การแพร่เชื้อไวรัสศาสนาโดยกลุ่มปัญญาชน |
|
อำนาจแห่งความสามัคคีของชนในชาติ ที่เกิดจากการอบรมบ่มนิสัย โดยพระภิกษุสงฆ์ที่ได้ถ่ายทอดหลักศีลธรรม ให้แก่กุลบุตรกุลธิดาของประชาชนไทย ทำให้เป็นการยากในการเข้ายึดครอง ของต่างชาติต่างศาสนามาโดยตลอด แม้กระนั้นความพยายาม ที่จะทำลายพระพุทธศาสนา ก็มีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรุนแรงมากยิ่งขึ้น การทำลายได้ มีการปรับเปลี่ยนวิธีการ ในการทำลายล้างกันอย่างเปิดเผย "VATICAN COUNCIL 2 การประชุมใหญ่สำนักวาติกันที่ ๒ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ ๑๑ ต.ค.๒๕๐๕ ถึง ๒๕๐๘ (๓ ปี) เป็นการจัดประชุมบิชอฟของคาทอลิคทั่วโลก อันถูกคัดสรรว่าเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพสูง ๔,๐๐๐ คน ซึ่งผลของการประชุม ได้มีมติออกมาเป็นคำประกาศ ซึ่งเรียกว่า "Declaration on relations of the church with non - christian religions คำแถลงของสภาประชุม เรื่อง ความสัมพันธ์แห่งศาสนจักรกับศาสนาที่มิใช่คริสต์ศาสนา" ซึ่งมองเป้าหมายทางด้าน เอเซียซึ่งมีฐานทางด้านการเกษตร อันสามารถอำนวยผลประโยชน์ให้กับองค์กร คริสตจักรของวาติกันได้เป็นอย่างดี แต่มีด่านสำคัญคือ พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งอยู่ในตำแหน่งใกล้เส้นศูนย์สูตร และเส้นแบ่งกึ่งกลางของการสื่อสาร และการคมนาคมของโลก เพราะฉะนั้นประเทศไทย จึงเป็นจุดสำคัญที่จะต้องกลืนให้ได้โดยดุษณีและไร้การต่อต้าน โดยการทำลายพระพุทธศาสนา นั่นหมายถึงจำนวนประชากรชาวพุทธ ซึ่งมีจำนวนถึง ๙๕% ของ ประเทศที่จะต้องสยบยอมในที่สุด จึงมีมติเห็นชอบร่วมกันโดยเป็นคำสั่ง ๒ ประการ ปรากฏเป็นหลักฐาน คือ (10:24) "ให้วาติกันสนับสนุนหาผู้เชี่ยวชาญ ไปจัดการเปลี่ยนแปลงพระไตรปิฎก คัมภีร์ในพระพุทธศาสนา ให้มาเป็น คริสต์ศาสนา" (9:12:15) "ให้แยกและแทรกศาสนธรรมที่แท้จริง อันทรงคุณค่าในพระพุทธศาสนาให้ได้ โดยอาศัยพระวจนะเผยของพระเจ้า ในคริสต์ศาสนาเป็นเครื่องส่องทาง ให้ดำเนินการพิจารณาหาหนทางจัดทำให้เห็นได้ว่า ศาสนธรรมอันทรงคุณค่าในพระพุทธศาสนานี้ จะสมบูรณ์ได้ด้วยการอาศัยคำของคริสต์ศาสนา" ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ของสำนักวาติกันขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๐๙ คือ ๑. The Secret Congregation of Propaganda กระทรวงโฆษณาเผยแพร่ศาสนา รับผิดชอบวิธีการเผยแพร่แบบมิชชั่น (การรุกแบบตรงตัวแตกหัก) ๒. Secretariat for non-Christians สำนักงานเลขาธิการเพื่อผู้ไม่นับถือคริสต์ศาสนา รับผิดชอบงานแบบไดอาล็อค เมื่องานของ (๑) ไม่สามารถทำได้แบบเฉียบพลัน ให้ใช้หน่วยงานนี้ เข้าทำงานในระบบกลืนศาสนา และวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นไปเลย หน่วยงานทั้งสองนี้เองได้ออกเอกสารลับเฉพาะซึ่งใช้สำหรับการสั่งการระหว่างสำนักงานเลขาธิการฯ กับบาทหลวงชั้นผู้ใหญ่ ตั้งแต่บิชอฟขึ้นไป