การนำเสนอแนวความคิดเพื่อบ่อนทำลาย โดยอาศัยเครื่องมือของรัฐ

 

 

การนำเสนอแนวความคิดเพื่อบ่อนทำลาย สถาบันพระพุทธศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยอาศัยเครื่องมือของรัฐ
ในวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๒
ณ อาคารรัฐสภา เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๖.๐๐ น.
หัวข้อการเสวนา "เสวนาหาความจริง ใครทำลายพระพุทธศาสนา"
เอกสารบิดเบือนข้อแท้จริง โดย นายอำนวย สุวรรณคีรี

ประธานที่ปรึกษา คณะกรรมมาธิการศาสนาและศิลปวัฒนธรรม

ข้อความเท็จ ๑. "ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารดำเนินการตามรายงานหน่วยราชการลับ"

"จากการที่ได้มีการบิดเบือนกล่าวร้ายป้ายสีว่า คณะกรรมาธิการ การศาสนาศิลปะ วัฒนธรรม ได้มีหนังสือห้ามไม่ให้ผู้คนไปที่วัดธรรมกายนั้น เรื่องนี้มีข้อเท็จจริงอย่างนี้ครับ คือกรรมาธิการได้ทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ เมื่อได้รับรายงานจากสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ จากตำรวจสันติบาลตำรวจแห่งชาติ จากศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยสืบราชการลับของผู้บัญชาการทหารสูงสุด รายงานมาว่า จะมีการระดมคนมาชุมนุมที่วัดพระธรรมกาย โดยมีการรายงานว่าจะมีวิธีการแจกเงินเพื่อให้คนมาร่วมกันมากๆ ด้วย ตรงนี้นะครับจะเห็นว่า อาจมีการปลุกระดมมีการทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมืองได้ ฉะนั้นในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งต้องรับผิดชอบปัญหาของบ้านเมือง ปัญหาของพระพุทธศาสนา จึงได้มีมติห้ามดำเนินการดังกล่าว โดยคณะกรรมาธิการได้ทำหนังสือไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทางกระทรวงได้ขออนุมัติจากมหาเถรสมาคมเพื่อห้ามกรณีดังกล่าวครับ.."

นำพิสูจน์ทราบข้อแท้จริง

คณะกรรมมาธิการ การศาสนาศิลปะ วัฒนธรรม ไม่มีอำนาจหน้าที่ทางกฎหมายใดๆ อันกฎหมายให้อำนาจดังกล่าวเป็นการแอบอ้างอำนาจอันไม่มีในตน เพราะโดยข้อแท้จริงตามกฎหมายแล้ว "คณะกรรมมาธิการฯ มีหน้าที่เพียงหาข้อมูลและนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฏร เมื่อสภาผู้แทนราษฏรมีมติอย่างไร จึงกระทำอย่างนั้น มิใช่อาศัยมติของคณะกรรมาธิการตามอ้าง" นี่คือการบิดเบือนข้อแท้จริง โดยนักการเมืองอันไม่มีอำนาจใดๆ ทั้งยังเป็นความผิดตามกฎหมายอาญาโฆษณาหลอกลวงข้อความอันเป็นเท็จ อีกด้วย

ข้อความเท็จ ๒. "เพราะบิดเบือนคำสอนนิพพานเป็นอัตตาพระพุทธศาสนาจึงหายไปจากอินเดีย"

"การที่พระเดชพระคุณพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) เป็นนักปราชญ์ในพระพุทธศาสนา ได้ทำหนังสือร้องเรียนไปถึงนายกรัฐมนตรี ว่าท่านถูกบิดเบือนใส่ร้ายมาก เพราะท่านไปเขียนเรื่องกรณีวัดพระธรรมกายวิเคราะห์ให้เห็นว่าอัตตานั้นนะครับ เป็นเรื่องที่ผิดหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ที่ไปเข้าใจคลาดเคลื่อน ว่าเป็นเรื่องอัตตา เพราะเรื่องอัตตาเป็นเรื่องของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาในโลก ได้ถือว่าความสำเร็จสูงสุดก็คืออัตตาอยู่แล้ว แต่เมื่อพระพุทธเจ้าได้ทรงค้นคว้า ส่งต่อมายังปรมาจารย์พราหมณ์ในยุคนั้นแล้วจึงพบว่า อนัตตา เป็นสิ่งสูงสุดกว่าอัตตา ฉะนั้นพระพุทธศาสนาจึงสูงกว่าพราหมณ์ ไม่บังควรที่จะไปดึงให้ตกต่ำลงมา ทำให้พระพุทธศาสนาหายไป เหมือนอย่างที่หายไปจากประเทศอินเดีย กรณีนี้ ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ธรรมกายบางกลุ่มที่เป็นกลุ่มผลประโยชน์ ไม่ได้เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาที่แท้จริง กล่าวร้ายท่านซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง และเป็นบาปกรรมอย่างหนักครับ"

