คำนำ

ชนชาติไทย มีพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติมาแต่โบราณกาล เป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมประเพณี และความสามัคคีของชนในชาติ เป็นหลัก แห่งการปกครองของพระมหากษัตริย์ไทย ยังความร่มเย็นเป็นสุขแก่อาณาประชาราษฎร์มีความอุดมสมบูรณ์ มีความเป็นเสรีภาพมาเป็นพันๆ ปี ก่อนที่ฝรั่งต่างชาติซึ่งมนุษย์ไทยบางกลุ่มบางเหล่า พากันยกย่องว่าเจริญนั้น ยังไม่รู้จัก นุ่งผ้าเสียด้วยซ้ำดังปรากฏเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ไพร่ฟ้าหน้าใส ใครใคร่ค้าช้างค้า ใครใคร่ค้าม้าค้า...” นี่คือสิ่งที่เราชาวไทย ควรภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ ความเจริญทางด้านวัฒนธรรม และแนวความคิด อันมีพระพุทธศาสนาเป็นหลักชัยของพระมหากษัตริย์ไทย และประชาชน

ด้วยความสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหาร และทรัพยากรธรรมชาติของไทยนี้เอง จึงเป็นที่หมายปองของประเทศมหาอำนาจนักล่าอาณานิคม ซึ่งใช้คริสต์ศาสนาเป็นข้ออ้างในการยึดครองอย่างถาวรกับทุกประเทศในโลก ได้ขยายอิทธิพลสู่เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งประเทศไทยก็รวมอยู่ในแถบนี้ด้วย การรุกเพื่อยึดครองโดยอาศัยคริสต์ศาสนาปรากฏขึ้นอย่างชัดในประวัติศาสตร์ไทย ยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งนำโดยคอนสแตนตินฟอลคอน หรือเจ้าพระยาวิชชาเยน ซึ่งเป็นตัวแทนของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ซึ่งต้องการประเทศไทยเป็นเมืองขึ้น โดย อ้างว่า ให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเปลี่ยนศาสนาจากพุทธศาสนาเป็นคริสต์ ศาสนา ทั้งนี้เนื่องจากหลักคำสอนของคริสเตียนถือว่า “ผู้ที่ไม่นับถือคริสต์ศาสนา คือศัตรูของพระผู้เป็นเจ้า เป็นพวกที่ต้องถูกทำลายล้างให้หมดสิ้นไป” แต่ด้วยพระปรีชาของพระมหากษัตริย์ไทยตลอดมาทุกพระองค์ ดำเนินกุศโลบายต่างประเทศอย่างเฉียบคม โดยมีพระสัทธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักชัย จึงทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจมาได้โดยตลอด ในขณะที่ทุกประเทศแถบเอเซียใต้ล้วนตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งต่างชาติทั้งสิ้น นี่คือพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ และสังฆานุภาพ อันเป็นศูนย์รวมแห่งความสามัคคี ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมของสังคมไทย ดังนั้นการจะยึดครองประเทศไทยให้ได้จึงต้องบ่อนทำลายหลักธรรม และองค์กรพระพุทธศาสนาเท่านั้น

ความพ่ายแพ้จากสงครามเวียตนามใต้ของประเทศมหาอำนาจนั้น ส่งผลให้ประเทศมหาอำนาจนั้นสูญเสียศักยภาพทางเศรษฐกิจ และการทหารในภูมิภาคนี้เป็นอย่างยิ่ง บทเรียนของการพ่ายแพ้ครั้งนี้มีบทสรุปว่า “การยึดครองที่ถาวรนั้น มิอาจได้มาด้วยอาวุธ การยึดครองอย่างเบ็ดเสร็จถาวร โดยผู้ถูกยึดครองจะสยบยอมพร้อมอยู่ใต้อำนาจ และสนองความต้องการผู้ยึดครองได้เสมือนดั่งทาส คือการยึดครองพื้นที่ทางสมองเท่านั้น” จึงมีการค้นคว้าและวิจัยในโครงการหนึ่งเรียกว่า “Change Human Mankind Project” ซึ่งเป็นต้นแบบของแผน “ONE WORLD ORDER” ที่ประเทศมหาอำนาจใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งคนไทยเรียกว่า “โลกาภิวัฒน์” อันหมายถึงประเทศทุกประเทศในโลกจะถูกปกครองโดยประเทศมหาอำนาจประเทศนี้เท่านั้น

