ส่วยพระเจ้า

 

 

พระพุทธศาสนานั้นสืบทอดมาเกือบ ๓๐๐๐ปี ก็ด้วยแรงศรัทธาของพุทธบริษัท เป็นศาสนาแห่งเสรีภาพไม่มีชนชั้น วัดวาอารามพุทธศาสนสมบัติทั้งหลาย ล้วนแล้วเกิดขึ้นจากแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ที่ได้ปฏิบัติฝึกฝนตามพระพุทธพจน์ อันปรากฏในพระไตรปิฎกไม่มีชั้นวรรณะใดๆ จึงทำให้แผ่ขยายไปยังชนทุกหมู่เหล่าด้วยความเป็นเสรีภาพปราศจากการบังคับขู่เข็ญใดๆ ด้วยในพระสัทธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงให้เลิกละ ไม่ยึดติดใน ลาภ ยศ สรรเสริญ ปล่อยเสียซึ่งความโลภ เมตตาอารีแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก จึงเป็นส่วนหนึ่งแห่งขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม และสังคมไทย ให้ดำรงคงอยู่ได้ด้วยความสงบสุขสมบูรณ์

ท่านผู้อ่านก็คงสงสัยอยู่ในใจนะครับว่า ทำไมผมจึงไปจงเกลียดจงชังคริสต์ศาสนาหรือ จึงเขียนโจมตีอย่างสาดเสียเทเสีย ไม่ถูกต้องเลยที่ทำอย่างนี้ผมเชื่อครับว่าท่านต้องคิดเช่นนั้น ทุกอย่างย่อมมีที่มามีเหตุและปัจจัย มีความถูกต้องและความยุติธรรม ผมเองแต่ก่อนก็เคยมีความรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกับท่านผู้อ่านเหมือนกันว่าเหตุใด พระมหากษัตราธิราชเจ้าของในสมัยโบราณ รวมไปถึงมหาราชวีรกษัตริย์ไทยทั้งมวลในอดีต ก็ล้วนแล้วแต่ต่อต้านคริสต์ศาสนาโดยเอาชีวิตเข้าแลกทั้งสิ้น ต่อเมื่อได้ค้นคว้าแล้วจึงได้ข้อแท้จริงในความถูกต้อง ดังนี้

๑. วาติกัน มีฐานะเป็นประเทศหนึ่ง การประกาศศาสนาจึงอยู่ในลักษณะของการล่าเมืองขึ้น โดยทางการกรุงวาติกันมีชื่อว่า VATICAN CITY STATE เป็นรัฐอิสระ มีรัฐบาลของตนเอง มีกองทหารของตนเอง มีธนาคารของตนเอง มีสภาของตนเอง มีกระทรวงของตนเอง มีประมุขคือสันตะปาปา ประชาชนของประเทศใดๆ ที่นับถือคริสเตียนโรมันคาทอลิคนั้น จะต้องจงรักภักดีต่อสันตะปาปาเท่านั้น ไม่ใช่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์พระประมุขของประเทศนั้นๆ และพร้อมที่จะยึดดินแดนนั้นเพื่อเป็นอาณานิคมของกรุงวาติกัน

ดังนั้นพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในทุกสมัยจึงทรงทราบด้วยพระปรีชา ว่า ไม่ใช่เป็นศาสนาเพื่อความเชื่อ หรือเพื่อให้คนพ้นทุกข์ แต่เป็นการล่าเมืองขึ้นโดยอาศัยศาสนาเป็นเครื่องบังหน้าเท่านั้น เพราะมีผลประโยชน์แอบแฝงโดยจัดเก็บภาษีเถื่อนจากผู้นับถือคริสเตียนโรมันคาทอลิคด้วย นั่นหมายถึงทำให้ประชาชน และประเทศชาติ ต้องสูญรายได้ในการทำนุบำรุงประเทศ ไปจากการฉ้อฉล โดยการอ้างศาสนาบังหน้า และในปัจจุบัน (๒๕๔๒) แม้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญก็ระบุไว้ในมาตรา ๑ ว่า

"ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้" เมื่อเป็นดังนี้แล้วจะเรียกว่า ศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิค นั้นได้ละเมิดบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยเฉพาะในด้านความมั่นคง เอกราช อธิปไตยของชาติ ไม่ว่าจะพิสูจน์ทั้งทางด้านกฎหมาย การเมือง หรือการปกครอง ย่อมประจักษ์ทั้งสิ้น ดังนั้นพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ จึงทรงทราบและป้องกันประเทศ ให้พ้นจากศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิค ด้วยสาเหตุดังนี้

๒. ศาสนาคริสต์นั้น มีความแตกต่างจากพระพุทธศาสนาโดยสิ้นเชิงเนื่องจากพระพุทธศาสนาให้บริจาคตามแต่ศรัทธา แต่คริสต์ศาสนาจะบังคับให้ผู้ที่นับถือคริสเตียนโรมันคาทอลิคต้องนำเงิน ๑๐% จากรายได้ทั้งหมดนั้นให้กับพระเจ้า ถึงกับระบุไว้เป็นข้อบังคับใน คัมภีร์ไบเบิล มาลาคี บทที่ 3\6:12 ว่า

"ข้า เป็นพระเจ้า และ ข้าไม่เปลี่ยนแปลง.... เจ้าจะถามว่า เจ้าจะต้องทำอะไรเพื่อกลับมาหาข้า ข้าก็ขอถามเจ้าว่า เป็นการถูกต้องหรือ ที่คนจะทำการฉ้อโกงพระเจ้า เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องแน่ แต่เจ้าก็กำลังฉ้อโกงข้าอยู่ ฉ้อโกงอย่างไร ก็ฉ้อโกงโดยการไม่จ่ายภาษีหนึ่งในสิบ และไม่มอบเครื่องถวาย บูชา คำสาปแช่งจะตกอยู่กับพวกเจ้าทั้งหมดทุกคน เพราะทั้งประชาชาติกำลังฉ้อโกงข้า ฉะนั้น เจ้าจงนำภาษีหนึ่งในสิบ มาให้ครบถ้วนเพื่อถวายในโบสถ์ของข้า"

การเก็บภาษีเป็นหน้าที่ของรัฐบาลผู้เป็นเจ้าของประเทศนั้น สมัยปัจจุบันเรียกว่า "ประมวลรัษฏากร" ต้องผ่านสภาผู้แทนราษฏรจึงเรียกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายในการเรียกเก็บเงินจากรายได้ ร้อยละ ๑๐ โดยอ้างว่าพระเจ้าสั่งนั้น ไม่ผิดอะไรกับ "ภาษีเถื่อน ของพวกมาเฟีย" นับเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ทั้งทางด้านกฎหมายและ ทางด้านศาสนศาสตร์ เพราะเงินดังกล่าวต้องถูกส่งไปบำรุง "กรุงวาติกัน" มิใช่ส่งให้รัฐเพื่อสร้างเสริมความเจริญให้กับชนในชาติ

ดังนั้น ด้วยผลประโยชน์ "ร้อยละ ๑๐" นี้เองจึงเป็นสาเหตุให้ศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิค พยายามทุกวิถีทางที่จะทำลายพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะประเทศไทยอันเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์เรื่องอาหารและการเกษตรของโลก เพื่อความกระจ่างลองพิจารณารายละเอียดโครงสร้างของรัฐบาลวาติกัน ว่าเป็นศาสนจักร หรืออาณาจักร(ประเทศ)กันแน่ ดังปรากฏระบบการบริหาร ดังนี้

- การบริหารงานศูนย์กลางที่กรุงโรม โดย

๑. องค์สันตะปาปา

๒. สภาสากล และสมัชชาบิชอพสากล

๓. บาทหลวงผู้สอนศาสนา

- สันตะปาปา จะสั่งการโดยผ่านสำนักงานคือ

๑. สำนักงานเสมียนตรา (The Apostolic Chancery) มีหน้าที่โต้ตอบหนังสือ

๒. สำนักงานพระคลัง (The Prefaceture for Financial Affairs of The Holy See) มีหน้าที่จัดการเรื่องทรัพย์สินฝ่ายแผ่นดินของศาสนจักร (ที่ดินของคริสเตียนในโลก)

๓. สำนักงานเลขาธิการแห่งรัฐ (Secretariat of State) มีหน้าที่ติดต่อกับต่างประเทศ (คือกระทรวงการต่างประเทศ มีทูตประจำประเทศต่างๆ ด้วย)

