"ล้มพระพุทธศาสนา" จัดทำพระไตรปิฎกฉบับสัทธรรมปฏิรูป |
|
การกลืนพระพุทธศาสนานั้น แม้ว่าจะสามารถปรับแปลงความหมายของ "นิพพาน" อันเปรียบเสมือนการหักยอดพระเจดีย์ของพระพุทธศาสนาแล้วก็ตาม พุทธบริษัทก็ยังสามารถที่จะค้นคว้าได้จากพระไตรปิฎกซึ่งเป็นที่บรรจุพระธรรมวินัยอันเป็นพระพุทธวจนะ อันเป็นหลักของพระพุทธศาสนา ดังนั้นการที่จะกลืนพระพุทธศาสนาให้ได้อย่างถาวรนั้น ก็คือการทำให้คลาดเคลื่อนจาก และตัดต่อข้อความอันเป็นพระสัทธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียใหม่ เพื่อให้ผู้ศึกษาในพุทธศาสนารุ่นหลังโดยเฉพาะนักศึกษาที่อยู่ในสถานอุดมศึกษา ที่จะต้องใช้ในการเขียนวิทยานิพนธ์ใช้อ้างอิงนั้น วิปริตบิดเบือนไปจากธรรมวินัยที่แท้จริง ฉะนั้นการเปลี่ยนตัวพระพุทธศาสนาทั้งศาสนาให้ได้ก็คือการทำลายพระไตรปิฎกเท่านั้นจึงจะได้ผล ๑๐๐% ในการทำลายพระไตรปิฎกเถรวาทนั้น ผู้ที่จะกระทำให้ได้ผลนั้น ย่อมไม่มีผู้ใดอันอยู่ในสถานะที่ดีกว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเอง ที่ได้รับการยอมรับจากสังคมด้วย ปรากฏหลักฐานข้อพิสูจน์ว่าได้มีการจัดทำ "สัทธรรมปฏิรูป" ได้สำเร็จ แล้ว และกำลังแพร่เชื้อไวรัสศาสนาเพื่อทำลายพระพุทธศาสนาทั่วโลก โดยอาศัยสถาบันอุดมศึกษาดังได้กล่าวแล้ว โดยขบวนการล้มพุทธซึ่งมีทั้งบาทหลวง โรมันคาทอลิค และพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเอง รวมทั้งกลุ่มบุคลากร นักการเมืองอาศัยอำนาจและอิทธิพลการเมือง ร่วมกันดำเนินการสร้างขึ้น เพื่อกลืนศาสนาตามคำสั่ง VATICAN COUNCIL 2 ในข้อ 10:24 ซึ่งมีว่า "ให้วาติกันหาผู้เชี่ยวชาญ ไปจัดการเปลี่ยนแปลงพระไตรปิฎก คัมภีร์ในพระพุทธศาสนา ให้มาเป็นคริสต์ศาสนา" บุคคลที่เป็นบาทหลวงคริสเตียนโรมันคาทอลิค ก็คือบาทหลวงกีรติ บุญเจือ ซึ่งเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยของรัฐ ซึ่งได้ปรับแปลงพระไตรปิฎก บาลีเถรวาท ในส่วนพระสูตรสีหนาทวรรค มูลปัณฌาสก์ มัชฌิมนิกาย โดยอ้างว่าเป็นการทำวิจัย แถมตั้งชื่อใหม่ด้วยว่า พระไตรปิฎกสำหรับชาวคริสต์ นอกจากนั้นยังทำหน้าที่เป็นราชบัณฑิต มีผลงานครั้งสุดท้ายในเดือน ส.ค. ๒๕๔๒ คือการให้ความหมายศัพท์ทาง พุทธศาสนาในคำว่า "สมาธิ" สำหรับผู้จัดทำ "สัทธรรมปฏิรูป" ตามคำสั่งวาติกัน โดยทำหน้าที่ ทำให้คลาดเคลื่อนจากพระไตรปิฎกบาลีเถรวาททั้งฉบับนั้น เป็นพระราชาคณะในพระพุทธศาสนานามว่า พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ซึ่งถูกจัดให้เข้าทำหน้าที่นี้ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งจนสำเร็จ เพื่อความเข้าใจกระจ่างในส่วนนี้ จึงขอเล่าถึงเหตุและปัจจัยในความเป็นมาของเรื่องนี้ซึ่งออกจะซับซ้อนอยู่สักหน่อย จากหลักฐาน (ดูภาคผนวก) จึงทราบว่า เมื่อวันที่ ๒๕ พ.ค.