ในช่วงของปี ๒๕๒๕ ได้มีการนำโครงการ Change Human Mankind Project มาประสานรวมกับคำสั่งประมุขศาสนาคริสต์ซึ่งเรียกว่า VATICAN COUNCIL 2 ซึ่งเป็นแผนงานที่มีจุดประสงค์ ในการกลืนพระพุทธศาสนา ให้เป็นคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิค ทั้ง ๒ แผนนี้ได้ใช้ปฏิบัติการในประเทศไทย มีหลักฐานยืนยันปฏิบัติการนั้น ทั้งนี้โดยมีเป้าหมายในการแบ่งผลประโยชน์ อันจะได้รับจากการยึดครองเศรษฐกิจ ของประชาชน และประเทศชาติ ทั้งนี้ได้จัดกลุ่มองค์กร บุคลากรเข้าแทรกซึมเข้าสู่พระพุทธศาสนา เพื่อทำให้คลาดเคลื่อนจากพระธรรม คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นลักษณะคล้ายกับเชื้อโรคร้ายแรง ที่แทรกระบาดทำลายพระพุทธศาสนา หากจะเรียกก็คงไม่ผิดไปจากคำว่า “ไวรัสศาสนา” อันเป็นมหันตภัยอย่างร้ายแรง สำหรับสถาบันศาสนาอันเป็นหลักแห่งความมั่นคงของชาติ ซึ่งกลุ่ม “ไวรัสศาสนา” ได้แพร่เชื้อขยายพันธ์ เข้าทำลายองค์กรปกครองคณะสงฆ์ โดยมีเป้าประสงค์ ในการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองคณะสงฆ์ไทย อันพระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานแผ่นดินให้ทั้งประเทศเป็นดินแดนพระพุทธศาสนา จึงเรียกว่าสังฆมลฑล มีกฎหมายรับรองอำนาจไว้ชัด มีองค์สมเด็จพระสังฆราชปกครองและบัญชาการ แต่ขบวนการล้มพุทธ โดยกลุ่มไวรัสศาสนา ได้ใช้อิทธิพลทางการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ใช้อำนาจครอบงำบังคับพระภิกษุในพุทธศาสนา ป้อนยาพิษทางสมองให้กับประชาชน และเยาวชนไทย โดยยึดครองกระทรวงศึกษาธิการอันหมายถึงมหันตภัยของชาติในอนาคต การดำเนินการตามแผนประสานดังกล่าวนั้น จะเห็นได้โดยปกติในปัจจุบัน(พ.ศ.๒๕๔๒) ว่าประเทศไทยของเรานี้อยู่ในสภาพเช่นไร

ดังนั้น ข้อมูลที่แท้จริงซึ่งได้นำเสนอต่อท่านผู้อ่านนี้ ก็เพื่อให้เราซึ่งเป็นประชาชนคนไทยได้รับรู้ และเป็นพยานทางประวัติศาสตร์ว่าด้วยเหตุและปัจจัย ข้อแท้จริงใด ซึ่งทำให้เกิดมหันตภัยขึ้นในประเทศอันเป็นที่รักของเรา และใคร อะไร ? คือต้นเหตุที่ทำให้เกิดขึ้นนั้น ฉะนั้น สิ่งที่ท่านจะได้รับรู้รับทราบต่อไปนี้ คือความจริงที่มีอยู่จริง และเป็นจริง ไม่ต้องหาสมการใดพิสูจน์อีกต่อไป จึงมิใช่การหมิ่นประมาท หรือทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือองค์กรใด แต่เป็นข้อมูล หรือคู่มือย้ำเตือนพุทธศาสนิกชนไทย ให้หาทางป้องกัน “ไวรัสศาสนา” อันเป็นมหันตภัยของชาวพุทธโดยเร็วที่สุด


ดร. เบญจ์ บาระกุล
๒๐ ตุลาคม ๒๕๔๒

(หน้าปก - - - สารบัญ - - - อ่านต่อ)

1