที่๑๐ อันมีเนี้อหาที่กดขี่ชาวพุทธซึ่งฝรั่งเศสออกไว้นั้นก็มิได้ยกเลิกตามสัญญา ซ้ำยังปราบปรามชาวพุทธหนักขึ้นกว่าเดิม ความแตกต่างระหว่างผู้เข้ารีตนับถือคริสเตียนโรมันคาทอลิค กับผู้นับถือพระพุทธศาสนาปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจนไม่มีการปิดบัง ชาวพุทธจะออกหนังสือพิมพ์ทางพุทธศาสนาก็ไม่ได้รับอนุญาต จะขอพูดทางรายการวิทยุกระจายเสียงก็ไม่ได้ เมื่อมีงานใหญ่ๆ เช่นงานวิสาขบูชาก็ได้พูดบ้าง แต่ก็จะอนุญาตให้ใช้คลื่นที่ประชาชนรับฟังไม่ได้เพราะมีสัญญาณแทรก หรือหลังเที่ยงคืนคนหลับหมดแล้ว ซึ่งเท่ากับไม่ได้ผลอะไรเลยและต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก ส่วนรายการคริสต์ศาสนาออกอากาศฟรีได้ทุกเวลา

สำหรับพุทธศาสนิกชนเวียตนามในชนบท ทางการจะเอารูปพระเจ้ามาวางไว้ให้ โดยบาทหลวงกับข้าราชการเป็นผู้เอามาตั้งให้เอง และชาวบ้านหรือพระภิกษุจะต้องดูแลด้วย ถ้าปล่อยให้สูญหายทำลายไปจะต้องรับผิดชอบโดยการถูกลงโทษอย่างร้ายแรง วัดทุกวัดในเวียตนามเมื่อถึงวันพระ จะต้องขออนุญาตจึงจะมีการประกอบศาสนพิธีได้ และจะต้องบอกด้วยว่าจะใช้เวลานาน กี่ชั่วโมง ส่วนการขออนุญาตนั้นก็จำกัดจำนวนคนที่จะไปร่วมทำกุศลด้วย" ข้าราชการที่เป็นชาวพุทธไม่ค่อยกล้าไปวัด เพราะกลัวตำรวจลับจะจดชื่อเอาไป" (เหมือนเหตุการณ์ในประเทศไทยปี พ.ศ.๒๕๔๒ ข้าราชการไม่กล้าไปวัด เพราะกลัวมีความผิดในการปฏิบัติศาสนกุศล เช่นงานวิสาขบูชา ข้าราชการจะถูกตั้งกรรมการตรวจสอบความประพฤติและงดขั้นเงินเดือน...???) ส่วนข้าราชการทั้งพลเรือนและทหารที่เป็นคริสเตียน จะได้รับการอุปถัมภ์บำรุงเป็นอย่างดี

การซื้อที่ดิน การบริจาคที่ดินสร้างวัด การรับทรัพย์สินจากญาติโยม การเรี่ยราย ทั้งหมดถูกควบคุมหมด ไม่ให้พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาสามารถสร้างศาสนสมบัติใดๆ แม้กระทั่งห้ามสร้างพระพุทธรูป ไว้สักการะบูชา หากสูญหายหรือพังไปแล้ว ให้เอารูปพระเจ้า (พระเยซู) มาตั้งแทน และหากไม่ปฏิบัติตาม ก็จะต้องมีความผิดร้ายแรง ถึงขั้นถูกประหารขึ้นอยู่กับความพอใจของตำรวจที่เป็นคริสเตียน (ไม่ผิดกับเมืองไทยปี พ.ศ.๒๕๔๒) ผู้ที่เป็นคริสต์แล้วจะสร้างโบสถ์คริสต์ โรงพยาบาล โรงเรียน เพื่อศาสนาคริสต์ได้ตามใจชอบ จะสร้างภายในกรมทหารก็ได้ เวลาเรี่ยไรก่อสร้างสถานที่สำคัญของคริสต์ก็เรี่ยไรชาวพุทธด้วย แต่หากเป็นฝ่ายพุทธศาสนา จะเป็นพลเรือน ข้าราชการ หรือทหารขอสร้างไม่ได้ทั้งสิ้น มีกองอนุศาสนาจารย์ในกองทัพ และมีบาทหลวงดูแลอยู่ทั้งนั้น

