พุทธบริษัทเวียตนาม - สละชีพเพื่อรักษาพระธรรมวินัย

 

 

ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าเมืองเว้ เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชประมุขสงฆ์ในพุทธศาสนา เมืองเว้นี้อยู่ห่างจากไซ่ง่อนไปทางเหนือ ๔๐๐ ไมล์ ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๖ เป็นเวลาที่ โง ดินห์ ถึก สังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิคเวียตนาม ซึ่งเดินทางไปประชุมสังคายนาวาติกัน ๒ (VATICAN COUNCIL 2) ณ กรุงวาติกัน ประเทศอิตาลี ได้แถลงต่อที่ประชุมวาติกันว่า "ประเทศเวียตนามเป็นประชากรของพระเจ้า ประชาชนเวียตนามล้วนนับถือในพระเจ้า และซื่อสัตย์ต่อสันตะปาปา" พร้อมกันนั้นได้โทรเลขด่วน สั่งให้บาทหลวงคริสเตียนโรมันคาทอลิคใต้บังคับบัญชาของตน ในเมืองเว้ สั่งให้ประชาชนทุกบ้านชักธงรูปไม้กางเขน อันเป็นธงทางศาสนาของคริสเตียนโรมันคาทอลิคขึ้น เพื่อเป็นข่าวทางสื่อมวลชนยืนยันให้สันตะปาปา เชื่อถือ และมอบตำแหน่งคาร์ดินัล ให้กับโง ดินห์ ถึก ซึ่งการชักธงทางศาสนาดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายว่าด้วยการชักธงของเวียตนามใต้ (ความจริงแล้วออกมาใช้ สำหรับบังคับพุทธศาสนาเท่านั้น เนื่องจาก โง ดินห์ ถึก สังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิคเวียตนาม ได้เดินทางไป ประชุมสังคายนาวาติกันครั้งที่ ๒ ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี ต้องการเอาใจสันตะปาปา ซึ่งตลอดมาชาวพุทธในเวียตนาม สามารถชักธงทางศาสนาได้ ซึ่งตามกฎหมายดังกล่าวนั้นออกบังคับ เมื่อ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๐๕ ระบุว่า หากจะชักธงต้องได้รับอนุญาต จากเจ้าหน้าที่รัฐบาลก่อน) ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐก็มิได้ดำเนินการแต่อย่างใดทั้งสิ้น

ในวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๖ (สองวันต่อมา) ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา พุทธศาสนิกชนในเมืองเว้ จึงได้ชักธงทางพุทธศาสนาขึ้นบ้าง แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้ดำเนินการนำธงลงจากเสาแล้วนำไปเผาทิ้ง พร้อมทั้งประกาศห้ามประชาชนในเมืองเว้ชักธงทางพุทธศาสนา และห้ามชุมนุมประกอบพิธีวิสาขบูชาเด็ดขาด (เหมือนในเมืองไทยปี พ.ศ.๒๕๔๒ มีการอ้างเรื่องธงประจำวัด เพื่อใช้สร้างกระแสทำลายพุทธแบบเดียวกัน และกรรมาธิการศาสนา โดยนายอำนวย สุวรรณคีรี ออกหนังสือห้ามพระภิกษุสงฆ์ทั่วประเทศ มาปฏิบัติศาสนกิจกับวัด ?) และห้ามชุมนุมประกอบพิธีวิสาขบูชาเด็ดขาด หากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษโดยเด็ดขาด ฐานกบฏ พุทธศาสนิกชนที่ได้เดินทางเพื่อจะมาร่วมศาสนพิธีวันวิสาขบูชาในเมืองเว้ประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน แทนที่จะได้ปฏิบัติกุศลกิจ กลับถูกห้ามปรามเช่นนั้นจึงได้เดินขบวนประท้วงรัฐบาล ในจำนวนนั้นมีพระสงฆ์ สามเณรและนางชี ถึง ๒,๐๐๐ รูป เดินเป็นแถวหน้า เมื่อบาทหลวงโรมันคาทอลิครู้เรื่องจึงโทรเลขด่วนไปยัง โง ดินห์ ถึก ที่วาติกัน กรุงโรม ว่าควรดำเนินการอย่างไรต่อไป โง ดินห์ ถึก จึงโทรเลขสั่งให้ปราบปรามแบบ "มิชชั่น" กับพุทธศาสนิกชน ในฐานะศัตรูพระเจ้า โดยปฏิบัติตาม VATICAN COUNCIL 2 ข้อที่ 7:7 ซึ่งมีความว่า

"บรรดาปิตาจารย์ จงใช้ความพยายามอย่างสุดกำลัง สุดความสามารถ ทุกวิถีทาง ทั้งโดยการพูด การเขียน ในอันที่จะกำจัดศาสนาอื่นๆ อันมิใช่คริสต์ศาสนา ให้หมดสิ้นไป อีกทั้งต้องใช้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้าร่วมทำการกับตนด้วย"