- ศาลเฉพาะตน (โรมันคาทอลิค) มี ๓ ศาล คือ

๑. ศาลเกี่ยวกับศีลแก้บาป (Sacred Apostolic Paenitentiary) ตัดสินคดีเรื่องที่ชาวคริสต์เตียนโรมันคาทอลิคทำผิด (ในประเทศไทยเคยมีประเด็นที่คนคริสเตียนขึ้นศาลนี้มาแล้ว ในสมัยรัชกาลที่ ๕ กรณีพระยอดเมืองขวาง )

๒. กงจักรโรมัน (Sacred Roman Rota) ตัดสินคดีภายนอก เช่น เกี่ยวกับการหย่าร้าง การแต่งงาน

๓. ศาลฎีกา (Supreme Tribunal of the Apostolic Signature) เป็นศาลสูงสุดมีสันตะปาปา เป็นประธาน

- กระทรวงและสำนักงานเลขาธิการ (ปัจจุบันมี ๑๐ กระทรวง)

๑. กระทรวงพระสัจธรรม

๒. กระทรวงเกี่ยวกับมุขนายก (แต่งตั้งสังฆราช)

๓. กระทรวงเกี่ยวกับพระศาสนจักรตะวันออก (ดูแลผลประโยชน์ควบคุมภาคพื้นเอเซีย)

๔. กระทรวงศีลศักดิ์สิทธิ์ และคารวกิจ

๕. กระทรวงเกี่ยวกับบาทหลวงประจำมิชชัง

๖. กระทรวงเกี่ยวกับบาทหลวงประจำคณะ

๗. กระทรวงเผยแพร่พระวรสาร (ออกวรสารแถลงกิจ Vatican Bulletin)

๘. กระทรวงพิจารณาบันทึกนามนักบุญ (บันทึกชื่อผู้ที่หาผล ประโยชน์ให้กับวาติกันได้มากที่สุด)

๙. กระทรวงการศึกษาคาทอลิค

๑๐. กระทรวงโฆษณาเผยแพร่ศาสนา (The Secret Congregation of Propaganda) ปฏิบัติตามแผน VATICAN COUNCIL 2 แบบมิชชั่น

- สำนักงานเลขาธิการเพื่อผู้ไม่นับถือศาสนาคริสต์(Secret for Non- Chistians) ปฏิบัติตามแผน VATICAN COUNCIL 2 แบบไดอาล็อค

(ในแต่ละกระทรวงจะมีคาดินัลทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีว่าการ(Prefect) และมีเลขาธิการ(Secretary) กับรองเลขาธิการ (Undersecretary) ร่วมกันรับผิดชอบ)

จากผังการบริหารนี้จะเห็นได้ว่า วาติกัน อันเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิค คือประเทศๆ หนึ่ง มิใช่องค์กรศาสนาใดๆ ดังนั้นจึงมิใช่เป็นเรื่องปกติธรรมดาดั่งเช่นการเผยแพร่ศาสนาทั่วๆ ไป แต่ความเป็นจริงก็คือการ "ล่าผลประโยชน์" ดีๆ นี่เอง หรือใครว่าไม่จริง ??? มันมีที่ไหนพระเจ้าสั่ง "ให้จ่ายภาษีเถื่อนร้อยละ ๑๐ หากไม่จ่ายจะลงโทษ" อย่างนี้ก็มีด้วย นี่เข้าข่ายกรรโชกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๒๗ หรือเปล่า ดูซิครับเขาว่าไง ?

" ...... เจ้าจงนำภาษีหนึ่งในสิบให้ครบถ้วน เพื่อถวายในโบสถ์ของข้า .....ข้าจะไม่ส่งแมลงลงไปทำลายพืชผลของเจ้า"

มันก็น่าแปลกใจว่า เป็นถึงพระเจ้า สร้างโลก สร้างจักรวาลได้ ทำไมจึงมารีดไถเอากับมนุษย์ที่ต้องทำมาหา กินด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน เลยเกิดความสงสัยว่า เป็นพระเจ้าหรือเป็นมาเฟีย และที่ส่งขบวนการมาทำลายล้างพระพุทธศาสนาอยู่นี่ก็คงเพราะผลประโยชน์ ๑๐% กระมัง ?? ด้วยหลักฐานดังกล่าวผมจึงต้องเขียนตามความเป็นจริง ในสิ่งที่พิสูจน์ได้หรือใครเถียง ? มีที่ไหนประกาศยึดพระพุทธศาสนาเอาดื้อๆ มีหลักฐานปรากฎการเรียกเก็บผลประโยชน์ ซึ่งปรากฏดังนี้

