ปัจฉิมลิขิต |
|
จากหลักฐานข้อมูลที่ได้นำเสนอมานี้ จะเห็นได้ว่า มีการทำลายพระพุทธศาสนาจากศาสนาอื่น ติดต่อกันตั้งแต่ในยุคโบราณแล้ว โดยเฉพาะในประเทศไทยนั้น ได้ถูกทำลายโดยคริสต์ศาสนาตลอดมา มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำลาย จนในที่สุดใช้การแทรกซึม เหมือนตัวเชื้อโรคร้ายแรง ซึ่งเปรียบได้กับ "ไวรัสทางศาสนา" การพัฒนารูปแบบในการทำลายได้ออกมาเป็นคำสั่ง VATICAN COUNCIL 2 ซึ่งถูกนำมาใช้ในการทำลายพระพุทธศาสนา อันเป็นสถาบันความมั่นคงของชาติ โดยผ่านทางองค์กรคริสเตียน ซึ่งปรากฏเป็นหลักฐานแจ้งชัดว่า เป็นการดำเนินงานโดยบุคลากร ที่มีความเกี่ยวโยงกับ มูลนิธิโกมลคีมทอง ซึ่งได้ขยายเครือข่ายแพร่เชื้อไวรัส แทรกซึมไปทุกองค์กร ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งขบวนการดังกล่าว ได้ใช้กลยุทธ์ให้เกิดกระแสการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ เพื่อเข้าครอบงำทางด้านความคิดของชนในชาติ ทั้งระดับสามัญและระดับอุดมศึกษา เปลี่ยนแปลง ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมของไทย โดยการทำลายพระพุทธศาสนาและหลักธรรมคำสอน ซึ่งเท่ากับเป็นการกลืนชาติ ทั้งนี้เพราะประเทศไทยใช้หลักพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวเชื่อมโยง ให้เกิดความสามัคคีความสงบสุขและศีลธรรมอันดีของชนในชาติ ดังนั้น การเปลี่ยน ทำให้คลาด เคลื่อนจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาเสียใหม่ ก็คือการเปลี่ยนสภาพของสังคม และความเป็นชาติของประชาชนไทยนั่นเอง นี่คือมหาภัยจาก "ไวรัสศาสนา" ซึ่งมีหน้าที่ทำลายฐานความมั่นคงในความเป็นชาติเพื่อเข้ายึดครองแบบเบ็ดเสร็จ จัดเป็นมหันตภัยของประเทศและชาวพุทธที่จะต้องร่วมกันกำจัด "ไวรัสศาสนา" นี้ให้สิ้นไปโดยเร็วก่อนที่ประเทศไทยจะสิ้นความเป็นชาติ การกระทำของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ตามหลักฐานที่ได้นำเสนอมานั้น จะเห็นได้ว่าเป็นตัวจักรสำคัญที่ถูกจัดตั้ง และปัจจุบัน (พ.ศ.๒๕๔๒) จะเห็นว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทและอิทธิพลทั้งทางศาสนาและทางการเมืองสามารถเรียกใช้นายก บุคลากรในคณะรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ สามารถทำให้พระพุทธศาสนาในประเทศไทยสิ้นสูญไปได้โดยการบิดเบือนพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเฉพาะการทำให้พระไตรปิฎกบาลีเถรวาท อันเป็นหลักแห่งพระพุทธศาสนาคลาดเคลื่อน พระไตรปิฎกซึ่งเป็นเอกสารทางวิชาการที่สำคัญในการใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาพระพุทธศาสนา จะต้องอาศัยพระไตรปิฎกเป็นแหล่งค้นคว้าเชื่อมโยงในการศึกษาต่อไป ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันการสิ้นสูญของพระพุทธศาสนา จาก "ไวรัสทางศาสนา" พุทธบริษัทควรที่จะต้องดำเนินการขั้นเด็ดขาด กับพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างในการที่บิดเบือนพระสัทธรรมอันเป็นพระพุทธวจนะ และพระไตรปิฎกบาลีเถรวาท โดยการ "ยื่นฟ้องนิคหกรรม พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) ในความผิดฐาน "ทำให้คลาด เคลื่อนเปลี่ยนแปลงจากพระไตรปิฎกบาลีเถรวาท" โดยด่วนที่สุด นอกจากนี้ เนื่องจาก พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) เป็นผู้มีภูมิธรรม มีตำแหน่งเป็นพระราชาคณะชั้นธรรม แต่กลับมีพฤติกรรมทำตนเป็น "ไวรัสศาสนา" ทำลายทำให้คลาดเคลื่อนจาก หักล้างพระพุทธวจนะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏเป็นหลักฐาน เพื่อป้องกันมิให้บุคลากรที่ถูกต่างศาสนาส่งเข้ามาปลอมบวช หรือพระราชาคณะที่เห็นแก่อามิส รับจ้างต่างศาสนา กระทำตนเป็น "ไวรัสศาสนา" จึงควรที่มหาเถรสมาคมควรต้องมีมติเสนอถอดถอนสมณศักดิ์พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) จากหลักฐานการกระทำความผิด อันปรากฏให้เสื่อมเสียแก่พระพุทธศาสนา และองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทยไปทั่วโลกอย่างไม่มีสิทธ์ปฏิเสธ ทั้งนี้ยังรวมไปถึง สถาบันอุดมศึกษา ทั้งสิ้นทั้งปวงที่มอบปริญญาดุษฏี บัณฑิตกิติมศักดิ์ให้กับ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) นั้น ต้องเรียกคืนปริญญาทั้งหมด หากสถาบันใดไม่เรียกคืน ก็เป็นการยอมรับของสถาบันนั้นว่าเห็นด้วย และร่วมมือกับพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) บ่อนทำลายพระพุทธศาสนา อันเป็นสถาบันความมั่นคงของชาติโดยมีประจักษ์พยานหลักฐานการกระทำ ความผิด ซึ่งได้นำมาแสดงไว้แล้วนั้น เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างว่า "นี่หรือพระภิกษุ สงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนา ที่ได้กระทำการอกตัญญูต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยกระทำการบิด เบือน หักล้าง พระพุทธวจนะ ทำให้คลาดเคลื่อนไป ปรากฏหลักฐานการกระทำความผิดไปทั่วโลก ยังไม่ถูกดำเนินการลงโทษ อย่างเด็ดขาด" และหากไม่มีการลงโทษพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ตามกล่าวนั้น ก็หมายถึงว่าพุทธบริษัทกำลังตกอยู่ในท่ามกลางมหันตภัยอันเลวร้าย องค์กรที่จะต้องเข้ามารับผิดชอบโดยตรงในการพิจารณาความผิดและลงโทษ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ก็คือ กระทรวงศึกษาธิการ กรมการศาสนา คณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฏร มหาเถรสมาคมซึ่งต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนที่สุด เพราะกรณีการ เปลี่ยนแปลงพระไตรปิฎกบาลีเถรวาท โดยการเขียนขึ้นมาใหม่ให้คลาดเคลื่อน จนสถาบันพุทธศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น (มหาวิทยาลัย HANAZONO) ได้ท้วงติงเตือนภัยมาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๖ว่าพระไตรปิฎกฉบับ CD-ROM ซึ่งพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) เป็นผู้เดียวที่ตรวจสอบนั้น เป็นฉบับที่ไม่ถูกต้อง จัดเป็นสัทธรรมปฏิรูป (ทำให้คลาดเคลื่อนจาก) แต่พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ยังกล้ากล่าว เท็จยืนยันการกระทำของตนต่อสื่อมวลชนว่าถูกต้อง เป็นที่น่าอับอายและเสียหายแก่พุทธบริษัทชาวไทยและชาวโลกเป็นอย่างยิ่งและนับตั้งแต่มีการจัดสร้างพระไตรปิฎกฉบับ CD-ROM ซึ่งมีการบิดเบือนทำให้คลาดเคลื่อนจากขึ้นใหม่ จนกระทั่งสถาบันการศึกษาต่างประเทศออกมาท้วงติงเป็นเวลาประมาณ ๗ ปีแล้ว ก็ยังไม่มีใคร หรือหน่วยงานใดดำเนินการ ซึ่งหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง จะต้องดำเนินการอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นจะทำให้ขาดความเชื่อถือในข้อมูลทางด้านพุทธศาสนา เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ นี่เป็นสาเหตุให้ความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยเสื่อมถอยไป เป็นการทำลายศรัทธาขั้นเริ่มต้นของผู้ที่อยากจะศึกษาพระไตรปิฎกอันเป็นหลักธรรมของพระพุทธศาสนา เพราะได้ทราบว่ามีการบิดเบือนทำให้คลาดเคลื่อนจากเสียแล้ว และไม่มีการแก้ไขให้ถูกต้องแต่อย่างใด ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะต้องตั้งคณะกรรมการ นักวิชาการพุทธศาสนา ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อแก้ไขพระไตรปิฎกที่จัดสร้างโดยพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ให้ถูกต้องตามต้นฉบับ พร้อมกับแถลงผลการแก้ไขไปยังสถาบันการศึกษาทั่วโลกให้ได้รับทราบความถูกต้อง เพื่อให้ทั่วโลกได้รับรู้ในข้อมูลอันถูกต้องของพระไตรปิฎกบาลีเถรวาทตามต้นฉบับด้วย ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ จะเห็นได้อย่างไม่ต้องอธิบายให้มากความว่า การบ่อนทำลายพระพุทธศาสนานั้นได้มีการจัดตั้งกันอย่างเป็นขบวนการของ "ไวรัส ศาสนา" อันเป็นมหันตภัยของชาวพุทธ ซึ่งหากพุทธศาสนิกชนไม่สามารถจะหยุดการแพร่เชื้อดังกล่าวนี้ได้ นั่นก็คือสัญญาณอันตรายที่หมายถึงความสิ้นชาติ ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งทั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของสันตปาปา ซึ่งได้กล่าวไว้ในการเยือนกรุงนิวเดลีประเทศอินเดีย ในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๒ ว่า "ประชาชนชาวเอเซีย ต้องการพระเยซูคริสต์และพระธรรมคำสอนของพระองค์ เอเซียกำลังกระหายน้ำดื่มอันมีชีวิตชีวาที่พระเยซูเท่านั้น จะทรงประทานให้ได้" นี่คือคำประกาศในการครอบครองทวีปเอเซียของคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิค ซึ่งได้เริ่มดำเนินการและประสพผลสำเร็จ สิ่งซึ่งพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีในการเข้ายึดครองโดยอาศัยคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิค ก็คือ การเรียกร้องแบ่ง แยกดินแดนปกครองตนเองของเกาะ ติมอร์ ดำเนินการโดยบิชอป นักบวชโรมันคาทอลิค และทำสำเร็จในเดือน ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๒ และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การยืนยันว่าประเทศไทย จะไม่มีวันรอดพ้นจากการยึดครอง เพราะต้องใช้ประเทศไทยเป็นฐานปฏิบัติการรุก เพื่อยึดครองเอเซียนั้น ปรากฏอยู่ในมติที่ประชุม สภาสังฆราชแห่งเอเซีย FABC ประจำปี พ.ศ.