นั่นหมายถึงให้ปราบปรามอย่างรุนแรงเด็ดขาด ไม่ต้องคำนึงถึงรูปแบบและวิธีการ จุดประสงค์คือการกำจัดศาสนาพุทธตามคำสั่ง VATICAN COUNCIL 2 นั้น (บาทหลวงคริสเตียนเวียตนาม จะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าตำรวจลับในท้องถิ่น และมีอำนาจสั่งการเจ้าหน้าที่ของรัฐได้อีกด้วย) เจ้าหน้าที่ตำรวจคริสเตียนได้ขับรถบรรทุกชนฝ่าเข้าไปกลางขบวน อันมีพระภิกษุสงฆ์และนางชี ซึ่งเดินเป็นแถวหน้าถูกรถทับตายในทันที ๗๐ รูป พุทธศาสนิกชนตาย ๓๐ คน และบาดเจ็บจำนวนพันกว่าคน จากการถูกกระบองของเจ้าหน้าที่ตำรวจตีด้วยกระบอง เพื่อสลายการเดินขบวน ที่เหลือถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมคุมขังไปทั้งหมด บาทหลวงคริสเตียนผู้ทำหน้าที่สั่งการตำรวจนั้นได้แถลงแทนรัฐบาลว่า "ผู้เดินขบวนเป็นคอมมิวนิสต์ พระสงฆ์และนางชี เป็นแนวร่วมคอมมิวนิสต์ ที่ต้องการทำลายศาสนา และเป็นผู้ขว้างระเบิดทำลายโบสถ์คริสต์??" ได้มีการจับกุมพุทธศาสนิกชน ผู้เกี่ยวข้องในการเดินขบวนนี้ ซึ่งมีทั้งพระภิกษุ สามเณร นางชี และพุทธศาสนิกชนอีกหลายพันคน ข่าวการปราบปรามชาวพุทธนี้ ได้ถูกสั่งห้ามมิให้มีการเสนอข่าวต่อสื่อมวลชน และ CIA ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ตรวจสอบข่าวสารทางการทูตที่จะส่งออกไปนอกประเทศเวียตนามโดยเข้มงวด เพราะไม่ต้องการให้กระเทือนสถานภาพของรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ซึ่งสหรัฐอเมริกามีผลประโยชน์ร่วมอยู่ด้วย

จากสาเหตุการณ์ปราบปรามดังกล่าวแม้ทางการจะปิดข่าวโดยวิธีการใดๆ ก็ตาม ข่าวนี้ก็ได้กระจายออกไปสู่เมืองต่างๆ ในเดือนมิถุนายน และเดือนกรกฎาคม ปีเดียวกันนั้นได้มีการเดินขบวนประท้วงรัฐบาลและโง ดินห์ ถึก เกิดขึ้นไปทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องพอสรุปเหตุการณ์สำคัญได้ ดังนี้

วันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๖ ได้มีการเดินขบวนหน้ารัฐสภา โดยมีป้ายแสดงข้อความว่าเรียกร้องรัฐบาลทำข้อตกลง หยุดทำร้ายเข่นฆ่าพุทธบริษัทในทันที หากไม่ทำสัญญา ชาวพุทธจะเผาตัวเองเป็นการป้องกันพุทธศาสนา

วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๖ รัฐบาลไม่ทำสัญญาใดๆ วัดพุทธแถบนอกเมืองเว้ ถูกตำรวจเข้าเผาทำลาย ชาวพุทธเริ่มอดอาหารประท้วง มีพระภิกษุ ๒ รูปเสนอความจำนงค์จะปลงชีพตนเองปกป้องพระพุทธศาสนา

วันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๖ พระภิกษุในพุทธศาสนานาม ทิจ กวาง ดึ๊ก อายุ ๗๓ ปี ทนเห็นความทารุณโหดร้าย ในการใช้อำนาจรัฐปราบปรามเข่นฆ่าชาวพุทธต่อไปไม่ได้ จึงได้ประกาศอุทิศชีวิต เพื่อป้องกันพระพุทธศาสนา โดยได้เขียนข้อเรียกร้องต่อ รัฐบาล โง ดินห์ เดียม ว่า

" ๑. เพื่อป้องกันพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาดั้งเดิมของประเทศชาติ

๒. ขอเตือนการกระทำที่บีบคั้น และฆ่าพระภิกษุ นางชี และคนทั่วไปในประเทศ

๓. ขอร้องให้ท่านมอบ อิสรภาพ ให้แก่ผู้นำชาวพุทธ ทั้งหลาย ในคณะกรรมการป้องกันพระพุทธศาสนา พระภิกษุ นางชี และพุทธศาสนิกชนที่ถูกจับขังอยู่ในขณะน

