แนวความคิดสังคมนิยมของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)

 

 

พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) จัดเป็นบุคคลที่มีสมองระดับอัจฉริยะเยี่ยมยอดผู้หนึ่ง ซึ่งหากได้รับการชี้นำที่ถูกต้อง ในแนวทางสร้างสรรค์ คงเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างยิ่ง แต่เนื่องจากว่า การรับข้อมูลทางด้านจิตสำนึกนั้น ได้ถูกแทรกด้วยอุดมการณ์อันตรงข้าม กับการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข มาแต่แรกเริ่ม จึงนับว่าเป็นก้าวแรกของความผิดพลาด ในความเป็นอัจฉริยะ และแนวทางอันจะสร้างประโยชน์ ให้แก่สถาบันชาติ พระพุทธศาสนา และพระมหากษัตริย์ ของท่านจึงแปรเปลี่ยนไป

พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) เริ่มมีความสนใจในอุดมการณ์ทางการเมือง ตั้งแต่สมัยเมื่อยังเป็นสามเณร (๑๙ มิ.ย. ๒๕๐๑)

ดังที่กล่าวว่า ลัทธิสังคมนิยม จะต้องไม่มี สถาบันศาสนา (เพราะถือว่าศาสนาคือยาเสพติด) และสถาบันพระมหากษัตริย์ และแน่นอนที่สุด ผู้ที่เลื่อมใสในลัทธินี้จะต้องแสดงออกหรือเผย แพร่อุดมการณ์นี้ ทำให้พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) เผยแพร่อุดมการณ์สู่สาธารณะ ในลักษณะทำลายสถาบันทั้งสองนั้นไว้ว่า

"คณะสงฆ์จะโดยรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง ก็ไปยกย่อยกยอ พระมหากษัตริย์ แม้แต่ในเรื่อง บุญญาธิการ พระก็อาจไปเทศน์ทำให้เห็น พระมหากษัตริย์ นี่ได้สร้างสมบุญบารมีมามาก มีงานทีก็พูดสรรเสริญกัน ก็ทำให้ความ รู้สึกเช่นนี้ถูกเน้นชัด ขึ้นมา กลายเป็นว่า พระนี่คอยยกย่องกษัตริย์ กษัตริย์ก็พอใจในการสรรเสริญเยินยอ มันก็เสริมซึ่งกันและกัน ..."

ในด้านของจิตวิทยาว่าด้วยจิตใต้สำนึกของ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ผมจะไม่ขอวิจารณ์ แต่จะยกคำพูดที่ถูกนำมาเผยแพร่แก่สาธารณชนเพื่อให้ท่านผู้อ่านพิจารณาเองด้วยเหตุและผลทางวิชาการ ดังนี้

"อาตมาเคยสังเกตตัวเอง เช่นเวลามีโอกาสขึ้นไปที่สูงๆ ไปในที่ๆ เป็นหน้าผา อาตมาจะก้าวไปให้ หมิ่นเหม่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่เป็นลักษณะอย่างหนึ่งของจิตใจ คือทดลองก้าวไปให้ถึงจุดที่จะไปต่อไม่ได้ จึงจะหยุด"

และในการประชุม "จิตสำนึกของชาวพุทธเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ในฐานะศาสนาประจำชาติ" เมื่อวันที่ ๑ ก.ย. ๒๕๓๗ ซึ่งพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้รับเชิญเป็นวิทยากรได้กล่าวว่า

"อาตมา ได้รับนิมนต์ให้มาพูดเรื่องพระพุทธศาสนาในฐานะเป็นศาสนาประจำชาติไทย... อาตมาจะต้องทำความเข้าใจกับที่ประชุมก่อนว่า ตัวอาตมานั้น ไม่ได้มาเพื่อที่จะร่วมรณรงค์ในครั้งนี้ และว่าที่จริง อาตมาก็ไม่ได้สนใจเรื่อง การบัญญัติพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติหรือไม่ เหตุผลในการที่จะบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ ก็ไม่เห็นด้วย"

ที่กล่าวมาทั้งหมดในส่วนนี้ เป็นเพียงการชี้ถึงปูมหลัง หรือแรงดลใจจิตใต้สำนึกตั้งแต่สมัยเด็ก ส่งผลให้เกิดการกระทำอย่างต่อเนื่องตลอดมา ซึ่งแม้จะมีการปรับเปลี่ยนวิธีการไปในแนวต่างๆ แต่อุดมการณ์ยังคงเดิม

การจัดองค์กรและการวางตัวบุคลากรเข้าร่วมกิจกรรมนี้นั้น จะต้องเลือกบุคคล ที่ไม่มีลักษณะของความเป็นชาตินิยม มีควาเฉียบคมในด้านของปัญญา เนื่องจากบุคคลที่ถูกคัดเลือก จะต้องมีคุณสมบัติที่พร้อมจะทำลายชาติ พระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลเหล่านี้ต้องมีการเคลื่อนไหว หรือปฏิบัติการ อันมีผลงาน หรือประวัติในการทำลายศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์มาแล้วอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งบุคคลเหล่านี้ จะมีองค์กรเคลื่อนไหว ในทุกวิถีทางที่จะทำลายสถาบันทั้งสามให้จงได้ และไม่มีเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะ และสถานะใด และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าใด ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์ ดังกล่าว บุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลที่มีค่า ยิ่งสำหรับ "สมการกลืนชาติ และ ศาสนา" เป็นอย่างยิ่ง

แม้จะได้บุคคลที่มีอุดมการณ์ดังกล่าวนั้น มาร่วมปฏิบัติภารกิจในการกลืนพระพุทธศาสนาก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควร เพราะความมั่นคงศรัทธาในพระพุทธศาสนา ของพุทธศาสนิกชน และความเข้มแข็งขององค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย แม้จะใช้อำนาจทางการเมืองผ่านบุคคลที่แฝงตัวอยู่ในหน่วยราชการก็ยังไม่ประสพความสำเร็จตามที่ตั้งไว้แต่อย่างใด เพราะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายพลเรือน และฝ่ายทหาร เฝ้าจับตาพฤติกรรมของคริสต์จักรโรมันคาทอลิค อย่างใกล้ชิด การดำเนินการจึงเป็นไปได้ไม่ง่ายนัก นอกจากจะใช้การเมืองเป็นเครื่องมือ ในส่วนต่างจังหวัดจัดว่า ไม่ให้ผลเลย เพราะคนไทยในชนบท ศรัทธาแรงกล้าต่อพระพุทธศาสนา เสียยิ่งกว่าคนในกรุงเทพ ระยะช่วงปี พ.ศ.๒๕๑๐- ๒๕๒๔ เป็นจุดอับของการเผยแพร่ศาสนาของคริสต์จักร์โรมันคาทอลิค

สำหรับประเทศมหาอำนาจ เมื่อพ่ายแพ้สงครามเวียตนาม ได้มีการวิเคราะห์บทบาทความผิดพลาดในยุทธศาสตร์การรบใหม่ได้ผลสรุปว่า "การยึดครองที่ถาวรต้องยึดครองพื้นที่ทางสมองให้ได้" จึงได้ทุ่มทุนค้นคว้าหาวิธีการ ซึ่งเป็นโครงการลับเฉพาะ อันจะทำให้ประเทศอเมริกา เป็นมหาอำนาจเพียงชาติเดียว และหนึ่งในนั้นก็คือโครงการ "เปลี่ยนสภาพสังคมมนุษย์ใหม่" (Change Human Mankind Project).

อันเป็นต้นแบบที่มาของนโยบาย ONE WORD ORDER นั่นเอง โครงการนี้เน้นหนักในการสื่อสารระหว่างมนุษย์ทุกชนิดที่ มีผลต่อการสั่งการของสมอง โดยเฉพาะเรื่อง "สมาธิจิต" และคลื่นความถี่ในระดับต่างๆ ที่สามารถสั่งการ หรือควบคุมมนุษย์ได้ทั้งโดยการดู ฟัง หรือการสร้างภาพให้เกิดจินตนาการ ตามคลื่นที่สั่งนั้น โครงการดังกล่าว ได้ถูกใช้อย่างได้ผลในประเทศ อาเย็นติน่า บราซิล โคลัมเบีย และประเทศในแถบแอฟริกา การขยายผลและยึดครองจึงกระจายไปทั่วโลก และในที่สุดก็ถูกนำมาใช้ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเริ่มที่ประเทศไทยเป็นหลัก ในปี พ.ศ.๒๕๒๕

การเสียแผ่นดินเป็นเมืองขึ้นทุกครั้ง ไม่เคยมีครั้งใดที่ไทยจะแพ้เพราะการรบ นั้นเนื่องด้วยฝีมือเพลงอาวุธ หรือยุทธศาสตร์ และปัญญาของไทย มิได้ด้อยกว่าชาติใด แต่เกิดจากการขายชาติขายแผ่นดินโดยคนไทยด้วยกันเองร่วมมือกับต่างชาติทั้งสิ้น เช่นสมัยการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ ก็มีพระยารามขายชาตินำความลับทางทหารให้กับบุเรงนอง การเสียกรุงครั้งที่สอง มีเจ้าพระยากลาโหมขายชาติ ให้กับกลุ่มคริสเตียนโรมันคาทอลิค ซึ่งร่วมมือกับพม่า และ ในยุคของกรุงรัตนโกสินทร์ ก็เช่นกันการขายชาติมิได้ดำเนินการในแผ่นดินไทย แต่ได้ดำเนินการประสานกันในต่างประเทศ จะโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ของผู้กระทำหรือไม่ก็ตาม แต่ผลลัพธ์ในปี พ.ศ.๒๕๔๑ ย่อมแสดงให้เห็นได้ชัดว่า ประเทศไทยได้ตกเป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจของต่างชาติ ได้อย่างง่ายดาย เราลองมาวิเคราะห์เหตุและปัจจัยในส่วนนี้ ด้วยข้อแท้จริงทางประวัติศาสตร์ว่าเป็นไปได้ หรือไม่ เพียงใด

ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๑๙ เป็นต้นมาได้มีการกวาดล้างขบวนการ และกลุ่มบุคคลที่มีอุดมการณ์ที่ต้องการทำลายสถาบันชาติ พระพุทธศาสนา และพระมหากษัตริย์อย่างเฉียบขาด ทำให้บุคคลและขบวนการหลบหนีออกนอกประเทศ แต่ก็มิได้หยุดเคลื่อนไหวแต่อย่างใด ในจำนวนนี้มีมูลนิธิโกมลคีมทอง ซึ่งก่อตั้งโดย นาย ส.ศิวรักษ์ นายประเวศ วะสี และ พวกรวมอยู่ด้วยในปี พ.ศ.๒๕๑๔ จากการเปิดเผยของนาย ส.ศิวรักษ์ ทำให้ได้ทราบว่า ขบวนการดังกล่าว ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรคริสเตียนต่างชาติ และสภาคริสต์จักรแห่งประเทศไทย ซึ่งได้ขยายเครือข่ายแทรกซึม อยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และก่อตั้งมูลนิธิเด็กอีก ๕ มูลนิธิ โดยรับทุนสนับสนุนจากต่างชาติ ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง ในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เห็นแก่ความสงบสุขของบ้านเมืองจึงได้ออกประกาศ ๖๖/๒๓ ให้โอกาสบุคคลที่มีอุดมการณ์เหล่านี้ กลับมาร่วมพัฒนาชาติไทย เพราะคิดว่าคงจะกลับตัวกลับใจได้ ผู้ที่เคยถูก สั่งสอนให้มีอุดมการณ์อันตรายส่วนใหญ่ ได้กลับตัวเป็นคนดี มีประโยชน์ต่อชาติ แต่ก็มีไม่น้อยที่อุดมการณ์ยังฝังอยู่ในสันดานเกินกว่าแก้ไข ได้รวมตัวเกาะกลุ่มเข้าฝังอยู่ในพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ซึ่งมีหัวหน้ากองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทย และสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในอดีต เคยใช้เป็นที่เคลื่อนไหวอยู่แล้วนั้น เริ่มทำการเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบใหม่ โดยเปลี่ยนรูปแบบจาก "ป่าล้อมเมือง" มาเป็น "ยึดเมืองล้างป่า" จากรายงานของ MNR ทำให้เราได้ทราบว่าบุคลากรระดับแกนนำของ กองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทย ได้แยกย้ายกันเข้าเป็นสมาชิกในพรรคการเมืองต่างๆ และที่มากที่สุดคือเขตปฏิบัติการสุราษฏร์ธานี ได้เข้าอยู่ในพรรคการเมืองที่มีเขตอิทธิพลในภาคใต้ของประเทศประมาณ ๙๐ % และกลุ่มนี้คือกลุ่มที่ได้ให้ความร่วมมือกับกลุ่ม BOSTON ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๕เป็นพรรคการเมืองที่เป็นแกนในการเปลี่ยนแปลงระบบการเมือง การปกครองของไทยเป็นอย่างยิ่งในเวลาต่อมา

การติดต่อเพื่อดำเนินการในประเทศไทยนั้น ได้เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีบุคคลระดับ Keyman ของกลุ่ม BOSTON พำนักอยู่ที่นั่น โดยรายงานของCIA ทำให้เราได้ทราบการเคลื่อนไหวว่า "ได้มีการทดลองใช้ระบบการทำลายเศรษฐกิจในประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ.๒๕๒๔- ๒๕๒๕ โดยผ่านทาง IMF เพื่อทดสอบระบบบริหารธนาคาร และระบบการฟื้นตัว เพื่อกำหนดตัวบุคคลให้เหมาะสม ที่จะดำเนินการในการทำลายเศรษฐกิจของชาติต่อไป" ซึ่งการประสานงานของพรรคการเมืองกับกลุ่ม BOSTON เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และได้รับเงินสนับสนุนในการเคลื่อนไหวทางการเมืองทุกรูปแบบ (รายละเอียดโปรดอ่านใน E=MOC2 สมการกลืนชาติ) ในหนังสือเล่มนี้ จะเน้นเฉพาะส่วนการกลืนพระพุทธศาสนาโดยคริสต์โรมันคาทอลิคเท่านั้น