นำพิสูจน์ทราบข้อแท้จริง

พระพุทธศาสนาที่สูญหายไปจากอินเดียนั้น เกิดจาก ๒ กรณี คือ

๑. ประมาณ พ.ศ.๑๓๓๒ ไวรัสศาสนา เป็นพราหมณ์ชื่อ สังกราจารย์ ได้ปลอมเข้าไปบวชในพระพุทธศาสนา และได้ทำให้คลาดเคลื่อนจากพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกทั้งหมดให้เป็นสัทธรรมปฏิรูป (เหมือนพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ทำฉบับ CD-ROM) แล้วสึกออกมานำไปใส่ไว้ในท้ายของคัมภีร์เวทานตะ และอุปนิษัท ประกาศเป็นศาสนาใหม่โดยระบุว่า "พระพุทธเจ้าเป็นอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ ที่ส่งมาสอนให้มนุษย์ตกนรกให้มากที่สุด เพราะสวรรค์ล้นแออัด คนทำดีขึ้นสวรรค์มากเกินไป" พุทธศาสนาในอินเดียจึงถูกกลืนไป

๒. ในพุทธศัตวรรษที่ ๑๗ กองทัพ อิสลามเติร์ก ได้ยกเข้ายึดครองชมพูทวีป (ซึ่งหมายรวมอินเดีย, ปากีสถานทั้งสอง, เนปาล) เผาทำลายวิทยาลัยสงฆ์พุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ "นาลันทา" ฆ่าพระภิกษุทั้งชมพูทวีปที่พบเห็น จึงทำให้พุทธบริษัหนีภัยสงครามออกจากประเทศอินเดีย ทำให้พุทธศาสนาในอินเดียสูญไปนับแต่นั้นจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวมานี้จึงพิสูจน์ได้ว่า การที่พระพุทธศาสนาสูญจากอินเดีย มิได้เกี่ยวข้องกับเรื่อง อัตตา หรือ อนัตตา ตามที่กรรมาธิการศาสนาฯ กล่าวเท็จแต่อย่างใด (ตรวจสอบข้อมูลได้ในทุกห้องสมุดทั่วโลก)

ข้อความเท็จ ๓. "นิพพานเป็นอัตตา เท่ากับดึงพระพุทธศาสนามาที่ต่ำ"

"เรื่องอัตตากับอนัตตาแม้ว่าเป็นเรื่องยาก แต่ชาวพุทธต้องพยายามทำความเข้าใจครับ ถ้าพูดให้เป็นภาษาพราหมณ์แล้วละก็ อัตตาคือตัว ปรมาตมันเดิม หรือตัวที่ต่ำกว่าอนัตตาของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเคยศึกษาพราหมณ์มาจากอาฬารดาบส และอุทกดาบส จนได้สมาบัติ ๘ หรือฌาน ๘ นะครับ แล้วก็รู้ว่าตรงนั้นยังไม่สูงสุด คือเมื่อออกจากฌานแล้วก็ยังเป็นอัตตาคือ ยังมีความยึดมั่นและยังมีกิเลสอยู่ พระองค์ท่าน จึงแน่วแน่ศึกษาต่อไปว่าจะทำอย่างไร ถึงจะหลุดพ้นจากกิเลส ถึงจะสูงกว่าอัตตาเดิม หรือปรมาตมันเดิมนะครับ จึงค้นพบความเป็น อนัตตา คือการหลุดพ้น ไม่ต้องยึดมั่นในตัวตน จะเห็นได้ว่าสิ่งที่พระองค์ค้นพบใหญ่สูงกว่าศาสนาเดิมที่พระองค์เคยศึกษามาครับ"