๔. ให้ยุติสถานการณ์เลวร้าย และเลิกจับพระภิกษุ นางชี และพุทธศาสนิกชนอีก

๕. ให้เลิกองค์การคณะสงฆ์รวมทั้งบุคคลที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาหลอกลวง ปิดบังความจริงเป็นเหตุให้ประชาชนโง่เขลา

๖ คณะกรรมการสหพันธ์เพื่อพระพุทธศาสนาที่บริสุทธิ์ ที่รัฐบาล โง ดินห์ เดียม และพี่ชายตั้งขึ้นมาเพื่อหลอกลวงประชาชน (เหมือนเหตุการณ์ในประเทศไทย ปี พ.ศ.๒๕๔๒)"

หลังจากได้เขียนข้อเรียกร้องเสร็จ ท่านก็ได้เข้าสู่ขบวนพุทธศาสนิกชนประมาณ ๑,๐๐๐ คนด้วยความสงบ เพื่อไปสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้พระภิกษุ สามเณร แม่ชี และพุทธศาสนิกชนที่ถูกเจ้าหน้าที่ขับรถพุ่งชนเสียชีวิตในวันที่ ๘ พ.ค.๒๕๐๖ ที่ผ่านมา จากนั้นขบวนชาวพุทธศาสนิกชนก็เดินต่อไปอย่างสงบ โดยมีรถนำพระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก ไปยังกลางเมืองหลวง พระภิกษุผู้เสียสละ วัย ๗๓ ปีได้ก้าวลงจากรถไปนั่งขัดสมาธิกลางวงเวียนซึ่งมีพุทธบริษัทแวดล้อมเป็นวงใหญ่ พุทธบริษัท ได้หยิบถังน้ำมันเบนซิน ๕ แกลลอนออกมาจากรถคันนั้น แล้วเอาน้ำมันราดบนพระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก จนหมด ต่อจากนั้นก็เอาไฟจุดร่างนั้น ไฟลุกโชติช่วง ท่วมร่างของพระภิกษุผู้เสียสละ ขณะที่ไฟลุกท่วมร่างอยู่ปรากฏว่า พระภิกษุวัย ๗๓ คงนั่งนิ่งด้วยสมาธิจิตอันแน่วแน่ไม่ไหวติง ไม่แสดงอาการทุกข์เวทนาในสังขารแต่อย่างใดเลย เปลวไฟอันร้อนระอุได้เผาจีวรและผิวหนังไหม้เกรียมอยู่ประมาณ ๑๐ นาที ร่างของท่านที่นั่งขัดสมาธิอยู่นั้นก็หงายหลังอย่างเงียบสงบ นี่คือพระภิกษุในพระพุทธศาสนาที่ได้เสียสละชีวิตเพื่อพิทักษ์พุทธศาสนา จากการบีบคันและปราบปรามของ สังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง ดินห์ ถึก โดยคำสั่ง VATICAN COUNCIL 2 นับเป็นรูปแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ การพลีชีพของท่านนั้น นอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามคำประกาศในนามพุทธศาสนิกชน ที่จะสละชีวิตรักษาพระพุทธศาสนา ให้พ้นจากการกลั่นแกล้งบีบคั้น และปราบปรามจากรัฐบาล โง ดินห์ เดียม แล้วยังแสดงถึงความเด็ดเดี่ยว มั่นคงของพุทธศาสนิกชนด้วย สรีระของท่านถูกหุ้มห่อด้วยธงธรรมจักร พุทธบริษัทจำนวน ๑,๐๐๐ คน พากันอัญเชิญสรีระของท่านไปไว้ ณ เจดีย์วัดซาลอย ในเมืองเว้

หลังจากนั้นได้มีพุทธบริษัทสละชีพเพื่อพระพุทธศาสนาอีก คือ สามเณรวัย ๑๗ และพระภิกษุวัย ๗๑ ที่เมืองเว้ แม่ชีที่เมืองนาตรัง พระภิกษุ เล้ อายุ ๒๐ อุทิศร่างเผาตนในเจดีย์ ซึ่งมี พระภิกษุอีก ๒ รูปที่อดอาหารประท้วงมากว่า ๑๐ วัน ที่เมืองพานเทียต ห่างจากไซ่ง่อน ๑๐๐ ไมล์ แม่ชีเยียง เหียน อุทิศร่างเผาตนประท้วงการกดขี่เข่นฆ่าชาวพุทธของสังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง ดินห์ ถึก และที่ เจดีย์หูดาม ซึ่งเป็นเจดีย์ใหญ่ที่สุดใน เมืองเว้ พระภิกษุวัย ๗๑ ปี ได้พลีชีพอุทิศร่างพิทักษ์พระพุทธศาสนาอีกเช่นกัน

