ยุทธวิธีแบ่งแยก แล้วสลาย (Separate & Terminate)

 

 

จะเห็นได้ว่าปี พ.ศ.๒๕๓๘ ภายหลังกำจัด พระยันตระ อมโรภิกขุ พระภิกษุในพุทธศาสนา ซึ่งประสบความสำเร็จในการเผยแพร่การปฏิบัติสมาธิจิตทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นพระฝ่าย "ธรรมยุต" โดยขบวนการล้มพุทธที่ได้ถูกจัดตั้งขึ้น ทำให้ฝ่ายต่อต้านคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิค ซึ่งนำโดย พระโสภณคณาภรณ์ (มหาระแบบ ฐิตญาโณ) และบุคลากรที่ร่วมต่อต้านนั้น ต้องถูกสยบไปโดยปริยาย นี่คือการวางแผนอย่างแยบยล และฉ้อฉลที่สุดในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในประเทศไทย การดำเนินการของขบวนการล้มพุทธเพียงเริ่มๆ เท่านั้น ยังห่างไกลต่อเป้าหมายยิ่งนักตราบใดยังไม่บรรลุความสำเร็จในการกลืนพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ซึ่งแผนการขั้นต่อไปคือแบ่งแยกแล้วสลาย

ประเทศไทยนั้นมีความรักสามัคคีแน่นเหนียวด้วย ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม อันมีรากฐานมาจากพุทธศาสนา ซึ่งมีหลักพระสัทธรรมคำสั่งสอนเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อขบวนการล้มพุทธได้ประสบความสำเร็จในการสร้างกระแสให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญใหม่ในปี ๒๕๔๐ ซึ่งได้กำหนดบทบัญญัติให้ประโยชน์แก่ต่างชาติต่างศาสนา รวมทั้งไม่กำหนดให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติตามพระบรมราชโองการแห่งพระมหากษัตริย์ไทย อันสืบต่อเนื่องมาเป็นโบราณราชประเพณีนับเป็นพันปีได้สำเร็จ ขบวนการล้มพุทธและ กลุ่ม BOSTON ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากองค์กรต่างชาติ ได้ดำเนินการเคลื่อนไหวกดดันให้รัฐบาล พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ลาออก โดยใช้เพียงสื่อสารมวลชนเท่านั้น ซึ่งนับเป็นความอ่อนด้อยในประสบการณ์ทางการเมือง และการวิเคราะห์สถานการณ์และงานข่าว ในที่สุด กลุ่ม BOSTON ก็ประสบความสำเร็จในการเข้าเป็นรัฐบาล ได้เร่งดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามเป้าประสงค์ของประเทศมหาอำนาจในทันที (อ่านรายละเอียดใน E=MOC2 สมการกลืนชาติ) และทำหน้าที่ออกกฎหมาย และแต่งตั้งบุคลากรให้สามารถทำงานร่วมประสานกับขบวนการล้มพุทธให้บรรลุเป้าประสงค์ตาม Time Table ที่วางไว้ภายใน (ปี ค.ศ.๑๙๙๙)

ภารกิจของ "ขบวนการล้มพุทธ" ในการทำลายพระพุทธศาสนานั้นจะต้องสร้างกระแส โดยอาศัยข้อที่ ๑.สร้างความเชื่อใหม่ สลายศรัทธาเดิม (M=Mental) ของ สมการกลืนชาติ (Change Human Mankind Project) ให้ชาวพุทธแตกแยกทางความคิด แบ่งเป็นพรรคเป็นพวก โดยใช้สื่อสารมวลชนเป็นเครื่องมือ แล้วเสริมกระแสทำลายผู้นำองค์กรปกครองคณะสงฆ์ต่อไป การก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคมนี้พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้ใช้วิธีสร้างกระแสโดยออกหนังสือ "กรณีธรรมกาย" ใช้ข้อความที่ขัดแย้งต่อพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชนิดตรงกันข้าม เพื่อยึดพื้นที่ทางสมองของพุทธศาสนิกชนไทย อันมีความโดยสรุปว่า "ผู้ที่สั่งสอนว่า นิพพานเป็นอัตตาเป็นผู้ที่มิใช่พุทธบริษัท เป็นสิ่งที่อยู่นอกพระไตรปิฎก ไม่ได้เป็นคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ถ้อยความนี้นับว่าจาบจ้วงและทำให้คลาดเคลื่อนจากพุทธพจน์โดยแท้ การกระทำดังกล่าวนั้นได้ใช้กับวัดในพุทธศาสนาซึ่งตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๓ ผลตามมาคือก่อให้เกิดความแตกแยก ขึ้นกับพุทธศาสนิกชนชาวไทย มหาเถรสมาคม องค์กรปกครองคณะสงฆ์ พระเถรานุเถระผู้ใหญ่ และสังฆมลฑล โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ซึ่งนับว่าเป็นการยากยิ่งสำหรับการแก้ไขเสียแล้วในขณะนี้ เนื่องจากมีการจัดตั้งเป็นองค์กรอิทธิพลทางการเมือง และกลุ่มนอกศาสนาที่มีความต้องการทำลายพุทธศาสนาอยู่แล้ว ให้การสนับสนุนทั้งการเผยแพร่และทางสื่อมวลชน ใช้อำนาจของนักการเมืองในรัฐบาล สั่งการไปยังเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้กำจัดผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับขบวนการนี้ จึงนับว่าเป็นมหันตภัยอย่างร้ายแรง สำหรับความมั่นคงของประเทศไทย ความสงบสุขและศีลธรรมอันดีของประชาชาติ อันมีพื้นฐานขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม และการอยู่ร่วมกัน จากหลักธรรมแห่งพระพุทธศาสนา ในขณะนี้คณะสงฆ์อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถป้องกันตนเองได้ นี่คือสิ่งที่สืบเนื่องมาจากหนังสือที่มีข้อความบิดเบือนพระพุทธพจน์ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันปรากฏในพระไตรปิฎกบาลีเถรวาท

ฉะนั้น เพื่อความถูกต้องแท้จริง จึงไม่มีอะไรดีไปกว่าการยกเอา พระพุทธพจน์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันปรากฏในพระไตรปิฎกบาลี ซึ่งใช้เป็นหลักในการยึดถือปฏิบัติของพระภิกษุฝ่ายเถรวาท มาเป็นสิ่งยืนยันแม้ว่าจะไม่สามารถแก้ไข หรือต่อต้านกับอิทธิพล กระแส ของขบวนการล้มพุทธได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถนำความจริงที่มีอยู่จริงของพระพุทธพจน์มาแสดง ให้ปรากฏแก่ลูกหลานไทยรุ่นหลังได้รับรู้ ถึงความถูกต้องอย่างแท้จริงมีอยู่จริง โดยเฉพาะในกรณี "นิพพานเป็นอัตตานั้น เป็นพุทธพจน์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยตรง" และผู้ที่กล่าวว่า "นิพพานเป็นอนัตตา" คือผู้บิดเบือน จาบจ้วง พระสัทธรรม อย่างไร ด้วยข้อมูลทางวิชาการพระพุทธศาสนาในพระไตรปิฎกเถรวาท เพื่อให้ท่านผู้ใฝ่ใจศึกษา จะได้นำไปค้นคว้าต่อไป ทั้งภาษาไทยและบาลี ดังนี้


(หน้าปก - - - สารบัญ - - - อ่านต่อ)

1