จากการวิเคราะห์สถานการณ์บทเรียนในเวียตนามทำให้ได้ทราบเป็นอย่างดีว่า ไม่สามารถล้มล้างสถาบันพระพุทธศาสนาได้ง่าย หากพุทธศาสนิกชนยังมีความศรัทธาในพระสงฆ์ และองค์กรคณะสงฆ์ยังรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้นงานหลัก จะต้องทำลายศรัทธาของประชาชน ที่นับถือพระพุทธศาสนาโดยสร้างความเชื่อใหม่ สลายศรัทธาเดิม (M=Mental อันเป็นสูตรข้อแรกของสมการกลืนชาติ) เพื่อยึดครองพื้นที่ทางสมองให้ได้เพื่อให้เกิดความขัดแย้ง ในแนวคำสอนตามพระธรรมวินัย ในพระไตรปิฎกของพุทธศาสนาเอง โดยการสร้างคำสอนขึ้นมาใหม่ และในเวลาเดียวกัน ต้องสร้างความแตกแยก และทำลายองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย ซึ่งมี ๒ นิกายไม่ให้มีการรวมตัวได้ รวมไปถึงการทำลายแนวต่อต้านคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิค ซึ่งกำลังสร้างกลุ่มขึ้นในหมู่ชาวพุทธ โดยพระโสภณคณาภรณ์ (มหาระแบบ ฐิตญาโณ) และคณะให้ได้ ส่วนเครื่องมือในการดำเนินการต้องอาศัยสื่อ สารมวลชนเป็นหลัก ซึ่งเป็นหน้าที่ของ Keyman กลุ่ม BOSTON ที่จะดำเนินการใช้อำนาจทางการเมือง ยึดครองแบบเบ็จเสร็จให้ได้ ซึ่งการปฏิบัติการทั้งทางด้านการเมือง และศาสนาดังกล่าว ไม่อาจใช้อาวุธ เป็นเครื่องมือได้อีกต่อไป แต่ต้องใช้แผนการกลืนแบบช้าๆ เรียกว่า "แบบไดอาล็อค (Dialogue)" จากหลักฐานต่างและพฤติกรรม ทำให้ เกิดคำถามว่า "บุคลากรสมาชิกของมูลนิธิโกมลคีมทอง เป็นแกนนำคือการดำเนินการ ใช่หรือไม่ ? หากไม่ใช่ เหตุใดจึงปรากฏหลักฐาน และพฤติกรรมเช่นนั้น ??

การปฏิบัติภารกิจได้มีการแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มด้วยกันโดยภารกิจและหน้าที่เฉพาะ คือ

กลุ่มที่ ๑ มีหน้าที่ทำลายทางด้านเศรษฐกิจ ให้เข้าคุมอำนาจทางการเมือง เพื่อออกกฎหมายทั้งปวงเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่องค์กรคริสต์ศาสนา และประเทศมหาอำนาจ พร้อมทั้งทำลายอำนาจ และภาพพจน์ของทหาร เพราะทหารเป็นตัวแปรและแนวป้องกันพระพุทธศาสนาที่สำคัญ กลุ่มนี้ มีชื่อเรียกขานว่า "กลุ่ม BOSTON"

กลุ่มที่ ๒ มีหน้าที่จัดตั้งองค์กร คัดเลือกสื่อมวลชน เพื่อเคลื่อนไหว และชี้นำสร้างกระแส รวมไปถึงคัดเลือกบุคลากร เพื่อทำลายด้านพุทธศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรม รวมทั้งการ สังเคราะห์บุคคลให้เป็น "ไวรัสศาสนา" รวมทั้งสร้างกระแส แนวเสริมแก่กลุ่มที่ ๑ เรียกว่า "ขบวนการล้มพุทธ"

โดยทั้งสองกลุ่มจะใช้รหัสประสานงานร่วมกันว่า "เสรีภาพ และ สิทธิมนุษยชน" โดยรับการสนับสนุน ทั้งแผนงานและการเงิน จากองค์กรการเงินต่างประเทศ และคริสต์จักรโรมันคาทอลิค (การร่วมมือและรับแผนงานระหว่างคริสต์จักรโรมันคาทอลิคกับองค์กรการเงิน IMF ซึ่งสนับสนุนโดยประเทศมหาอำนาจ เจ้าของโครงการ Change Humam Mankind Project ปรากฏตามในรายงานกิจกรรมรอบ ๖ เดือน CCTD หน้า ๔ ข้อ ๔) (ผู้อ่านต้องการฉบับสมบูรณ์ติดต่อ "ชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพ)


(หน้าปก - - - สารบัญ - - - อ่านต่อ)

1