วันอาทิตย์ ที่หน้าโบสถ์คริสต์โรมันคาทอลิคในไซ่ง่อน พระภิกษุ ทิจ เทียน มี หรือ ฮวางเมียว ได้นั่งขัดสมาธิ รดร่างชุ่มโชกด้วยน้ำมันก๊าด แล้วจุดไฟเผาสรีระของท่านด้วยตนเอง เมื่อเวลา ๑๐.๐๐ น. ขณะที่ชาวเวียตนามเข้ารีตคริสต์อยู่ในโบสถ์นั้นประมาณ ๑๐๐๐ คน ท่านได้เขียนจดหมายถึงสังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง ดินห์ ถึก และประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม เพื่อขอความเป็นธรรมให้เลิกฆ่าและปราบปรามพุทธศาสนิกชน

อุบาสิกา มาย เกี๊ยต อุทิศชีวิตพิทักษ์พุทธศาสนา ในไซ่ง่อน ด้วย การเอาขวานสับข้อมือตัวเอง แล้วเอามือที่ขาดนั้นผูกกับหนังสือประท้วง การปราบปรามของคริสเตียนโรมันคาทอลิคส่งให้รัฐบาล? และจากการอุทิศชีวิตโดยการเผาตัวเองเพื่อป้องกันพระพุทธศาสนานี้เอง ทำให้มีพุทธบริษัทเผาตัวเองอีกมากมาย

รัฐบาล โง ดินห์ เดียม ได้ประกาศว่าจะทำตามข้อเรียกร้องในจดหมายของ พระ ทิจ กวาง ดึ๊ก ที่อุทิศชีวิตเผาตัวเองนั้น แต่นั่นเป็นเพียงคำพูดที่กลับกลอกหาความจริงใดๆ ไม่ได้กลับกลายเป็นสัญญาณไฟเขียวให้สังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง ดินห์ ถึก เร่งใช้อำนาจผ่านตำรวจในสังกัดทำการฆ่าและทำร้ายพระภิกษุ และพุทธบริษัทรุนแรงขึ้นไปอีก และกลับกลายเป็นว่าพุทธศาสนิกชนเหล่านี้ คือผู้ที่ร่วมมือฝ่ายตรงข้ามต้องการล้มล้างรัฐบาล ตำรวจคริสเตียนของ โง ดินห์ ถึก ได้ทำการเผาวัด ฆ่าพระภิกษุสงฆ์ระดับผู้ใหญ่ นางชี และพุทธศาสนิกชนหนักยิ่งกว่าเดิมขึ้นไปอีก วัดกลายเป็นที่ต้องห้ามของการทำศาสนพิธี โดยมีลวดหนามและสิ่งกีดขวาง ไปปิดกั้นตามถนนในเมืองใหญ่ๆ เช่น เว้ และไซ่ง่อน พระภิกษุหรือผู้ใส่ชุดขาวหรือชุดอุบาสกอุบาสิกา คือผู้สวมเครื่องแบบของผู้ทำลายความมั่นคงของรัฐบาล พระภิกษุสงฆ์โกนศีรษะโล้นห่มผ้ากาสาวพัสตร์ คือเป้าหมายของตำรวจเวียตนามที่เข้ารีตเป็นคริสเตียนโรมันคาทอลิค ภาพของพระสงฆ์ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไล่ยิง จนกระทั่งมรณะภาพบนบาทวิถี กลายเป็นภาพที่ประชาชนเห็นเป็นปกติ ศพของพุทธศาสนิกชนที่ทับถมตามฐานเจดีย์คือสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวัน

ไซ่ง่อน ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖ รัฐบาลคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง ดินห์ เดียม ปฏิเสธอย่างเป็นทางการ ที่จะไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ได้ให้ไว้ว่า จะเลิกปราบปรามและเข่นฆ่าชาวพุทธจึงมีความคาดหมายกันว่า อาจมีการเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน "เจ้าหน้าที่กรมการศาสนา (สังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง ดินห์ ถึก ควบคุม) ได้บังคับให้องค์กรปกครองคณะสงฆ์เวียตนาม พระภิกษุสงฆ์เจ้าอาวาสวัดในพุทธศาสนา องค์กรพุทธศาสนา ลงนามเซ็นชื่อรับรองว่า จะซื่อสัตย์ต่อรัฐบาล โง ดินห์ เดียม และจะเชื่อฟัง โง ดินห์ ถึก ซึ่งเป็นสังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค รวมทั้งอยู่ใต้คำสั่งของสมาคมสงฆ์แห่งชาติ (ที่รัฐบาลตั้งขึ้นเท่านั้น) และจะไม่จัดการเคลื่อนไหวประท้วงใดๆ" (สำนักข่าว ยู.พี.ไอ.)