นำพิสูจน์ทราบข้อแท้จริง

การที่คณะกรรมาธิการศาสนาฯ ได้ยื่นญัตติด่วนแก่สภาผู้เทนราษฏรนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลฝ่ายเดียวจากพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ซึ่งปรากฏตามหลักฐานแล้วว่า ข้อมูลของกรรมาธิการดังกล่าวนั้น เป็นความเท็จ มิได้เป็นไปตามพุทธพจน์อันปรากฏในพระไตรปิฎก นายอำนวย สุวรรณคีรี เป็นผู้เคลื่อนไหวและฝังตัวในกรรมาธิการศาสนาฯ มาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๖ ก่อนมีการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงต้องทราบเป้าหมายเป็นอย่างดี ว่าต้องการให้เกิดความแตกแยกในคณะสงฆ์เพื่ออะไร และตนจะได้อะไรจากการกระทำนี้ เพราะสาเหตุทั้งสิ้นเกิดจากการผลักดันและการสนับสนุนของตนทั้งสิ้น ปรากฏ เป็นพยานหลักฐานเด่นชัดมิอาจปฏิเสธได้ ดังนั้นจากพระพุทธพจน์อันได้นำเสนอไว้ในหนังสือนี้คงเป็นคำตอบได้ดีว่า ญัตติของคณะกรรมมาธิการศาสนาอันเกี่ยวเนื่องด้วย "นิพพานเป็นอนัตตา" โดยความเห็นของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ผู้สร้างพระไตรปิฎก CD-ROM (สัทธรรมปฏิรูป ทำลายพระพุทธวจนะให้คลาดเคลื่อน) นั้น เป็นเจตนาสร้างกระแสเพื่อออกกฎหมายใช้ในการทำลายพระพุทธศาสนา และองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย โดยแท้จริง แม้กระทั่งพระไตรปิฎกอันเป็นหลักของพระพุทธศาสนาที่ถูกพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ทำลาย เหตุใดคณะกรรมาธิการศาสนาฯ จึงไม่ออกมาดำเนินการ สืบสวนเอาโทษพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ทั้งๆ ที่หลักฐานความผิด ปรากฏเป็นที่อับอายไปทั่วโลก และด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ จะถือว่ากรรมาธิการศาสนา ฯ โดยนายอำนวย สุวรรณคีรี คือบุคคลหนึ่งที่อยู่ใน "ขบวนการล้มพุทธ" ใช่หรือไม่?

ข้อความเท็จ ๔ "อย่าบิดเบือนกล่าวหาอย่างเถยจิต"

"สวัสดีครับท่านผู้ชม จากที่มีการบิดเบือนกล่าวหาโจมตีเรื่องพระราชบัญญัติคุ้มครองพระพุทธศาสนาว่า เป็นกฎหมายที่จะเอาฆราวาสไปปกครองสงฆ์นั้นไม่จริงนะครับ อันที่จริงแล้วกฎหมายนี่ต้องการบังคับฆราวาส ๙๙.๕% ทั้งชาวพุทธที่เป็นผู้ชาย และผู้หญิงที่เรียกว่า อุบาสก อุบาสิกา ในพุทธบริษัท ๔ แล้วก็พระสงฆ์ พระภิกษุ สามเณร ภิกษุณี จะมี ๐.๕% ของจำนวนชาวพุทธทั้งประเทศ เพราะฉะนั้น กฎหมายนี้มีเจตนารมณ์ เพื่อจะบังคับฝ่ายฆราวาสให้ช่วยกันดูแลพระพุทธศาสนา ให้ทำหน้าที่ของชาวพุทธได้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น แล้วกฎหมายนี้เป็นเพียงยกร่างที่สามารถแปรญัตติได้ เหมือนพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติที่สามารถแปรญัตติเปลี่ยนแปลง ได้ทุกมาตราทั้งฉบับครับ ไม่สมควรที่จะถูกโจมตี บิดเบือน กล่าวหาอย่างมีจิตอกุศล หรือ เถยจิต"

