ถ้าเราเปิดหนังสือทุกเล่มที่เขียนกันในสมัยปัจจุบันอันว่าด้วย
ต้นเหตุของการเกิดศาสนาแล้ว
จะเห็นว่าเขาเขียนไว้เหมือนๆ
กันตรงที่ว่า
คนป่าดั้งเดิมกลัวฟ้าผ่า
ฟ้าร้อง กลัวความมืด กลัวพายุ
กลัวสิ่งต่างๆ
ที่อยู่เหนือความเข้าใจหรือความต้านทานของคนป่าเหล่านั้น
และวิธีที่จะหลบหลีกอันตรายก็คือต้องแสดงอาการยอมแพ้หมอบกราบอ้อนวอนบูชา
แล้วแต่คนที่ฉลาดที่สุดในสมัยนั้นเห็นว่าจะต้องทำตามที่ตนนึกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือผีเหล่านั้นจะชอบใจ
นี่นับว่า ศาสนาเกิดขึ้นมาในโลกด้วยอำนาจของความกลัว
และมีการปฏิบัติไปตามความกลัว ความกลัวของคนชั้นหลังๆ เลื่อนสูงขึ้นมาถึงความกลัวทุกข์ชนิดที่อำนาจทางวัตถุช่วยไม่ได้ เช่น ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความหม่นหมองมืดมัว เพราะอำนาจของความอยาก ความโกรธ ความหลงผิด ถึงแม้คนเราจะมีอำนาจหรือเงินทองสักเท่าไร ก็ไม่สามารถระงับอาการอันโหดร้ายของความทุกข์เหล่านั้นได้ ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่เจริญด้วยนักคิด นักค้นคว้า ผู้มีสติปัญญาทั้งหลาย จึงได้ละทิ้งการไหว้บรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาทำการค้นหาวิธีเอาชนะความเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือเอาชนะความอยาก ความโกรธ ความหลงผิดให้ได้ นี่นับว่าเป็น บ่อเกิดของศาสนาที่สูงขึ้นไปในทางปัญญา ในที่สุดก็ได้พบวิธีที่จะเอาชนะความเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือเอาชนะกิเลสต่างๆได้ | |
สำหรับพระพุทธศาสนา
ก็มีมูลมาจากความกลัวแบบหลังนี้เหมือนกัน
พระพุทธเจ้า
เป็นผู้พบวิธีที่จะเอาชนะสิ่งที่คนกลัวได้เต็มตามความประสงค์
และเกิดวิธีปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ชนิดที่เรียกว่า
พระศาสนา พุทธศาสนาแปลว่า
ศาสนาของผู้รู้ เพราะ พุทธะ
แปลว่าผู้รู้
คือรู้ความจริงของสิ่งทั้งปวงได้ถูกต้อง
เพราะฉะนั้น พุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาที่อาศัยสติปัญญา
หรืออาศัยความรู้ที่ถูกต้องเพื่อทำลายความทุกข์และต้นเหตุของความทุกข์เหล่านั้น การทำพิธีรีตอง เพื่อบูชาบวงสรวง อ้อนวอนบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ไม่ใช่พระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าไม่รับเข้ามาไว้ในศาสนาของพระองค์เลย เพราะเป็นสิ่งที่น่าขบขัน น่าหัวเราะ และถือเป็นที่พึ่งอันแท้จริงไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธการกระทำเช่นนั้นโดยสิ้นเชิง มีคำกล่าวในพระพุทธศาสนา ความรู้ ความฉลาด และความสามารถ ที่จะทำให้สำเร็จประโยชน์นั้นแหละ เป็นตัวฤกษ์ที่ดี อยู่ในตัวมันเองแล้ว ดวงดาวในท้องฟ้าจะทำอะไรได้ ประโยชน์ที่ควรจะได้ก็ผ่านคนโง่ๆ ที่มัวแต่นั่งคำนวณดวงดาวในท้องฟ้าไปเสียสิ้น ดังนี้ และว่า ถ้าน้ำศักดิ์สิทธิ์ในแม่น้ำคงคา ฯลฯ จะทำให้คนหมดบาปหมดทุกข์ได้แล้ว พวกเต่า ปู ปลา หรือหอยที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์นั้น ก็จะหมดบาปหมดทุกข์ไปด้วยน้ำนั้นเหมือนกัน หรือ ถ้าหากว่าคนจะพ้นทุกข์ได้ด้วยการบวงสรวงบูชา อ้อนวอนเอาๆ แล้ว ในโลกนี้ก็จะไม่มีใครมีความทุกข์เลยเพราะว่า ใคร ๆ ต่างก็บูชาอ้อนวอนเป็น โดยเหตุที่ ยังมีคนที่มีความทุกข์ทั้งที่ได้กราบไหว้บูชาหรือทำพิธีรีตองต่าง ๆอยู่ จึงถือว่าไม่เป็นหนทางที่จะเอาตัวรอดได้ ฉะนั้นเราจะต้องพิจารณาโดยละเอียดลออให้รู้ ให้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรแล้วปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆ ให้ถูกต้อง | |