๒๕๒๕ วิทยาลัยแสงธรรม (วิทยาลัยผลิตสามเณร และบาทหลวงของคริสเตียน ซึ่งขึ้นตรงกับสำนักวาติกัน) ได้มีการประชุมเรื่องการก่อตั้ง "ศูนย์ศาสนสัมพันธ์" ตามคำสั่ง VATICAN COUNCIL 2 โดยทางวาติกันได้มอบเงินทุนให้มาดำเนินการ โดยมีวัตถุประสงค์เน้นหนักในการศึกษาด้านพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาทั้งด้านวิชาการและด้านปฏิบัติ ทั้งให้จัดทำศูนย์รวมข้อมูลด้วยอุปกรณ์ทันสมัยต่างๆ เช่น Computer MicroFilm เป็นต้น หน่วยข่าว กรองของเรายืนยันว่ามีการจัดสร้าง "พระไตรปิฎก ฉบับสัทธรรมปฏิรูป (ทำให้คลาดเคลื่อน)" แบบ ๓ ภาษาขึ้นอย่างเร่งรีบ โดยใช้เวลาประมาณ ๔ ปีจึงแล้วเสร็จในกลางปี พ.ศ.๒๕๓๐ แต่เนื่องจากว่าพระไตรปิฎกฉบับดังกล่าวนี้ อาจจะถูกต่อต้านจากพุทธศาสนิกชนเหมือนการจัดทำ "พระไตรปิฎก ฉบับชาวคริสต์" ของบาทหลวง กีรติ บุญเจือ ดังที่เป็นปัญหากระทบกระทั่งกันมาแล้ว แต่ความต้องการของวาติกันคือ ต้องการ ให้เผยแพร่ไปทั่วโลก โดยเฉพาะภาคภาษาอังกฤษ ได้รับการตรวจสอบการออกเสียงภาษาบาลีได้อย่างถูกต้องจากชาวต่างประเทศโดยตรง แต่การนำเสนอให้พุทธศาสนิกชน สถานอุดมศึกษาทั่วโลกยอมรับ เพื่อกลืนพระพุทธศาสนาโดยเริ่มจากประเทศไทย อันเป็นศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนาเถรวาทของโลก และจากมติที่ประชุมให้หาแนวทางที่จะขจัดปัญหาขัดแย้งต่อต้านใดๆ ที่จะเกิด ขึ้นให้หมด แม้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากสักเท่าใดก็ยินดี เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์นำพระไตรปิฎกฉบับทำให้คลาดเคลื่อนจากนี้เผยแพร่ออกไปให้ได้ นั่นหมายถึงชัยชนะในการทำลายหลักพระสัทธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นหลักของพระพุทธศาสนาได้อย่างแน่นอนและถาวรที่สุด เนื่องจากองค์กรคริสเตียน เป็น ผู้สนับสนุนมูลนิธิโกมลคีมทอง (ตามคำสัมภาษณ์ของนาย ส.ศิวรักษ์) ฉะนั้นจึงได้มีการวิเคราะห์ว่า หากจะให้ "พระไตรปิฎก ฉบับสัทธรรมปฏิรูป (ทำให้คลาดเคลื่อน)" ได้รับการยอมรับในหมู่นักวิชาการนั้น จะต้องใช้สถาบันอุดมศึกษาของรัฐเป็นผู้จัดทำ และที่มั่นคงไปกว่านั้นก็ต้องแอบอ้างเบื้องสูงจึงจะเป็นที่เชื่อถือสำหรับสถาบันอุดมศึกษา และพุทธบริษัท รวมทั้งประชาชนทั่วไป ทั้งนี้ยังหมายรวมถึงชาวต่างประเทศ หรือนักศึกษาที่ต้องการค้นคว้าหลักพระสัทธรรมในพุทธศาสนา ก็จะได้พระธรรมที่ทำให้คลาดเคลื่อนจากนี้ไปแทน ดังนั้นผู้ที่รับหน้าที่ไปดำเนินการคือ นายประเวศ วะสี ซึ่งเป็นสมาชิกมูลนิธิโกมลคีมทอง เนื่องจากได้พิจารณาเห็นความเหมาะสมว่า มีตำแหน่งเป็นกรรมการมหาวิทยาลัยมหิดล และผู้ใกล้ชิดนายประเวศ วะสี ก็คือ ศ.นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว (กรรมการ ที่ปรึกษาอาวุโสมูลนิธิเด็ก ซึ่งมีนายประเวศ เป็นประธาน) ขณะนั้นรับตำแหน่งเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล จึงไม่เป็นการยากที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามคำสั่ง VATICAN COUNCIL 2 ด้วย เหตุผลและความเหมาะสม จึงทำให้มีการนำเสนอเรื่องต่อ ศ.นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว ในปลายเดือน มิ.ย. พ.ศ. ๒๕๓๐ และส่งเรื่องต่อไปยังอธิการบดี เพื่อผ่านเรื่องไปยังสำนักคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย ในเดือน ต.ค. พ.ศ. ๒๕๓๐ ในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๒ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้ส่งหนังสือ ถึง นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี เพื่อสร้างความสับสนให้แก่สังคม และพุทธบริษัทไทย นั่นเพราะพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) เป็นพระภิกษุสงฆ์ ขึ้นตรงต่อสมเด็จพระสังฆราชอันเป็นประมุขของสังฆมลฆล แทนที่จะยื่นหนังสือต่อองค์กรคณะสงฆ์ตามสายการปกครอง โดยยื่นเรื่องไปที่เจ้าคณะตำบลก่อน เรื่องดังกล่าวนี้ จะถูกส่งต่อไปตามระบบการปกครองคณะสงฆ์ จนไปถึงมหาเถรสมาคมอันเป็นองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทยซึ่งมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน การที่พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) ส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีนี้ ชี้ให้เห็นว่า "พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) มิใช่พระภิกษุสงฆ์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของคณะสงฆ์ไทย แต่เป็นพระภิกษุสงฆ์ที่อยู่ภายใต้ปกครองของรัฐบาล" จึงเป็นสิ่งพิสูจน์ชัดถึงความสัมพันธ์ของการร่วมมือระหว่างพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) กลุ่ม BOSTON กลุ่มขบวนการล้มพุทธโดยชัดแจ้ง ทั้งนี้เนื่องจากข้อความในเอกสารดังกล่าว ได้มีการชี้แจงเกี่ยวกับการจัดทำพระไตรปิฎก ว่าถูกต้องมิได้บิดเบือน หรือแก้ไข โดยพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ได้กล่าวว่า "กล่าวหาหรือทำให้เข้าใจผิดว่าอาตมาภาพแทรกแซง หรือแอบแฝงเข้าไปในมหาวิทยาลัยมหิดลแล้วแก้ไขบิดเบือนพระไตรปิฎก โดยสร้างเป็นระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งที่ความเป็นจริง มหาวิทยาลัยมหิดลได้ริเริ่มโครงการพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ขึ้นเอง โดยมติของมหาวิทยาลัยนั้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสรัชมังคลาภิเษก ๒ ก.ย. ๒๕๓๐ แล้วจึงนิมนต์อาตมาภาพเป็นที่ปรึกษา ซึ่งได้ตกลงใช้พระไตรปิฎกบาลี ฉบับสยามรัฐที่เป็นฉบับหลวงเดิม การแก้ไขแม้จุด หรือนิคหิต อาตมาก็ระวังมิให้ผิดพลาด พร้อมกับใส่หมายเหตุไว้ด้วย" ในการประชุมซึ่งจัดโดย นายอำนวย สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปและวัฒนธรรมสภาผู้แทนราษฏร ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุน พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ในทุกรูปแบบตลอดมา ณ ห้องประชุม ตึกรัฐสภาในวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๒ ได้มีการเชิญ รศ.ดร.