"......โป๊ปและบาทหลวงแห่งวาติกัน และในส่วนอื่นๆ แสวงหาอำนาจ และรายได้ทุกวิถีทาง นอกจากการเก็บภาษีหนึ่งในสิบหรือ ๑๐% ของทรัพย์สมบัติทุกชนิด (ของผู้นับถือคริสต์) และการมอบเครื่องถวายอื่นๆ ตามที่บังคับไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ลแล้ว ยังมีการเรียกร้องบรรณาการพิเศษอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขายบัตรเบิกทางไปสวรรค์ อันเป็นการขูดรีดชาวบ้านผู้ยากจนทุกวิถีทาง จนถึงกับมีคำกล่าวว่า "สมบัติของวาติกันทุกชิ้น เป็นสมบัติของโจรทั้งสิ้น..."

ดังนั้น จึงได้มีการดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ในทุกรูปแบบ โดยการกลืน ทำลายขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ รวมไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ หากกษัตริย์นั้นไม่ยอมเข้ารีต (เป็นเมืองขึ้น) ของวาติกัน คำกล่าวที่ว่า "ผู้ไม่นับถือพระเจ้าคือศัตรูของพระเจ้า ต้องถูกกำจัด" จึงไม่เว้นแม้สถาบันพระมหากษัตริย์หากไม่ทรงเข้ารีตนับถือคริสเตียน เพราะไม่จ่ายภาษีร้อยละ ๑๐ ให้กับพระเจ้า เท่ากับเป็นผู้ที่ฉ้อโกงพระเจ้าตามระบุไว้ในคัมภีร์ไบเบิล ประเทศไทยมีพื้นฐาน ทางวัฒนธรรมจากพุทธศาสนา ความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา ผู้มีพระคุณ ต่อแผ่นดินเกิด และชาติ พระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่คริสต์ศาสนา สอนว่าให้กตัญญูต่อสันตะปาปาตัวแทนของพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นการประกาศสงครามทำลายล้างกันอยู่โดยโจ่งแจ้งในคำสอน และนั่นคือเส้นทางแห่งความสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดินโดยแท้ท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจบ้างแล้วว่า เหตุใดพระมหากษัตริย์ไทยและนักรบผู้กล้าทั้งหลายในอดีต จึงใช้ชีวิตเลือดเนื้อ ปกป้องแผ่นดินจากการรุกราน โดยการใช้ศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิคล่าอาณานิคม รักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติ ให้พ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของรัฐวาติกันตลอดมา ก็ด้วยเหตุผลที่กล่าวมานี้ และสิ่งที่ปรากฏเป็นพยานหลักฐานยืนยันในปัจจุบัน (พ.ศ.๒๕๔๒) ว่าประเทศที่ถูกขูดรีด(ส่วยพระเจ้า ๑๐%) จากคริสเตียนโรมันคาทอลิคเป็นประเทศที่ยากจนที่สุด เช่น ประเทศเอธิโอเปีย โรมาเนีย อัลเซวาดอ ฮอนดูรัส เม็กซิโก ชิลี อาเย็นติน่า อัลบาเนีย ฯลฯ และประเทศเหล่านี้ล้วนเคยมี ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปวัฒนธรรม และกษัตริย์ปกครองอยู่ทั้งสิ้นในอดีต แต่ก็ถูกโค่นล้มโดย คริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิคในที่สุด ลักษณะเช่นนี้ได้เกิดขึ้นมาแล้วในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ คือประเทศเวียตนามเพื่อนบ้านเรานี่เอง จึงอยากจะยกมาเป็นอุทาหรณ์ เพื่อการศึกษาวิเคราะห์ เพราะเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในเวียตนาม เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทุกประการ


(หน้าปก - - - สารบัญ - - - อ่านต่อ)

1