ไซ่ง่อน ๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖ เกิดการเล่นสกปรกขึ้น ซึ่งมีรัฐบาลประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม ผู้ถือคริสต์ศาสนา กำลังบีบคั้นพุทธศาสนิกชนที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ก็คือมีมือมืดได้ "ลอบวางยา" พระภิกษุสงฆ์ชั้นสูงในพระพุทธศาสนาหลายรูป (เหมือนประเทศไทย ปี พ.ศ.๒๕๔๒ หลวงปู่โง่น ได้ถูกวางยาพิษหลังจากกลับจากยุโรป แพทย์ไม่ยอมให้ผ่าตัดพิสูจน์ ศพ และเกิดกับพระสายปฏิบัติกรรมฐาน สมาธิจิต แถบภาคอิสานของไทย จำนวน ๒๐ รูป) จนกระทั่งอาพาธหนักต้องเข้าโรงพยาบาลจำนวนถึง ๒๐ รูป โฆษกชาวพุทธได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การปฏิบัติของรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ที่ปราบปรามชาวพุทธนั้นได้ทวีความรุนแรงขึ้น และเตือนให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายพึงระวังตัว (สำนักข่าว ยู.พี.ไอ)

ไซ่ง่อน ๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖ มีผู้ฆ่าตัวตายเพื่อประท้วงรัฐบาล ที่ปราบปราม เข่นฆ่าชาวพุทธ ผู้ฆ่าตัวตายผู้นี้ เป็นนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล เป็นผู้นับถือพุทธศาสนา ชื่อ เหงียน เทือง ทัม ได้กินยาพิษและไปเสียชีวิต ที่โรงพยาบาล ทั้งนี้เนื่องจากเขาได้ถูกกล่าวหาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจของสังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง ดินห์ ถึก ว่าทำลายความมั่นคงของชาติ โดยกระทำตัวเข้าข้างชาวพุทธ และวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล นายเหงียน เทือง ทัม ได้เขียนจดหมาย ขอให้รัฐบาลหยุดการเข่นฆ่าพระสงฆ์ชาวพุทธไว้ก่อนตาย (สำนักข่าวรอยเตอร์)

ไซ่ง่อน ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖ ตำรวจคริสเตียนของ โง ดินห์ ถึก ได้ใช้อำนาจเข่นฆ่าชาวพุทธอย่างโหดเหี้ยมทารุณ บางพวกได้เข้าบุกตีกระหน่ำกลุ่มชาวพุทธที่มาชุมนุมเรียกร้อง บางคนก็ล็อคคอผู้หญิงลากขึ้นรถบรรทุกไป เข้าค่ายกักกันเป็นจำนวนหลายร้อย ทั้งพระภิกษุ แม่ชี ฆราวาสทั้งหญิงชาย ตลอดจนกระทั่งเด็ก ประธานาธิบดีโง ดินห์ เดียม ผู้นับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิค ได้ตัดสินใจ "ขยี้" ประชาชนชาวพุทธที่มีเป็นส่วนใหญ่ ๙๐% ในเวียตนามใต้แล้ว โดยไม่รับฟังและไม่ยินยอมตามคำเรียกร้องใดๆ การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดของ โง ดินห์ เดียม ครั้งนี้ทำให้เขากลายเป็น "ผู้เผด็จการทางศาสนา" ในเวียตนามไปแล้ว

วันเดียวกันที่เมืองพูลัม มีการชุมนุมของชาวพุทธ ส่วนมากเป็นพระภิกษุ แม่ชี ผู้หญิงและเด็ก ตำรวจซึ่งเป็นคนของคริสเตียน ได้บุกเข้าไปตีหัวชาวพุทธเลือดไหลอาบหน้า และต้อนพระภิกษุ และแม่ชี รวมทั้งผู้หญิงและเด็ก ที่ถูกตำรวจลากตัวอย่างไม่ปราณีขึ้นรถบรรทุก ส่งไปยังค่ายกักกัน ประมาณ ๑๕๐๐ คน บาตรพระ ลูกประคำ รองเท้า หมวก และสิ่งของหล่นเกลื่อนกลาด

ที่เจดีย์เกี๊ยกมินท์ มีการชุมนุมของชาวพุทธอย่างสงบโดยการนั่งสมาธิ แต่ตำรวจคริสเตียนก็ไม่ละเว้น ตั้งข้อหาว่า "นั่งสมาธิเพื่อสาปแช่งรัฐบาล" ระดมกำลังเข้าไปทุบตีที่หัวและร่างกาย ลากขึ้นรถไปทั้งหมด ที่หน้าตลาดใหญ่กลางกรุงไซ่ง่อน แม่ชี ๑๐๐ คน สวดมนต์อยู่ แต่ตำรวจของ โง ดินห์ ถึก ก็ระดมตีและจับไปกักขังทั้งหมด (สำนักข่าว ยู.พี.ไอ)