ศุภชัย ตั้งวงศ์ศานต์ ผู้อำนวยการศูนย์คอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในโครงการจัดสร้าง "พระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์ ฉบับสัทธรรมปฏิรูป" ได้แถลงว่า "ได้ใช้เวลาในการจัดสร้างเพียง ๑ ปีเท่านั้น พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) เป็นผู้ตรวจทานทั้งหมด และข้อมูลถูกต้องตรงกันกับต้นฉบับพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ ซึ่งถ้าหากไม่ได้พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) มาช่วย ผมสร้างเอง ๕๐ ปี ก็คงไม่สำเร็จ "ซึ่งก็ตรงกันกับการแถลงของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ที่ว่า "เป็นผู้เดียวที่ได้ทำการตรวจพิสูจน์อักษรและความถูกต้อง ของพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ที่จัดสร้างโดยมหาวิทยาลัยมหิดล และข้อความตัวอักษรทั้งภาษาไทย โรมัน และบาลี ตรงกันกับพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ ฉบับหลวงที่ใช้เป็นแม่แบบ" เมื่อประชาชนพุทธบริษัทที่ไม่ทราบความจริง และเชื่อถือตามภาพของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ที่ถูกสร้างขึ้นมา ก็จะเชื่อว่าเป็นจริงตามนั้น หากว่าไม่มีหลักฐานยืนยันพฤติกรรมการทำลายพระพุทธศาสนาอย่างคาหนังคาเขา ใครบ้างจะเชื่อในการนำเสนอข้อมูลนี้ แต่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ขอให้เชื่อในพระพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ คอยปกป้องรักษาพระพุทธศาสนา จึงดลบันดาลให้ปรากฏหลักฐานแจ้งชัดเป็นสากล ซึ่งขบวนการดังกล่าวไม่สามารถใช้อิทธิพลใดๆ ไปทำการแก้ไขข้อมูลนั้นได้อีกต่อไป พระไตรปิฎกฉบับสัทธรรมปฏิรูปดังกล่าวนี้ ได้ถูกจัดสร้างเป็น CD-ROM ถูกนำออกเผยแพร่และจัดจำหน่ายให้กับประชาชน และชาวพุทธ รวมทั้งสถาบันการศึกษาไป ทั่วโลก ซึ่งมหาวิทยาลัย HANAZONO ของประเทศ ญี่ปุ่น ได้นำเอาพระไตรปิฎกซึ่งมหาวิทยาลัยมหิดลจัดสร้างขึ้นนี้ไปทำการวิจัย ซึ่งใช้เวลาเกือบ ๕ ปี โดยเทียบเคียงทั้งด้านภาษาไทย ภาษาบาลี และภาษาอังกฤษ โดยนักวิชาการพุทธศาสนา และภาษาศาสตร์จากนั้นจึงได้ประกาศรายงานสากล เพื่อส่งสัญญาณเตือนพุทธศาสนิกชน ถึงมหาภัยจากไวรัสศาสนา ซึ่งแฝงมาในรูปของพระไตรปิฎกฉบับสัทธรรมปฏิรูปนี้ โดยจัดทำเป็นรายงานผลการวิจัย ซึ่งสามารถ ใช้อ้างอิงความถูกต้องทางวิชาการ ได้โดยสากล (International Research) ปรากฏในหนังสือ "The Electronic Bodhidharma" ฉบับที่ ๓ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ หน้า ๙ (ดูภาคผนวก) ในข้อความสำคัญส่วนหนึ่งมีดังนี้ "โปรแกรม BUDSIR for Thai Translation ...... การคีย์ข้อมูลได้ถูกป้อนโดย พนักงานพิมพ์ดีดเพียง ๒ คนเท่านั้น แล้วนำมาเปรียบเทียบโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่ปรากฏว่ามีการแก้ไขโดยนักวิชาการที่จะนำพระไตรปิฎกชุดนี้มาอ่าน - ตรวจทาน หรือรับรองอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด