การบวชสมัยพระพุทธเจ้า นั้นหมายความว่าบุคคลใดที่ได้รับอนุญาตจากบิดามารดาแล้ว ก็ปลีกตัวจากบ้านเรือนเป็นคนที่ทางบ้านตัดบัญชีทิ้งไปได้ ไปอยู่กับพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ โอกาสเหมาะเมื่อไหร่ท่านก็บวชให้ โดยมิได้พบหน้าบิดา มารดาญาติพี่น้องเลยจนตลอดชีวิตเลยก็มี แม้บางรายจะมีการจะมีกลับมาเยี่ยมบิดามารดาก็ต่อโอกาสหลังซึ่งเหมาะสม แต่ก็มีน้อยเหลือเกินในพระพุทธศาสนามีระเบียบว่ามาบ้านได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุผลพอสมควร และพึงทราบไว้ด้วยว่าพวกที่บวชนั้นไม่ได้เวียนมาบ้าน ไม่ได้บวชในที่ต่อบิดามารดา ไม่ได้ฉลองกันเป็นการใหญ่แล้วไม่กี่วันก็สึกสึกแล้วก็ไม่มีอะไรดีขึ้นไปกว่าเดิม อย่างที่เป็นกันอยู่เวลานี้ เราหลงเรียกว่าการทำขวัญนาค และการทำพิธีต่าง ๆ ตลอดถึงการฉลองอะไร ๆ เหล่านั้น ว่าเป็นพุทธศาสนาแล้วก็นิยมทำกันอย่างยิ่ง จนหมดเปลืองทรัพย์ของตนหรือของคนอื่นเท่าไรก็ไม่ว่า พุทธศาสนาใหม่ ๆ อย่างนี้เกิดมากมายแทบจะทั่วไปทุกแห่ง ธรรมะหรือของจริงที่เคยมีมาแต่ก่อนนั้น ถูกหุ้มห่อด้วยพิธีรีตองจนมิด เกิดมุ่งหมายผิดไปอย่างอื่นไป เช่นการบวชก็กลายเป็นเรื่องแก้หน้าเด็กหนุ่ม ๆ ที่ถูกหาว่าเป็นคนดิบ หาเมียยากอะไรเหล่านี้เป็นต้น ในบางถิ่นบางแห่ง ถือเป็นโอกาสสำหรับรวบรวมเงินที่มีผู้นำมาช่วย เป็นการหาทางร่ำรวยเสียคราวหนึ่ง ถึงอย่างเขาก็เรียกว่าพุทธศาสนา ใครไปตำหนิติเตียนเข้าก็จะถูกหาว่าไม่รู้จักพระพุทธศาสนา หรือทำลายศาสนา


        อีกเรื่องหนึ่ง ตัวอย่าง เช่น กฐิน : พระพุทธองค์ทรงมุ่งหมายจะให้ภิกษุทำจีวรเป็นด้วยตนเองกันทุกรูป และให้พร้อมเพรียงกันทำด้วยมือในเวลาอันรวดเร็ว ถ้าผ้าที่ช่วยกันนั้นมีพื้นเดียวก็มอบให้เป็นกรรมสิทธิ์ของพระภิกษุองค์ใดองค์หนึ่ง ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเป็นเจ้าอาวาส แต่ภิกษุซึ่งหมู่สงฆ์เห็นว่ามีคุณสมบัติที่จะใช้จีวรผืนนั้นได้หรือขาดแคลนผ้าจะใช้สอย ให้เป็นผู้ใช้จีวรผืนนั้นได้ในนามของสงฆ์ทั้งหมด


        พระองค์ทรงมุ่งหมายจะให้พระทุกรูปหมดความนับถือเนื้อถือตัว
ไม่ว่าจะเป็นพระผู้น้อย สมภารเจ้าวัดหรือพระผู้ใหญ่มีศักดิ์มีเกียรติอะไรก็ตาม ต้องลดตัวลงมาเป็นกุลีกันหมดในวันนั้นเพื่อจะมาระดมกันกะผ้าตัดผ้าเย็บผ้า ต้มแก่นไม้ทำสีย้อมผ้า และอะไร ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะให้จีวรนั้นสำเร็จได้ในวันนั้น เพราะเป็นการรวบรวมเอาเศษผ้ามาต่อกันเป็นจีวร พระพุทธเจ้าท่านทรงมุ่งหมายให้สิ่งที่เรียกว่ากฐินเป็นอย่างนั้น คือไม่ต้องไปเกี่ยวกับฆราวาสเลยก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้กฐินกลายเป็นเรื่องมีไว้สำหรับประกอบพิธีหรูหราหาเงินเอิกเกริกเฮฮาสนุกสนาน พักผ่อนหย่อนใจโดยไม่ได้รับผลสมความมุ่งหมายอันแท้จริง แต่กลับใช้เวลามาก เปลืองเงินมากยุ่งยากมาก จนกลายเป็นโอกาสสำมะเลเทเมา คือไปทอดกฐินเพื่อกินเหล้ากินปลาเล่นไพ่เฮฮากันอย่างสนุกสนานหรือไม่ก็มุ่งหน้าหาเงินเท่านั้น