ไซ่ง่อน ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖ เจดีย์ใหญ่ซึ่งเป็นที่ปฏิบัติธรรมของพุทธศาสนิกชนอย่างน้อย ๓ แห่งถูกตำรวจปิดล้อมตลอดวัน เว้นแต่ในตอนเช้าจะเปิดให้เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่ก็ไม่มีพุทธบริษัทคนใดออกจากเจดีย์ ทั้ง ๓ แห่ง อาหารที่พระภิกษุได้บิณฑบาตไว้ ได้ถูกนำออกมาเลี้ยงพุทธศาสนิกชน และขณะนี้อาหารได้ร่อยหรอลงไปทุกทีแล้ว และบางเจดีย์พระภิกษุและแม่ชี พุทธศาสนิกชนต้องกินข้าวกับเกลือ แต่ก็ยังต่อสู้ต่อไป (สำนักข่าว ยู.พี.ไอ.)

ไซ่ง่อน ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖ ได้มีการแจกจ่ายใบปลิวไปตามเจดีย์ต่างๆ ในกรุงไซ่ง่อน ใบปลิวนั้นอ้างว่าเป็นของชาวพุทธ แต่ข้อความกลับกลายเป็นว่าการประท้วงของชาวพุทธนี้ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายค้าน และผู้ที่ต้องการล้มล้างรัฐบาล ต้องการโค่นล้มรัฐบาลโง ดินห์ เดียม และทำลายความมั่นคงของชาติ (เหมือนเหตุการณ์ในประเทศไทยปี พ.ศ.๒๕๔๒ แต่เมืองไทยแจ๋วกว่า เพราะลงหนังสือพิมพ์ตั้งข้อหาเลย) ซึ่งทำให้ชาวพุทธที่ได้รับใบปลิว พากันขับไล่ผู้แจกใบปลิวนั้นอย่างโกรธแค้น (สำนักข่าว ยู.พี.ไอ)

เมืองเว้ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๖ ตำรวจคริสเตียนของ โง ดินห์ ถึก สังฆราชโรมันคาทอลิค ได้ใช้กำลังบุกตะลุยเข้าสู่เจดีย์ ขณะที่มีการสวดมนต์ของพระและพุทธศาสนิกชน ยังผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ๒๐ รูป และอาการปางตาย ๕ รูปพระภิกษุสงฆ์บางรูป ถูกตีซ้ำแล้วซ้ำอีกจนสลบคาที่ (สำนักข่าว เอ.พี)

เมืองเว้ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๖ ภายใต้กฎอัยการศึก ตำรวจคริสเตียนจำนวน ๑๒๐๐๐คน กระจายกำลังเตรียมพร้อมเพื่อทำการกวาดล้าง เข่นฆ่าชาวพุทธอย่างเต็มที่ หลังจากที่มีการเผาตัวตายของพระภิกษุ ทิจ เตียว เดียว ในเจดีย์ตูดาม ข่าวแจ้งว่าขณะนี้รอบเจดีย์ตูดาม อันเป็นเจดีย์สำคัญของเมืองเว้ มีตำรวจล้อมรอบ และมีลวด หนามล้อมไว้กันคนภายในหนีออกมา และตำรวจได้ตั้งด่านตรวจผู้คนอย่างเข้มงวดที่สุด ภายในเจดีย์มีพระภิกษุและแม่ชี สวดมนต์ผ่านเครื่องขยายได้ยินถึงภายนอก ซึ่งมีพุทธศาสนิกชนที่นั่งอยู่ตามข้างถนน นอกลวดหนามที่ปิดกั้น พนมมือและสวดมนต์ตามไปด้วย สถานการณ์ตึงเครียดพร้อมระเบิดทุกเมื่อ (สำนักข่าว เอ.พี)

นี่เป็นส่วนหนึ่งในการเข่นฆ่าพุทธศาสนิกชน ที่กระทำโดยรัฐบาลที่นับถือศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิค พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ของรัฐ เหตุการณ์อันสุดหฤโหดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ของการเข่นฆ่าพระภิกษุพุทธศาสนา และพุทธศาสนิกชน ซึ่งมีแต่เสียงสวดมนต์และปราศจากอาวุธนั้น ไม่มีครั้งใดจะยิ่งใหญ่อำมหิตยิ่งกว่าเหตุการณ์ในเจดีย์ซาลอย กลางกรุงไซ่ง่อนอีกแล้ว

ขอนำภาพและบรรยากาศที่น่าสลดใจของพุทธบริษัทที่ เกิดขึ้น ณ เจดีย์ซาลอย กลางกรุงไซ่ง่อน เวลา ๐๐.๓๐ น. ของวันพุธที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ มาให้ท่านผู้อ่านได้สัมผัส ใกล้ชิดต่อความเป็นจริง ขณะนั้น ซึ่งเป็นการรายงานของ นักข่าวสถานีโทรทัศน์ NBC (ช่อง๔) ของสหรัฐอเมริกา.......