การแก้ไขข้อมูลบางแห่งกระทำโดยเพียงการใช้ระบบประมวล ศัพท์อัตโนมัติเท่านั้น มีพระภิกษุไทยรูปหนึ่ง ซึ่งได้รับการแต่งตั้งมาเพื่องานนี้ ได้ทำการแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งมีการกล่าวอ้างอิงว่า เพื่อเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดของพระไตรปิฎก เนื่องจากไม่ได้มีการทำเครื่องหมายจุดที่แก้ไขในฐานข้อมูลให้ทราบ เราจึงต้องถือว่า CD-ROM ชุดนี้ ไม่ใช่พระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ ของพระไตรปิฎกฉบับที่เป็นหนังสือ (สยามรัฐฉบับหลวง) แต่ต้อง ถือว่าเป็นพระไตรปิฎกที่แต่งขึ้นเองใหม่ ซึ่งมีความแตกต่างจากพระไตรปิฎก ฉบับหนังสือ (สยามรัฐฉบับหลวง) และไม่ทราบว่านำมาจากที่ใด" จากรายงานวิจัยนี้ได้เผยแพร่ไปสู่ชาวพุทธทั่วโลก มาเป็นเวลาเกือบ ๑๐ ปีแล้ว แต่สำหรับในประเทศไทยเนื่องจากการดำเนินงานของขบวนการล้มพุทธ ได้สร้างกระแส สร้างภาพให้กับพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ผ่านสื่อทุกแขนง ยึดพื้นที่ทางสมองของพุทธศาสนิกชน และประชาชน จนไม่สามารถทราบถึงมหันตภัยของไวรัสศาสนาที่เข้าไปทำลายพระไตรปิฎกบาลีเถรวาท อันเป็นหลักของพระพุทธศาสนาไปแล้ว
ลองคิดเอาเองว่า ๑๐๔ ล้านตัวอักษรจะต้องใช้เวลามากขนาดไหนในการพิมพ์ และที่ยิ่งไปกว่านั้น พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) อ้างว่าเป็นเพียงผู้เดียว ที่ตรวจสอบเทียบเคียงความถูกต้องทั้ง ๓ ภาษา จะต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีกเท่าใด สิ่งที่ควรตั้งเป็นคำถามก็คือ ใครเป็นตรวจสอบการออกเสียงภาษาบาลี ของฉบับภาษาอังกฤษ เพราะพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ไม่สามารถที่จะออกเสียงตามสำเนียงฝรั่งแท้ได้ ใครเป็นผู้ตรวจสอบภาษาอังกฤษกันแน่ แล้วคนๆ นั้นศาสนาใด วิธีพิสูจน์ง่ายๆ ก็คือเอาพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐฉบับหลวงให้พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ไปแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ออกเสียงเป็นบาลีสักเล่มหนึ่ง ดูซิว่าจะใช้เวลาเท่าไร แล้วคำนวณเวลากลับ ก็จะพิสูจน์ความจริงได้โดยไม่ยากและอย่าลืมว่าพระไตรปิฎกนั้นจัดทำเป็น ๓ ภาษา ซึ่งในปี ๒๕๓๑ นั้นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ยังไม่ก้าวหน้า การใช้โปรแกรมเก็บข้อมูล (DATA) จะใช้โปรแกรม Fox Base เป็นหลักในการใช้ร่วม Windows ซึ่งผู้สร้าง CD-ROM ต้องสร้างฐานเก็บข้อมูลโดยออกแบบโปรแกรมขึ้นมาเอง ระยะเวลาที่สร้างนั้นคิดเป็นชั่วโมง แล้วต้องใช้เวลาเท่าไร หากจะอ้างว่าใช้โปรแกรมสำเร็จ ขณะนั้น (๒๕๓๑) ก็มีเพียงโปรแกรม Ascess ๒ เท่านั้นที่เรียกว่าเก็บ DATA ได้ดี เนื่องจากพระไตรปิฎกเป็นที่สถิตย์ของพระธรรมวินัย อันเป็นพุทธพจน์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นหลักหรือแก่นของพระพุทธศาสนา