        พุทธศาสนา “ เนื้องอก “ ทำนองนี้ มีขึ้นใหม่ ๆ มากมายหลายร้อยอย่างโดยไม่ต้องระบุชื่อ เพราะมากจนระบุไม่ไหว แต่อยากจะให้เชื่อว่า “ พุทธศาสนาเนื้องอก “ เป็นเนื้อร้ายชนิดหนึ่งซึ่งงอกขึ้น ๆ จนปิดบังห่อหุ้มเนื้อดีหรือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาให้ค่อย ๆ ลบเลือนไป ด้วยเหตุฉะนี้แหละสิ่งที่เราเรียกว่าพุทธศาสนา ๆ จึงมีเพิ่มขึ้นมากมายหลายประเภทจากตัวแท้ ของศาสนาที่มีอยู่ดั้งเดิม เกิดเป็นนิกายใหญ่และนิกายย่อย ๆ อึกตั้ง 20-30 นิกาย ที่กลายเป็น นิกายตันตระ ที่เนื่องกับกามารมณ์ไปก็มี จำเป็นที่จะต้องแยกแยะให้รู้จักตังพุทธศาสนาเดิมแท้ไว้เสมอจะได้ไม่หลงงมงายยึดถือเปลือกที่ห่อหุ้มภายนอกหรือติดแน่นในพิธีตองต่างๆ จนเป็นการประพฤติผิดไปจากความมุ่งหมายเดิมที่ถูกต้องยิ่งขึ้น


        เราควรยึดกายวาจาบริสุทธิ์ให้เป็นที่ตั้งของจิตบริสุทธิ์เพื่อให้เกิดปัญญารู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก แล้วประพฤติปฏิบัติไปตามนั้น อย่าได้ถือว่าเขาว่าเป็นพุทธศาสนาแล้ว ก็เป็นพระพุทธศาสนา เนื้องอกนั้นได้งอกมาแล้วนับตั้งแต่วันหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน และยังงอกเรื่อย ๆ มา กระจายไปทุกทิศทุกทางจนกระทั่งบัดนี้เลยมีเนื้องอกก้อนโต ๆอย่างมากมาย


        พวกเราเองจะไปอ้างเอา “ พุทธศาสนาเนื้องอก “ มาถือว่าเป็นพุทธศาสนาไม่ได้ หรือ คนในศาสนาอื่นจะมาชี้ก้อนเนื้องอก เหล่านี้ ซึ่งมีอยู่อย่างน่าบัดสีอย่างน่าละอายว่าเป็นพระพุทธศาสนาก็ไม่ถูกเหมือนกัน คือไม่เป็นการยุติธรรมเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พระพุทธศาสนา แต่เป็น “เนื้องอก” พวกเราที่จะช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนาเพื่อให้เป็นที่พึ่งแก่คนทั้งหลาย หรือเพื่อประโยชน์แก่ตัวเราเองก็ตาม จะต้องรู้จักจับฉวยให้ถูกตัวแท้ของพระพุทธศาสนา ไม่ไปถูกชิ้นเนื้อร้ายเนื้อดังกล่าวมาแล้ว
        แม้พุทธศาสนาตัวแท้ก็ยังมีหลายแง่หลายมุม ที่จะทำให้เกิดการจับฉวยเอาไม่ถูกความหมายที่แท้ของพระพุทธศาสนาก็ได้

        ถ้ามองด้วยสายตาของนักศีลธรรม ก็จะเห็นว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งศีลธรรม (Moral) เพราะมีกล่าวถึงบุญบาป ความซื่อตรง ดีชั่ว กตัญญูกตเวที ความสามัคคี ความเป็นคนที่เปิดเผยตัวเอง และอะไรต่าง ๆ อีกมากมาย ล้วนแต่มีอยู่ในพระไตรปิฏกทั้งนั้น แม้ชาวต่างประเทศก็มองดูในส่วนนี้อยู่มากหรือว่าชอบพระพุทธศาสนาเพราะเหตุนี้อยู่มาก


        พุทธศาสนาอีกส่วนหนึ่ง สูงขึ้นไปเป็นสัจจรรม ( Truth ) คือ กล่าวถึงความจริงที่ลึกซึ้งเร้นลับนอกเหนือไปกว่าที่คนธรรมดาสามัญจะเห็นได้ ส่วนนี้ก็ได้แก่ความรู้เรื่องความว่างเปล่าของสรรพสิ่งทั้งปวง ( สุญญตา ) , เรื่องความไม่เที่ยง (อนิจจัง ) , ความเป็นทุกข์ ( ทุกขัง ) , ความไม่ใช่ตัวตน ( อนัตตา ); หรือเรื่องการเปิดเผยว่าทุกข์เป็นอย่างไร เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร ความดับสนิทของทุกเป็นอย่างไร และวิธีปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์เป็นอย่างไร ; ในฐานะเป็นความจริงอันเด็ดขาดที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ( อริยสัจจ์ ) ซึ่งทุกคนควรจะต้องรู้ จี้เรียกว่าพุทธศาสนาในฐานะเป็นสัจจธรรม


        พุทธศาสนา ในฐานะที่เป็นศาสนา ( Religion ) คือส่วนที่เป็นตัวระเบียบปฏิบัติ ซี่งได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา กระทั่งผลที่เกิดขึ้นคือความหลุดพ้น และปัญญาที่รู้เห็นความหลุดพ้น ว่าเมื่อปฏิบัติแล้วจะหลุดพ้นไปจากความทุกข์ได้จริง นี่เรียกว่า พุทธศาสนาในฐานะที่เป็นศาสนา


         เรายังมี พุทธศาสนาในเหลี่ยมที่เป็นจิตวิทยา ( Psychology ) เช่น คัมภีร์พระไตรปิฏกภาคสุดท้าย กล่าวถึงลักษณะชองจิตไว้กว้างขวางอย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด เป็นที่งงงันและสนใจแก่นักศึกษาทางจิตแม้แห่งยุคปัจจุบัน เป็นความรู้ทางจิตวิทยาที่จะอวดได้ว่าแยบคายหรือลึกลับกว่าความรู้ทางจิตวิทยาของโลกปัจจุบันไปเสียอีก

 

Back Home Up Next

1