นำพิสูจน์ทราบข้อแท้จริง

เนื่องจาก พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้เปิดเผยกับนายวิชัย ตันศิริ รมช.ศึกษาฯ เมื่อเดือน ต.ค.๒๕๔๒ ว่า ได้รับต้นร่าง พ.ร.บ.จากนายสัมพันธ์ ทองสมัคร สส.พรรคประชาธิปัตย์ ครั้งมีตำแหน่งเป็น รมช.ศึกษาฯ ในปี พ.ศ.๒๕๓๖ แล้ว ดังนั้นจึงเป็นการวางแผนการมาก่อนว่าจะมีการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ และมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองคณะสงฆ์ ฉะนั้น การที่นำมาอ้างดังกล่าวนั้นจึงมิใช่ข้อแท้จริง แต่เป็นลักษณะของการแก้ตัวของขบวน การล้มพุทธ ซึ่งได้สร้างสถานการณ์ทำลายองค์กรคณะสงฆ์ไทย และพุทธศาสนา เพื่อออกกฎหมายควบคุมพระสงฆ์และเปิดโอกาสให้พรรคพวกของตน เข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ จากพุทธศาสนาเท่านั้น

ข้อความเท็จ ๕ "การแอบอ้างชมรม ๓ เหล่าทัพ หน่วยราชการลับต้องติดตาม"

"เนื่องจากมีหนังสือมาบิดเบือนแล้วก็แอบอ้างว่าเป็น "ชมรมชาวพุทธ ๓ เหล่าทัพ" บอกว่าเปิดโปงขบวนการล้มพุทธ โดยลงชื่อด้วยคือ นายจักรพันธ์ ยุรเวช เขียนโดย ดร.เบญจ์ บาระกุล เป็นการกระทำที่กระทบกระเทือนต่อส่วนรวม ต่อพระพุทธศาสนา ต่อความมั่นคงของชาติบ้านเมืองมาก เพราะฉะนั้นการที่แอบอ้าง ๓ เหล่าทัพ อยากให้ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศ.ร.ภ.) หน่วยราชการลับ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ บก.สูงสุด สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ ตำรวจสันติบาล ตำรวจแห่งชาติ ได้ติดตามพฤติกรรมของคนเหล่านี้ว่า เขามีเจตนาเพื่ออะไร เพื่อจะทำลายพระพุทธศาสนา หรือให้กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของชาติ แล้วรายงานให้ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติทราบ ผู้รับผิดชอบจะได้ดำเนินการต่อไป"

นำพิสูจน์ทราบข้อแท้จริง

ตามแถลงการณ์อันปรากฏในส่วนแรกของหนังสือเล่มนี้ เป็นข้อพิสูจน์ได้ชัดว่า นายอำนวย สุวรรณคีรี กล่าวข้อความอันเป็นเท็จ เพราะ "ชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพ" มีตัวตนจริง และล้วนเป็นข้าราชทหารอันได้รับการปลูกฝังให้มีความรักชาติ พระพุทธศาสนา และพระมหากษัตริย์จึงเป็นที่หวาดกลัวแก่นักการเมืองที่มีผลประโยชน์ร่วมกับขบวนการล้มพุทธ นี่คือสิ่งพิสูจน์ที่เห็นได้เป็นอย่างดีว่า องค์กรต่างศาสนาได้ใช้อิทธิพลทั้งทางการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐตามที่ระบุไว้ในคำสั่ง VATICAN COUNCIL 2 อย่างไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ จึงมีคำถามว่า นักการเมืองเหล่านี้หรือคือบุคคลประเภทที่จะทำให้ประเทศไทยเจริญขึ้น

ข้อความเท็จ ๖ "ราชการต้องจัดการสิ่งพิมพ์เถื่อนที่กระทบกระเทือนความมั่นคง"