ไม่สามารถ ที่จะเขียนขึ้นมาใหม่ได้โดยพละการ วรรคตอน หรืออักขระ ต้องถูกต้อง เพราะถูกบันทึกด้วยภาษาบาลี หากเว้นวรรคผิดพลาด ความหมายทั้งหมดก็จะผิดพลาด ไปทั้งสิ้น จึงมิใช่เรื่องง่ายๆ ในการแปลหรือการรวบรวมพระไตรปิฎก ตัวอย่างเช่น การจัดทำพระไตรปิฎกของมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ซึ่งจัดทำเฉพาะภาษาเดียว (ภาษาไทย) ต้องใช้เวลาถึง ๕ ปี ใช้พระภิกษุสงฆ์ที่ชำนาญบาลีกว่า ๔๐๐ รูป และต้องตรวจทานอีกมากมายหลายร้อยท่าน ซึ่งผิดกับของมหิดลซึ่งใช้พนักงานพิมพ์ดีด ๒ คน และตรวจทานโดยพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) เพียงคนเดียว แต่ทำ ได้ถึง ๓ ภาษา (ไทย บาลี อังกฤษ) และสามารถทำเสร็จภายใน ๑ ปี แสดงว่า ผู้ทำนี้ต้องเป็นอมนุษย์ (ผู้มิใช่มนุษย์) จัดสร้างขึ้นแน่ๆ และไม่ได้มีการรับรองจากสถาบันศาสนาใดๆ ว่าถูกต้อง นอกจากพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) เท่านั้น สิ่งที่ยืนยันได้ดีที่สุดคือ นักวิชาการของชมรมชาวพุทธ ๓ เหล่าทัพ ๕ คนร่วมกับพระเถรานุเถระผู้เชี่ยวชาญภาษาบาลีเปรียญธรรม ๘-๙ ประโยค จำนวน ๔๒ รูป ทำการตรวจสอบพระไตรปิฎกตั้งแต่ต้นจนถึงซึ่งตรวจสอบได้ เพียง ๒๐ เล่มยังไม่ครบทั้งหมด ๗๐ เล่ม โดยเทียบเคียงกับพระไตรปิฎกสยามรัฐฉบับหลวง ซึ่งพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) อ้างว่าใช้เป็นต้นแบบ ได้พบความผิดพลาด ตัดต่อ ทำให้คลาดเคลื่อนจาก (ถ้าตรวจครบ ๗๐ เล่มยังไม่รู้ว่าจะพบความผิดพลาด และการทำให้คลาดเคลื่อนจากเพิ่มขึ้นอีกเท่าไร) ท่านผู้อ่านสามารถพิสูจน์ความจริง โดยการตรวจสอบพระไตรปิฎกฉบับสัทธรรมปฏิรูป (ทำให้คลาดเคลื่อน) CD-ROM ของมหาวิทยาลัยมหิดลนี้ได้ด้วยตนเองทันที หากท่านมีโปรแกรมดังกล่าวนี้อยู่ในเครื่อง COMPUTER ของท่านโดยใช้เวลาไม่เกิน ๒ นาทีเท่านั้น ก็ทราบได้ทันทีว่าพระพุทธศาสนาอันเป็นสถาบันแห่งความมั่นคงของชาติ ได้ถูกทำลายไปแล้วจริงหรือไม่? และท่านจะป้องกันหรือแก้ไขอย่างไร ในฐานะท่านเป็นพุทธบริษัท? (หากต้องการทราบข้อมูลครบถ้วนโปรดอ่าน "เปิดโปงขบวน การล้มพุทธ" และหนังสือ "พระพุทธศาสนา ชะตาของชาติ" ประกอบ) ที่เลวร้ายที่สุดคือการทำลายหัวใจพระพุทธศาสนาสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาหาความรู้อย่างลึกซึ้งจากพระไตรปิฎก ต้อง การค้นหาศัพท์คำว่า "มคฺค" (มรรค หนทางแห่งความดับทุกข์) นั้น ปรากฏว่าจะไม่ได้ครบตามจำนวนศัพท์ที่เป็นพระพุทธพจน์ เพราะถูกทำลายทิ้งโดยวิธีศัพท์วิบัติวิบัติ (ให้อ่านไม่ได้แปลไม่ออก) โดยเฉพาะส่วนที่ทำลายโดยวิธีศัพท์วิบัติ เป็นส่วนสำคัญในการปฏิบัติทางสมาธิจิตอันอยู่ในพระไตรปิฎกภาคพระอภิธรรม เสียอีกด้วย การกระทำดังกล่าวเป็นเจตนาโดยแท้ เพราะทำลายทั้งภาคภาษาบาลีและภาคภาษาโรมัน ซึ่งคนต่างประเทศที่สนใจพระพุทธศาสนา ก็ไม่สามารถค้นคว้าได้เช่นกัน นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นจริง (ดูภาคผนวก) |