๒๕๔๑ ว่าด้วย "ความเป็นหนึ่งเดียวของกลุ่มชน หรือทางใหม่ที่จะเป็นพระศาสนจักรของเอเซีย ...." (รายงานของยอด พิมพิสาร) ประกอบกับเหตุการณ์สงครามศาสนา ที่เกิดกับประเทศเพื่อนบ้าน คืออินโดนิเซีย ซึ่งนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน และเหตุการณ์ทำลายสถาบันพระพุทธศาสนาในประเทศไทย จึงดูคล้ายกับว่าสิ่งเหล่านี้ มิได้เกิดขึ้นอย่างปกติธรรมดา และไม่ใช่ความบังเอิญอย่างแน่นอน ความจริงย่อมต้องเป็นความจริง สิ่งที่ถูกบันทึกลงในหนังสือเล่มนี้ จะเป็นประวัติศาสตร์ ที่จะยืนยันสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อถึงวันนั้น แม้ว่าท่านผู้อ่านจะนึกถึงข้อความในหนังสือนี้ได้ ก็คงสายไปเสียแล้ว หากไม่แสวงหาความจริง ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันหรือหยุดการกระทำนั้นให้ได้เสียก่อน คงไม่มีข้อสงสัยใดๆ สำหรับอนุชนรุ่นหลังที่ได้ศึกษาหลักฐานข้อมูล ที่ได้นำเสนอไปแล้วนี้จะสามารถได้ข้อสรุปตรงกันว่า "สมการกลืนชาติ" โดยใช้ยุทธการยึดพื้นที่ทางสมองตามโครงการ Change Human Mankind Project ทำให้เกิดพฤติกรรมแห่งการสยบยอมของชนในชาติได้อย่างสมบูรณ์ และไร้การต่อต้าน ทั้งๆ ที่การกระทำนั้นล้วนแต่เป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงทั้งสิ้น คือ ๑. การขายสมบัติของชาติให้ต่างชาติโดยประเทศต้องขาดทุนอย่างวินาศสันตะโร รวมไปถึงการออกกฎหมายให้สิทธิให้ประโยชน์แก่ต่างชาติต่างศาสนาหลายร้อยฉบับ แม้กระทั่งออกกฎหมายให้มีการแบ่งแยกดินแดน แบ่งแยกการปกครอง เพื่อไว้รองรับระบอบการปกครองแบบรัฐ ของประเทศมหาอำนาจซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญโดยแท้ (เป็นลักษณะการปกครองแบบกรมการเมือง) ไม่ใช่ระบอบพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขเช่นประเทศไทย นี่คือการทำลายความมั่นคงสถาบันชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง ๒. การใช้อำนาจการเมือง เจ้าหน้าที่และสื่อของรัฐ แทรกแซงทำลายบุคลากร พระภิกษุสงฆ์ และองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย สนับสนุนขบวนการล้มพุทธ ที่หักล้าง บิดเบือน ทำให้คลาดเคลื่อนจากพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรมศาสดาแห่งพุทธศาสนา รวมไปถึงการใช้อิทธิพลอำนาจข่มขู่ คุกคาม พุทธบริษัทผู้ประพฤติตามพุทธวจนะทุกรูปแบบ เพื่อกลืนพระพุทธศาสนาให้ศาสนาอื่นนี่คือการทำลายความมั่นคงสถาบันพระพุทธศาสนา บัดนี้ความมั่นคงแห่งสถาบันทั้ง ๓ ได้ถูกทำลาย และสร้างภาพทางลบให้ขาดศรัทธาที่จะเชื่อถืออีกต่อไป ซึ่งการกระทำเหล่านี้ล้วนเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย มีโทษทางอาญาทั้งสิ้น และสิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นแล้วอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ.๒๕๔๒ และไม่น่าเชื่อว่าไม่มีการป้องกันการกระทำดังกล่าวหรือจับกุมดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคล หรือองค์กรที่มีพฤติกรรม บ่อนทำลายนี้แต่อย่างใด อย่าว่าแต่จับกุมเลยครับ อำนาจอิทธิพลของขบวนการกลืนชาตินี้ยังสามารถยกเลิกกฎหมายสำคัญๆ ได้ทุกชนิด แม้กระทั่งกฎหมายที่ให้อำนาจกองทัพป้องกันและดำเนินการลงโทษผู้ที่กระทำความผิดฐานบ่อน ทำลายความมั่นคงของชาติ ก็ถูกยกเลิกได้ในเวลาเดียวกันอีกด้วย นี่คือพลังอำนาจจากโครงการ Change Human Mankind Project ที่ประสานการทำงาน โดยองค์กรต่างศาสนา และกลุ่มบุคคลที่บ่อนทำลาย ได้ประสพความสำเร็จในการยึดครองพื้นที่ทางสมอง (เชื่อตามที่ถูกสั่งให้เชื่อ โดยไม่รับรู้เหตุผล เหมือนหุ่นยนต์ที่มีชีวิต) ของประชาชนในประเทศไทยไปส่วนใหญ่แล้ว และสิ่งที่สามารถ สลายคลื่นความถี่ของพลังอุบาทว์นี้ได้คือการทำสมาธิจิต ซึ่งสามารถปรับระดับคลื่นสมองไม่ให้ถูกยึดครอง (ระดับคลื่นสมองของคนที่ทำสมาธิจิตจะเรียบกว่า คนทั่วไปทำให้ไม่สามารถยัดเยียดข้อมูลได้โดยง่าย... ข้อมูลทางการแพทย์) นั่นเอง จึงคงเป็นคำตอบได้ว่า เหตุใดหลักการทำสมาธิจิต จึงถูกพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) กล่าววโจมตีว่า "สมาธิเป็นยากล่อม เป็นยาเสพติด ทำให้ประเทศไม่พัฒนา และเป็นอันตราย ไม่เป็นทางที่ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้" ซึ่งเป็นการทำให้คลาดเคลื่อน หักล้างพระพุทธพจน์ อันปรากฏในพระไตรปิฎก อันเป็นหลักของพระพุทธศาสนา โดยมีวัตถุประสงค์ มิให้ประชาชนคนไทยไม่ไปปฏิบัติ "สมาธิจิต" ซึ่งหากทำลายความเชื่อในการปฏิบัติ "สมาธิจิต" ได้ หรือทำลายสถานปฏิบัติธรรมด้าน "สมาธิจิต" อันถูกต้องตามพุทธพจน์ได้แล้ว การกลืนชาติก็จะบรรลุผลสำเร็จ ไม่มีผู้ใดมีความคิดที่จะกู้ชาติกู้แผ่นดินในอนาคตได้อีกต่อไป นี่คือที่มาของการเขียนหนังสือ "กรณีธรรมกาย" ของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) และหนังสืออื่นๆ ในแนวอุดมการณ์ที่ทำลายพุทธพจน์แนวเดียวกัน จัดว่า "ไวรัสศาสนา" เป็นบุคลากรที่ทำหน้าที่เชื่อมประสานระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ร่วมกันขององค์กรต่างศาสนา และประเทศมหาอำนาจให้บรรลุผลสำเร็จในการกลืนชาติ และกลืนพระพุทธศาสนาโดยแท้จริงปรากฏตามหลักฐานที่ได้นำมาแสดงไว้แต่ต้น ดังนั้นข้อเขียนของผมนี้ จึงมิใช่เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ ในการสร้างความบาดหมางขัดแย้ง ระหว่างศาสนาแต่อย่างใด เพียงต้องการนำความจริงมานำเสนอ ให้ประชาชนได้รับทราบ และเพื่อให้องค์กร หรือบุคคลที่ได้กระทำการอันเป็นการบ่อนทำลายสถาบันพระพุทธศาสนา ได้หยุดการกระทำดังกล่าวนั้นเสีย มิฉะนั้นหากไม่มีการหยุดยั้งใดๆ แน่นอนที่สุด เหตุการณ์อย่างในประเทศเวียตนาม ต้องเกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างแน่นอน คำถาม ณ ขณะนี้ในปี พ.ศ.๒๕๔๒ เหตุการณ์ต่างๆ ได้เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทยทั้งสิ้น จึงมีคำถามว่า ขณะนี้ประเทศไทย อยู่ในภาวะของการเดินทางไปสู่ความสิ้นชาติใช่หรือไม่? หากท่านคิดว่าไม่ใช่โปรดพิจารณาข้อเทียบเคียง ด้วยเหตุผลนี้ แล้วตอบปัญหาด้วยตัวท่านเองว่า เรากำลังเดินทางไปทางไหนกัน ?? เหตุการณ์การทำลายพุทธศาสนาทำให้สถาบันชาติ สถาบันพุทธศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์สิ้นไป โดยมีวิธีการ อย่างเดียวกัน เหมือนกันถึง ๑๑ ประเด็น อันนำไปสู่ความสิ้นชาติ ดังนี้ |