"คณะกรรมมาธิการได้รับรายงานจากหน่วยสืบราชการลับว่า มีสิ่งพิมพ์เถื่อนออกมามากมายระบาดไปทั่ว ส่งไปตามวัดวาอาราม ส่วนราชการ หรือบุคคลทั่วไปที่ไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นสิ่งพิมพ์เถื่อนเหล่านี้อยากจะขอให้ทางราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยตำรวจแห่งชาติ หน่วยสันติบาล ติดตามเก็บแล้วยึดคืน เพราะว่าสิ่งพิมพ์เหล่านี้เป็นสิ่งพิมพ์เถื่อน บางทีก็แอบอ้างลงชื่อปลอมๆ บางทีก็ไม่ใช่ชื่อจริงต้องสืบให้รู้ บางทีก็เป็นแผ่นปลิวเถื่อนนะครับระบาดทั่วไปหมด อาจก่อให้เกิดความแตกแยกกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของชาตินะครับ ฉะนั้นขอให้ชาวพุทธทั้งหลายได้ใช้ดุลยพินิจ พิจารณาอย่าเชื่อสิ่งพิมพ์เหล่านั้นนะครับ เพราะว่าทางราชการกำลังเก็บและติดตามอยู่นะครับ"

นำพิสูจน์ทราบข้อแท้จริง

ดังได้กล่าวไปแล้วว่า "ชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพ" ล้วนเป็นข้าราชการ ทหารที่จงรักภักดี และมีหน้าที่รักษาความมั่นคงของชาติ แต่ละท่านได้ปฏิญาณสาบานตนต่อธงชัยเฉลิมพล พร้อมที่จะเสียสละชีวิตเพื่อชาติ พระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ ทำการเปิดเผย ไม่มีการแอบอ้างหรือหวังผลประโยชน์ ปรากฏตามแถลงการณ์อย่างแจ้งชัด จึงสรุปได้ว่า นายอำนวย สุวรรณคีรี ซึ่งหาเลี้ยงชีพโดยการเป็นนักการเมือง ไม่มีอาชีพอื่นอาศัยภาพพจน์โฆษณาความอันเป็นเท็จเพื่อทำลายสถาบันเช่นนี้ ย่อมเป็นบุคคลที่อันตรายต่อสถาบันทั้งสามเป็นอย่างยิ่ง ใช่หรือไม่ ??

ข้อความเท็จ ๗ "การบิดเบือนป้ายสีย่อมมีโทษทั้งทางโลกและทางธรรม"

"กรณีการบิดเบือนกล่าวร้ายป้ายสีก่อให้เกิดการแตกแยกในหมู่ชาวพุทธ ต้องถือว่าการกระทำเช่นนี้เป็นบาปกรรมมากนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกล่าวร้ายป้ายสีไปถึงสมเด็จพระสังฆราช ไปถึงเจ้าคุณธรรมปิฎก นักปราชญ์เอกของพระพุทธศาสนากล่าวร้ายพระศรีปริยัติโมลี เจ้าคุณพระพยอม กัลยาโน และฆราวาสคนอื่นๆ ด้วย การกระทำเช่นนี้เป็นการผิดศีลธรรมอย่างร้ายแรง จะก่อให้เกิดการแตกแยกกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของพระพุทธศานา กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนา กระทบกระเทือนตต่อศีลธรรมอันดีและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง อยากจะเตือนผู้ที่ดำเนินการ ข้างต้นว่าอย่าทำเลยมันเป็นบาปกรรม กฎแห่งกรรมนี้ จะส่งผลร้ายต่อผู้กระทำเป็นอย่างมาก ด้วยความปราถนาดี ขอให้ยุติที่จะกระทำการชั่วร้ายเช่นนี้นะครับ"

นำพิสูจน์ทราบข้อแท้จริง

ข้อแท้จริงทั้งสิ้นในส่วนนี้ได้นำเสนอไปแล้ว สามารถพิสูจน์ได้ในความเป็นจริง ปรากฏว่า นายอำนวย สุวรรณคีรี ไม่เคยที่จะนำข้อแท้จริงนี้ให้กับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องลงโทษแก่ผู้ทำลายพระพุทธศาสนา อันเป็นสถาบันแห่งความมั่นคงของชาติแต่อย่างใด กลับบิดเบือนกล่าวเท็จในทางตรงกันข้าม ชี้ให้เห็นถึงจิตใต้สำนึกที่พร้อมจะทำลายชาติ พระพุทธศาสนา พระมหกษัตริย์ได้ทุกเวลา ข้อแท้จริงทั้งสิ้นนั้น ท่านผู้อ่านสามารถทราบได้จากหนังสือ "เปิด โปงขบวนการล้มพุทธ" "พระพุทธศาสนา ชะตาของชาติ" และ "ไวรัสศาสนา มหันภัยของชาวพุทธ"

