ย้อนกลับไปไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ที่การถ่ายสติ๊กเกอร์เข้ามาใหม่
ๆ นั้น ข้าพเจ้าก็ตื่นตาตื่นใจ
กับการได้ถ่ายกับเขาเหมือนกัน
แต่มาวันนี้
การถ่ายสติ๊กเกอร์ก็ชวนให้ข้าพเจ้าสงสัยในพฤติกรรมการบริโภคของคนไทย
โดยเฉพาะวัยรุ่น
เดินไปมุมไหนของสยามก็จะเห็นร้าน
และตู้สติ๊กเกอร์วางเรียงรายเต็มไปหมด
ที่น่าประหลาดคือ
ทุกร้านจะเต็มไปด้วยลูกค้า
ที่ส่วนใหญ่เป็นนิสิต นักศึกษา
และนักเรียน
ข้าพเจ้าสงสัยมากว่า
พวกเขาเหล่านี้
ซึ่งจะต้องเป็นกำลังของชาติต่อไป
จะได้แม้กระทั่งตระหนักถึงสภาพเศรษฐกิจที่เรากำลังเผชิญหรือเปล่า
เพราะการถ่ายสติ๊กเกอร์ดังกล่าวได้สะท้อนให้เห็นถึง
"วัฒนธรรมการรับ" คือ
การที่เราเป็นฝ่ายรับไม่ว่าจะเป็นด้านวัตถุ
หรือความคิดจากผู้อื่น
เป็นวัฒนธรรมที่ receptive ไปแล้ว
ข้าพเจ้าไม่ได้ต่อต้านการถ่ายสติ๊กเกอร์
หรือกิจการนี้แต่อย่างใด
เพียงแต่รู้สึกว่าพฤติกรรมดังกล่าวมัน
"เกินความพอดี" เป็นจุดเล็ก ๆ
ของภาพเศรษฐกิจไทยโดยรวม
ที่ทำให้ฉุกคิดขึ้นมาว่า
วัฒนธรรมของคนไทย
จะเป็นวัฒนธรรม 'ที่รับ'
มากเกินไปหรือเปล่า
โดยที่ไม่รู้จักแยกแยะว่าอะไรจะดี
และพอดีสำหรับตนเอง
ทำให้โยงไปถึงสาเหตุของปัญหาเศรษฐกิจปัจจุบัน
ที่ค่อนข้างจะตอกย้ำความคิดนี้
คือ เราเลือก
ที่จะไปตามกระแสแห่งเสรีนิยม
(Liberalization) ทั้งด้านการเงินและการค้า
( finance and trade )
โดยที่ไม่ได้มองว่าตนพร้อมหรือยัง
มี regulations
ที่ดีพอที่จะรับมือกระแสนี้ไหวหรือไม่
ทั้งนี้
ข้าพเจ้าไม่ได้มีความคิดว่า
จะให้เราไปขวางโลก โดยไม่รับ
liberalization เพียงแต่มองว่า
ตัวเราเองยังไม่รู้เลยว่าจะจัดการกับมันอย่างไรดี
การเปิดเสรีโดยฉับพลันดังกล่าวก็ได้ทำให้เราเป็นรองอีกหลาย
ๆ
ประเทศที่เขาพร้อมมากกว่าเราอย่างแน่นอน
อะไรเล่าคือความพร้อม?
ข้าพเจ้ามองว่า มันคือ
การที่เราสามารถพัฒนาตนเอง
รู้จักเอาจุดดี
จุดเด่นของเราเองมาปรับแล้วแข่งกับคนอื่น
แต่การที่เราเป็นฝ่ายรับเสียส่วนใหญ่
และมักมองว่า "ของตะวันตก"
หรือ "ความคิดตะวันตก"
ต้องดีกว่าของเราเองนั้น
นี่หรือเปล่า
ที่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราไม่พัฒนาตนเอง
มองข้ามสิ่งดี ๆ ของสินค้า
"ไทยไทย"
ที่จะสามารถนำไปขายแข่งกับชาติอื่นได้
ในความคิดของข้าพเจ้า
มันหมดเวลาแล้ว
กับการที่จะมาโวยวายว่าเราเสียเปรียบประเทศตะวันตก
เราควรหันมาพัฒนาตนเอง
ส่งออกในสิ่งที่เรามีเป็นพิเศษ
บางคนสงสัยว่าขายอะไร?
แล้วจะแข่งกับเขาได้หรือ? จริง ๆ
แล้ว ตัวอย่างก็มีอยู่มาก
แต่ในที่นี้จะได้ยกตัวอย่างที่ใกล้ตัว
ตัวอย่างแรก คือ
การนำต้นไม้ไทย และกล้วยไม้ไทย
ไปขายต่างประเทศ ซึ่งขายดี
และเป็นสิ่งที่ต้องการ
ของชาวต่างชาติอย่างมาก
อีกกิจการหนึ่งที่น่าสนใจ คือ
การส่งออกเครื่องปรุงอาหารไทย
เช่น ใบกะเพรา โหระพา
ให้แก่ร้านอาหารไทย
ที่อยู่ต่างประเทศ
เพราะในขณะนี้กลับเป็นบริษัทของสิงคโปร์ที่ครองตลาดอยู่!
ข้าพเจ้าเชื่อว่า
เมืองไทยมีอะไรดีเด่นอีกมาก
เพียงแต่เรามองข้ามมันไป
การพัฒนาความพร้อมนั้นสามารถ
ทำได้ในหลาย ๆ ด้าน
การส่งออกสินค้าไทย ๆ
ก็เป็นอีกด้านหนึ่งที่ไม่ควรละเลย
เพราะจะสามารถทำให้เราแข่งกับคนอื่นได้อย่างแน่นอน. |