ซึ่งมีการปฏิบัติภารกิจอยู่ทั่วโลก เรียกว่า Bulletin Confidential Publication เรียกสั้นๆ ว่า Bulletin หรือวารสารแถลงกิจ ซึ่งเป็นคำสั่งที่สำคัญ ทั้งนี้ทั้งนั้น จะต้องยึดหลักการ ๓ ข้อของมติที่ประชุมแห่งวาติกันคือ (7:15) "ภารกิจของงานเผยแพร่แบบมิชชั่น ไม่จำกัดอยู่ที่การเปลี่ยนใจ บุคคลทีละคนให้มานับถือคริสต์ศาสนาต่อไปแล้ว แต่ภารกิจในบัดนี้คือ การเปลี่ยนตัวศาสนาทั้งศาสนาให้มาเป็นคริสต์ศาสนา" (10:7) "ท่านจงไปทำให้ประชาชาติทั้งหมดให้เป็นสาวกของพระเยซู ถ้อยคำนี้ควรต้องจารึกด้วยตัวทองลงหน้าแท่นบูชา ของวาติกัน ที่ 2" (10:25:27) "ในประเทศพระพุทธศาสนา คริสต์ศาสนจักรจะต้อง นำเอาองค์ประกอบต่างๆ ของพุทธมาใช้ และเปลี่ยนรูปเสียใหม่ ด้วยการให้ความหมายทางคริสต์ศาสนาลงไป เพื่อที่จะดัดแปลงให้เข้ากันกับคริสต์ให้ได้" ต่อมาได้มีการจัดระบบในการดำเนินการเหล่านี้ จากข้อมูลหลักฐานชี้ชัดว่า การเริ่มอย่างเป็นรูปธรรม ในการทำลายพระพุทธศาสนาในประเทศไทย คือ ในเดือน มกราคม พ.ศ.๒๕๑๐ ได้มีการออกหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "คริสตธรรม- พุทธธรรม" ปาฐกถาซินแคลร์ ทอมสันอนุสรณ์ ชุดที่ ๕ หนังสือดังกล่าวได้แอบอ้างว่า เป็นถ้อยคำของพระพุทธทาสแห่งสวนโมกข์ฯ ตีพิมพ์เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ เพราะขณะนั้นพระพุทธทาสกำลังโด่งดังเป็นที่รู้จัก โดยอาศัยแจกจ่ายในพื้นที่ภาคเหนือเป็นหลัก แต่ถูกจับได้เพราะข้อความในหนังสือนั้น อ้างคัมภีร์ไบเบิลอย่างละเอียด แม้กระทั่งเลขหน้าคัมภีร์ ทุกๆ คำพูด จึงไม่เกิดผลกับชาวพุทธเท่าใดนัก (การปลอมปนแอบอ้างพระพุทธทาส ยังปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด ถึงขนาดปลอมลายมือพระพุทธทาสเสียด้วยซ้ำในหนังสือชื่อ "พุทธ-คริสต์ ในทัศนะท่านพุทธทาส" ซึ่งเป็นการเทศนาเรื่องคริสเตียนล้วนๆ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร กลับได้รับการต่อต้านจากชาวพุทธ ไม่สามารถสร้างความศรัทธาในตัวศาสนาโดยคำสอนได้ ด้วยวิธีการแทรกข้อความหรือปลอมปน เนื่องจากยังไม่มีความกระจ่าง ในคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนา และยังไม่มีประสบการณ์ ในปี พ.ศ.๒๕๑๔ นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ และนายประเวศ วะสี กับพวก ได้ร่วมกันจดทะเบียน มูลนิธิโกมลคีมทอง จากการ เปิดเผยของนาย ส.ศิวรักษ์ ผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธินี้ว่า "มูลนิธิโกมลคีมทอง ได้เงินสนับสนุนจากองค์กรคริสเตียน และองค์กรต่างชาติ โดยร่วมกับ สภาคริสตจักรแห่งประเทศไทย และจัดตั้งกลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม (กศส.) ซึ่งเป็นตัวทำงานของคริสต์ในกลุ่มพุทธ ซึ่งกลุ่ม กศส.นี้ จัดเป็นแกนหลักในการปฏิบัติภารกิจสำคัญภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมทั้งให้ทุนจัดตั้งมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก ๕ มูลนิธิอีกด้วย" |