ข้อความเท็จ ๘ "เตือนการบิดเบือนใส่ร้ายเป็นการดูถูกความคิดประชาชน"

"เมื่อเร็วๆ นี้มีสิ่งพิมพ์เถื่อนออกมาบิดเบือนใส่ร้ายป้ายสี มีการตัดต่อแต่งเติมถ้อยคำที่ทำให้ประชาชนหลงผิดไปได้ ซึ่งขณะนี้ทางตำรวจสันติบาลกำลังติดตามอยู่ การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการหลอกลวงและดูถูกความคิดประชาชน หลอกลวงและดูถูกความคิดชาวพุทธ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่เป็นคนมีสติปัญญาสูงพอที่จะแยกแยะได้ เว้นแต่บางคนซึ่งหลงไหลไปแล้ว หรือมีวุฒิภาวะต่ำอาจจะหลงเชื่อไปบ้างแต่คิดว่าคงน้อยมาก หรือเกือบไม่มีเลย จึงอยากเป็นสติให้กับสังคมด้วยว่า การบิดเบือนเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำลายความมั่นคงของพระพุทธศาสนาและความมั่นคงของชาตินะครับ"

นำพิสูจน์ทราบข้อแท้จริง

การร่วมมือให้การสนับสนุน ผู้ที่สร้างสัทธรรมปฏิรูปโดยการทำให้คลาดเคลื่อนจากพระไตรปิฎก นั้นถือว่าเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับพระพุทธศาสนากระนั้นหรือ ข้อความที่ปรากฏในหนังสือทั้ง ๓ เล่มนั้น เขียนขึ้นจากหลักฐานทางราชการ และพยานหลักฐาน สาธารณะที่เป็นจริงทั้งสิ้นสามารถพิสูจน์ได้ ดังนั้นจึงเป็นที่หวาดกลัวของ "ขบวนการล้มพุทธ" ที่ทำงานกลืนชาติ กลืนศาสนาที่กำลังกระทำการอยู่เป็นอย่างยิ่ง เพราะจะไม่สามารถหลอกลวงประชาชนไทยได้อีกต่อไปเมื่อความจริงถูกนำมาเปิดเผย

ข้อความเท็จ ๙ "ราชการควรทำความจริงให้ปรากฏ"

"ความจริงแล้วการบิดเบือนกล่าวร้ายที่เกิดขึ้นในวงการพระพุทธศาสนาอยู่ในขณะนี้นั้น ภาคราชการและส่วนที่เกี่ยวข้องไม่ค่อยให้ความสำคัญมากนัก ทั้งประชาชนเองก็มีดุลยพินิจที่ดีงามไม่หลงเชื่ออยู่แล้ว แต่ว่าช่วงหลังรู้สึกว่าจะเหลิงและกระทำการหนักข้อ และแผ่ขยายวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงควรจะได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อคนจะได้ไม่หลงเชื่ออันเป็นการทำความจริงให้ปรากฏ และเป็นหน้าที่ของกรรมาธิการ การศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้าไปดูแลแก้ไขปัญหาให้ ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง ได้ฟังข้อมูลทั้งสองด้าน เพื่อเหตุการณ์ต่างๆ จะไม่ลุกลามบานปลายออกไปนะครับ"

นำพิสูจน์ทราบข้อแท้จริง

หน่วยราชการทั้งสิ้น ยังไม่ปรากฏหรือสามารถยืนยันใดๆ ได้ว่าสิ่งที่นำเสนอในหนังสือ "เปิดโปงขบวนการล้มพุทธ" "พระพุทธศาสนา ชะตาของชาติ" และ "ไวรัสศาสนา มหันตภัยของชาวพุทธ" เป็นข้อมูลเท็จ หรือใช้หลักฐานเท็จ แต่ปรากฏว่าทางราชการในส่วนของ กองทัพได้นำข้อมูลจากหนังสือทั้ง ๓ เล่มเพื่อใช้ในการตรวจสอบพฤติกรรมนักการเมือง องค์กรและกลุ่มบุคคลที่เคลื่อน ไหวทำลายสถาบันชาติ พระพุทธศาสนา และพระมหากษัตริย์ ในขณะนี้อีกด้วย


(หน้าปก - - - สารบัญ - - - อ่านต่อ)

1