" ....ท่ามกลางความมืดและหนาวเย็น ถนนในเมืองไซ่ง่อนเงียบสงัด หน้าเจดีย์พุทธศาสนาหลายแห่งยังมีแสงไฟวอมแวมอยู่

ภายในเจดีย์วัดซาลอย มีพุทธบริษัทหลายร้อยคนกำลังนอนหลับอยู่ เพราะเมื่อในวันอาทิตย์ที่แล้วเพิ่งมีพิธีใหญ่ ชาวพุทธจำนวนหมื่นได้มาร่วมกันชุมนุมอดอาหาร เพื่อประท้วงรัฐบาลที่บีบคั้นเข่นฆ่าพุทธศาสนิกชน นับแต่มีการพลีชีพของพระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก และได้นำสรีระของท่านทำพิธีที่เจดีย์ซาลอยในไซ่ง่อนจึงกลายเป็นเป็นที่ชุมนุมใหญ่ของพุทธศาสนิกชนนับตั้งแต่นั้นมา

ในความเงียบนั้น รถบรรทุกของตำรวจหลายคันวิ่งเข้ามาจอดหน้าเจดีย์ซาลอย ตำรวจในเครื่องแบบ สนามสวมหมวกเหล็ก พร้อม ด้วยออาวุธปืน ลูกระเบิดมือ ก็กระโดดลงจากรถอย่างรวด เร็ว ตำรวจหน่วยหนึ่งได้ตรงไปที่ประตูของเจดีย์ซึ่งเป็นเหล็ก ใช้เครื่องมือทำลายประตูจนพังแล้ววิ่งกรูเข้าสู่เจดีย์พร้อมอาวุธปืนและแก๊สน้ำตา ที่เหลือนอกนั้นกระจายตัวกันล้อมเจดีย์และบริเวณวัด

ชั่วอึดใจเดียวก็มีเสียงระเบิด และเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว ระคนไปด้วยเสียงระฆัง กลอง เสียงตะโกนให้ช่วย และเสียงพระสวดมนต์พระปริต ดังออกมาจากข้างในเจดีย์

ที่บ้านของผู้สื่อข่าว ยู.พี.ไอ. ในไซ่ง่อนได้มีพุทธศาสนิกชนจากวัดซาลอยได้โทรศัพท์เข้าไปด้วยความตกใจว่า "มิสเตอร์บราวน์ ตำรวจมา เขากำลังใช้ปืนยิงพระสงฆ์และแม่ชี ช่วยบอกสถานทูตอเมริกันด้วย" อีกบ้านหนึ่งได้รับโทรศัพท์ว่า "ที่นี่ซาลอย ตำรวจหน่วยปราบกำลังบุกเจดีย์" ลองนึกซิว่าสภาพขณะนั้นภายในเจดีย์จะเป็นอย่างไร ???

พระภิกษุ สามเณรและแม่ชี รวมทั้งพุทธศาสนิกชนภายในเจดีย์ ซาลอย พากันตกใจตื่นจากเสียงปืน และเสียงระเบิดที่ดังกึกก้อง

เมื่อตำรวจวิ่งขึ้นไปยังชั้นต่างๆ ถึงตัวก็ตีด้วยพานท้ายปืนล้มลง บางองค์ถูกยิง หลายคนถูกระเบิดแก๊สน้ำตาน้ำตา ไหลพรากหาทางไปไม่ได้โดนยิง ด้วยปืนเข้าที่กลางหลัง พระบางรูปวิ่งขึ้นไปบนยอดเจดีย์ตีกลองและระฆัง เพราะไม่สามารถจะทำอะไรได้กว่านั้น เพราะไม่มีอาวุธนอกจากไม้สำหรับเคาะบักฮื้อ (ปลาสีแดงเล็กๆ ใช้เคาะพร้อมสวดมนต์) ซึ่งใหญ่กว่าก้านธูปนิดเดียวเท่านั้น ตำรวจคนหนึ่งวิ่งตามขึ้นไปทันและจับตัวโยนลงมาจากชั้น ๔ ศีรษะกระทบพื้นหินข้างล่างดังสนั่น เลือดกระจาย พระเณรที่เหลืออยู่ในชั้นสูงขึ้นไป เอาเครื่องกีดขวางประตูและปิดหน้าต่างด้วยลูกกรงเหล็ก