เมื่อมีการอบรมข้าราชการก็ต้องให้บาทหลวงมาเป็นผู้อบรม แม้กระทั่งบังคับพระสงฆ์ในพุทธศาสนามานั่งให้บาทหลวงเทศน์ให้ฟัง (เหมือนเมืองไทยปี พ.ศ.๒๕๔๒ ที่มีบาทหลวง และนักสอนศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิค มาปาถกฐาสอนพระภิกษุสงฆ์ในในเรื่องจิตวิทยา) ทางคริสต์สามารถจัดตั้งสมาคมแพทย์ สมาคมครู สมาคมนิสิตนักศึกษา สมาคมอาจารย์ได้ทั้งสิ้นตามต้องการและมีรายได้ก็ไม่ต้องแสดงบัญชีต่อรัฐบาล แต่ทางพระพุทธศาสนา จะตั้งสมาคมขึ้นใหม่ก็ไม่ได้ บัญชีรายได้ทุกอย่างต้องแสดงให้เจ้าหน้ารัฐบาลดู ผิดพลาดเล็กน้อยก็ปิดสมาคมพุทธนั้นทันที และเจ้าอาวาสก็ต้องถูกลงโทษติดคุกหรือประหาร

เนื่องจากผู้นับถือพุทธศาสนาของชาวเวียตนามมีถึง ๙๙.๗๔% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ดังนั้นการล้มล้างพุทธศาสนา นอกจากจะปราบปรามชาวพุทธแล้ว ยังใช้การทำให้คลาดเคลื่อน จากสร้างคำสอนพุทธศาสนาขึ้นมาใหม่ "สัทธรรมปฏิรูป" ในด้านของการศึกษาฝ่ายปริยัติ และบังคับให้พระภิกษุสงฆ์สามเณร นางชี นักศึกษา โดยเป็นคำสั่งของ โง ดินห์ ถึก ซึ่งคุมกระทรวงศึกษาธิการด้วย และได้ตั้งพระสงฆ์ขึ้นมาเป็นหุ่น ๕ รูป เพื่อเป็น กระบอกเสียงโจมตีพระสงฆ์ หรือผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับหลักธรรมวินัย พระไตรปิฎกคำสอน ที่ได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ และตั้ง สมาคมสงฆ์แห่งชาติ (National Sangka Association) ซึ่งความจริงเป็นวัดเล็กๆ นอกเมือง แต่พระสงฆ์ที่บวชในวัดนี้ล้วนเป็นคริสเตียนโรมันคาทอลิค ที่ใช้ภาพพระสงฆ์ในพุทธศาสนาเพื่อสร้างภาพให้กับรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ในทุกครั้งที่มีการปราบปรามชาวพุทธ

พระในสมาคมนี้จะเป็นผู้ออกมาแถลงแก้ให้รัฐบาลในฐานะตัวแทนชาวพุทธ และจะประสานกับคณะกรรมการสหพันธ์ เพื่อพระพุทธศาสนาอันบริสุทธิ์ ที่จัดตั้งโดยรัฐบาล โดยจะจัดรายการทางวิทยุ จัดประชุมในมหาวิทยาลัย และสถานศึกษาต่างๆ เพื่อให้ประชาชนหลงผิดไปกับข้อมูลเท็จ (เหมือนกรรมาธิการศาสนาฯ ในปี พ.ศ.๒๕๔๒ อันมี นายอำนวย สุวรรณคีรี เป็นประธานที่ปรึกษา และพรรคพวก ซึ่งรับรองพระสัทธรรมปฏิรูปของ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ดำเนินการไม่มีผิด) รัฐบาลอนุญาตให้ มีรายการวิทยุโจมตีพระภิกษุสงฆ์ และคณะสงฆ์ที่ไม่เห็นด้วย ให้ผู้คนเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ห้ามพระภิกษุสงฆ์หรือองค์กรพุทธศาสนา จัดรายการ (เหมือนกับประเทศไทย พ.ศ.๒๕๔๒ ปรากฏเป็นหลักฐานพาดหัวข่าวว่า "......หญิงแอ๋ว ขยับเล่นงานพระดีเจวิทยุ" มีเนื้อหาของข่าวดังนี้

"ทำเนียบรัฐบาล" คุณหญิงสุพัตรา มาศดิศถ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลด้านสื่อมวลชนของรัฐ กล่าว ถึงกรณีมี "พระภิกษุ" หลายรูปจัดรายการตามสถานีวิทยุ ออกเรี่ยไรและให้คำปรึกษาแม้กระทั่งปัญหาที่ไม่เหมาะสม จนมีการร้อง เรียนจากประชาชนอย่างกว้างขวาง..... การที่มีพระหลายรูปออกมาขอบริจาคผ่านรายการวิทยุเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ซึ่งจะให้ "คณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ (กกข.) ตรวจสอบ เพื่อหาข้อสรุปในการกำหนดมาตรา การไม่ให้ เกิดการหมิ่นเหม่ ในขณะที่ผู้ดำเนินรายการวิทยุหรือดีเจนั้นควรจะมีมาตรฐานมากกว่านี้..."


(หน้าปก - - - สารบัญ - - - อ่านต่อ)

1