พุทธศาสนาไม่ประสงค์การคาดคะเน
หรือทำอย่างที่เรียกว่าเผื่อจะเป็นอย่างนั้นเผื่อจะเป็นอย่างนี้
เราจะทำไปตรงๆตามที่มองเห็นด้วยปัญญาของตัวเอง
โดยไม่ต้องเชื่อคนอื่น
แม้จะมีคนอื่นมาบอกให้
ก็ไม่ได้หมายความว่า
จะต้องเชื่อเขาทันที
เราจะต้องฟังและพิจารณาจนเห็นจริงว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้
แล้วจึงจะเชื่อ
และพยายามทำให้ปรากฏผลด้วยตนเอง | |
ศาสนาเหมือนกับของหลายเหลี่ยม ดูเหลี่ยมหนึ่งมันก็เป็นไปอย่างหนึ่ง
แล้วแต่ว่าบุคคลนั้นจะถือหลักการคิดในแนวไหนก็จะเห็นศาสนาเดียวกันในลักษณะที่แตกต่างกัได้
แม้พุทธศาสนาก็อยู่ในลักษณะเช่นนี้ คนเราย่อมเชื่อความคิดของตัวเอง เพราะฉะนั้น ความจริงหรือสัจจะสำหรับคนหนึ่งๆ นั้น มันอยู่ตรงที่ว่าเขาเข้าใจและมองเห็นเท่าไรนั้นเอง สิ่งที่เรียกว่า ความจริง ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน คนเราเข้าถึงปัญหาหนึ่งๆ ได้ตื้นลึกกว่ากัน หรือด้วยลักษณะที่ต่างกันและด้วยสติปัญญาที่ต่างกัน สิ่งใดที่อยู่เหนือสติปัญญสความรู้ความเข้าใจของตน หรือตนยังไม่เข้าใจ คนนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นความจริงของเขา ถ้าเขาจะพลอยว่าจริงไปตามผู้อื่นเขาก็รู้สึกแก่ใจว่า ไม่เป็นความแท้ความจริงของเขาเลย | |
ความจริงของคนหนึ่งๆ นั้น
จะเดินคืบหน้าได้เสมอ
ตามสติปัญญา
ความรู้ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นทุกๆวัน
จนกว่าจะถึงความจริงขั้นสุดท้าย
คนเรามีการศึกษามาต่างกัน
และมีหลักพิจารณาสำหรับเชื่อต่าง
ๆ กัน ฉะนั้น
ถ้าจะเอาสติปัญญาที่ต่างกันมาดูพุทธศาสนาก็จะเกิดความคิดเห็นต่างกันไป
ทั้งนี้เพราะว่าพุทธศาสนาก็มีอะไร
ๆ ครบทุกอย่างที่จะให้คนดู ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว พุทธศาสนาคือวิธีปฏิบัติ เพื่อเอาตัวรอดจากความทุกข์ โดยการกระทำให้รู้ความจริงว่า อะไรเป็นอะไร ตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงทำได้ก่อนและได้ทรงสอนไว้ แต่คัมภีร์ทางศาสนานั้นย่อมมีอะไร ๆ เพิ่มขี้นได้ทุกโอกาสที่คนหลังเขาจะเพิ่มเติมลงไป พระไตรปิฎกของเราก็ตกอยู่ในฐานะอย่างเดียวกัน คนชั้นหลังๆ เพิ่มเติมข้อความเข้าไปตามที่เห็นว่าจำเป็นสำหรับยุคนั้น ๆ เพื่อจะช่วยให้คนมีศรัทธามากขึ้น ๆ หรือกลัวบาปรักบุญมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะมากเกินขอบเขตจนกระทั่งเกิดการเมาบุญกันใหญ่ แม้พิธีรีตองต่าง ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นและเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาเพียงเล็กๆน้อยๆ ก็พลอยถูกนับเข้าเป็นพุทธศาสนาไปด้วยอย่างน่าสมเพช เช่น การจัดสำรับคาวหวานผลหมากรากไม้เพื่อเซ่นวิญญาณของพระพุทธเจ้าอย่างที่เรียกว่าถวายข้าวพระ เป็นต้น. มันเป็นสิ่งที่มีไม่ได้ตามหลักของพระพุทธศาสนา แต่พุทธบริษัทบางพวกเข้าใจนี่เป็นพุทธศาสนา และได้สอนกันถือกันอย่างเคร่งครัด | |
พิธีรีตองต่างๆ ทำนองนี้ ได้เกิดขึ้นอย่างหนาแน่นมากมายจนหุ้มห่อของจริง หรือความมุ่งหมายได้สาปสูญไป ขอยกตัวอย่างเช่นในเรื่อง การบวชนาค ก็เกิดมีพิธีทำขวัญนาค เชื้อเชิญแขกมาเลี้ยงดูกันอย่างเมามายเอิกเกริก ทำพิธีทั้งวัดและบ้านบวชไม่กี่วันวันก็สึกออกมา แล้วกลายเป็นคนเกลียดวัดยิ่งกว่าเดิมก็มี นี่ขอให้คิดดูเถิดว่า สิ่งไม่เคยมีในพุทธกาลก็ได้มีขึ้น |