รถบรรทุกตำรวจหลายสิบคันที่จอดอยู่ในบริเวณวัด ล้วนถูกอัดแน่นไปด้วย พระภิกษุ แม่ชี และพุทธบริษัทหลายร้อยคน ภายในเจดีย์ยังคงมีเสียงปืน และเสียงระเบิดดังออกมาอย่างไม่ขาดระยะ และหน้าต่างด้านหลังเจดีย์ได้ค่อยๆ เปิดออก พระภิกษุ ๒ รูปก็ปีนหน้าต่างกระโดดออกมาแล้วปีนข้ามเข้าไปในที่จอดรถ เขตบ้านชาวอเมริกันซึ่งรั้วติดกับวัด ตำรวจใช้ปืนกลยิงกระหน่ำ พระองค์หนึ่งร่วงลงพื้นไป อีกองค์หนึ่งสามารถหลบรอดไปได้

เวลาประมาณ ๐๒.๐๐น. ยังมีเสียงกระจกแตก เสียงทุบทำลายเครื่องโต๊ะหมู่บูชาในเจดีย์ แสดงว่าตำรวจกำลังรื้อค้นสิ่งของ และทำลายพุทธศาสนสมบัติอย่างเมามัน พระภิกษุสามเณรเฉพาะของวัดซาลอยมีประมาณ ๗๐๐ รูป ถูกจับขนขึ้นรถบรรทุกทั้งหมด วิ่งฝ่าความ มืดหายไป

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ประชาชนในไซ่ง่อนก็แลเห็นตำรวจเต็มท้องถนน และตามสี่แยกต่างๆ รอบๆ เจดีย์ซาลอย และเจดีย์ของวัดพุทธศาสนาอื่นๆ ในไซ่ง่อนซึ่งได้ถูกทหารเข้ายึดในคืนเดียวกันกับ ที่วัดซาลอย ข่าวได้รับทราบทั่วไปว่า พระภิกษุสามเณรและแม่ชีที่ถูกจับ จากวัดต่างๆ ในคืนนั้นมีจำนวนกว่า ๑๐,๐๐๐ คน และสังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง ดินห์ ถึก ได้ประกาศกฎอัยการศึกในไซ่ง่อน โดยห้ามประชาชนที่เป็นพุทธศาสนิกชนออกจากบ้านเวลา ๒๑.๐๐ น. ถึง ๐๕.๐๐ น. ยกเว้นผู้ที่เป็นคริสเตียนซึ่งได้รับอนุญาตพิเศษ ตำรวจได้รับคำสั่งให้ยิงทุกคนได้โดยเสรี รวมทั้งเครื่องบินก็ห้ามขึ้นลงในท่าอากาศยานด้วย....... ที่โบสถ์ คาทอลิคมีการกระจายเสียงว่า "รัฐบาล โง ดินห์ เดียม. ประกาศเผาเมือง และยอมทิ้งเมืองไซ่ง่อน หากมีการรัฐประหารและแพ้.."

ในขณะเดียวกันที่เมืองเว้ อันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชทินเกี๊ยต ประมุขสงฆ์แห่งพระพุทธศาสนา สมเด็จสังฆราชองค์นี้ได้ถูกจับไปขัง ถูกซ้อม และบังคับให้ออกแถลงการณ์ มอบอำนาจการบริหารคณะสงฆ์ ให้กับพระภิกษุสงฆ์ซึ่งเป็นบาทหลวงคริสต์โรมันคาทอลิคโดยเข้าไปบวชเป็นพระสงฆ์พุทธชื่อ ทิจ เทียน หัว ซึ่ง โง ดินห์ ถึก ได้เป็นผู้แต่งตั้งให้เป็นประธานกรรมการ "คณะกรรมการป้องกันพระพุทธศาสนาแห่งชาติ??" (เหมือนในประเทศไทย ปี พ.ศ.๒๕๔๒ นายสมพรฯ ผู้ก่อชนวนฟ้องร้องให้ ถอดพระมหาเถระ กรรมการองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย ออกจากตำแหน่ง เพราะไม่ทำตามคำสั่งของนักการเมือง และได้ตั้งองค์กรอุปถัมภ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนาขึ้นเมื่อ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๒ ซึ่งมีนายอำนวย สุวรรณคีรี สส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นรัฐบาล ให้การสนับสนุน) ดูแลกิจกรรมศาสนพิธีของชาวพุทธในประเทศเวียตนาม (พุทธศาสนิกชนไม่ เลื่อมใส การเข่นฆ่าที่รุนแรงโดยตำรวจคริสเตียนโรมันคาทอลิค ภายใต้การบัญชาการของ โง ดินห์ ถึก การบัญชาการนั้นข้ามประเทศมาจากกรุงวาติกัน ประเทศอิตาลี ซึ่งนาย โง ดินห์ ถึก ได้เดินทางไปประชุม VATICAN COUNCIL 2 และการปราบปรามนี้เรียกว่า "มิชชั่น" หรือ "การรุกแบบตรงตัว" นั่นเอง


(หน้าปก - - - สารบัญ - - - อ่านต่อ)

1