logo1-2.gif (14784 bytes)

Home
News and Articles
Discussion Forum
About Us
Sign our guestbook
button_mail2.gif (1724 bytes)
  title_articles.gif (4423 bytes)

An Introduction to The WTO
โดย จีระวัฒน์ ภูมิศรีแก้ว

Picture of Jirawat Poomsrikaew ( Umm )

                                        งานเขียนชิ้นนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับองค์การการค้าโลก   (WTO)   ที่ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1995 การมองเพื่อทำความเข้าใจความในตัว WTO นั้นเราจำเป็น จะต้องเข้าใจถึงความเป็นมา จุดมุ่งหมาย  และ หลักการขององค์การดังกล่าว โดยเฉพาะในเรื่อง ของความเป็นมา การทำความเข้าใจ WTO โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับ GATT   (General Agreements on Trade and Tariffs)   นั้นเป็นส่งที่เป็นไปไม่ได้ งานเขียนนี้เป็นการอธิบาย WTO ในแง่ของ มุมมองทางประวัติศาสตร์ โดยการอธิบายความเป็นจริงที่เกิดขึ้นว่ามีการพัฒนาไปอย่างไร งานเขียนนี้คงไม่มีประโยชน์มากนัก สำหรับผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประทศ โดยเฉพาะเศรษฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ   (International Political Economy)   แต่ คงมีประโยชน์บ้างสำหรับการทำความรู้จัก และ เข้าใจ WTO อย่างง่าย ๆ   สำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานมาก่อน

                อะไรคือองค์การการค้าโลก ??
        องค์การการค้าโลก   (WTO)   เป็นองค์การระหว่างประเทศแห่งเดียว ที่จัดการกับเรื่องกฎระเบียบทางการค้าระหว่างประเทศ หัวใจ ขององค์การการค้าโลกคือ ข้อตกลง ที่เกิดจากประเทศคู่ค้าต่างๆ ข้อตกลงเหล่านี้ เป็นกฎพื้นฐานทางกฎหมาย สำหรับการค้าระหว่างประเทศ   และ  เป็นสัญญา ที่มีข้อผูกมัดรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ให้ดำเนินตามกรอบของกฎเกณฑ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ถึงแม้กฎเกณฑ์ดังกล่าว จะลงนามโดยรัฐบาล  แต่ จุดมุ่งหมายของกฎเกณฑ์คือการช่วยให้ผู้ผลิต ผู้ส่งออก  และ  ผู้นำ เข้าดำเนินธุรกิจไปได้อย่างราบรื่น
จุดมุ่งหมายขององค์การการค้าโลก

        จุดมุ่งหมายขององค์การการค้าโลกประกอบไปด้วย 3 ประการ คือ
   1.การทำให้การค้าเป็นไปโดยราบรื่นมากที่สุด จุดมุ่งหมายนี้หมายถึงการพยายามยกเลิกอุปสรรคทางการค้าต่างๆให้หมดไป ซึ่งในเวลาเดียวกันจะเป็นการทำให้แน่ใจว่าเอกชน บริษัทห้างร้าน  และ รัฐบาลตระหนักว่า มีกฎระเบียบ ในการค้าระหว่างประเทศอยู่ ซึ่งจะเป็นการสร้างความมั่นใจว่า จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน ในเรื่องของนโยบาย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ กฎระเบียบต่างๆจะทำให้ การค้าระหว่างประเทศเป็นไปอย่างโปร่งใส และ คาดเดาได้


        2.การให้องค์การการค้าโลกทำหน้าที่เปรียบเสมือนเวทีสำหรับการเจรจาทางการค้า   และ เป็นสถานที่ ของการเจรจาโต้เถียงเพื่อให้ได้มาซึ่ง ข้อตกลงทางการค้าดังที่ได้กล่าวไปแล้ว


        3.องค์การการค้าโลกยังทำหน้าที่ในการสลายข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศที่เกิดจากการขัดกันของผลประโยชน์ ซึ่งองค์การการค้าโลกจะยึด หลักกฎหมายในการตัดสินความขัดแย้ง


        องค์การการค้าโลกถูกตั้งขึ้นเมื่อ 1 มกราคม 1995  แต่ ก่อนหน้านั้นระบบการค้าระหว่างประเทศ ได้ถูกตั้งมาตั้ง แต่ ปี 1948 ในชื่อของ GATT General Agreement on Tariff and Trade ตัวของ GATT เป็นเพียงความตกลงทางการค้าซึ่งพัฒนามาจากรอบของการเจรจา โดยครั้งสุดท้ายมีชื่อว่า Uruguay Round ซึ่งกินเวลาตั้ง แต่  1986-1994 ซึ่งในปีต่อมานั่นเองที่มีการก่อตั้งองค์การการค้าโลก

   หลักการการค้าระหว่างประเทศ

        ข้อตกลงภายใต้ WTO เป็นสิ่งที่ยาว และ มีความซับซ้อน เนื่องมาจากเป็นเรื่อง ทางกฎหมายซึ่งครอบคลุมกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย เช่น เกษตรกรรม สิ่งทอ เสื้อผ้า ธนาคาร การติดต่อสื่อสาร ฯลฯ  แต่ เมื่อเรามองถึงเรื่องของหลักการภายไต้ข้อตกลงดังกล่าวแล้วสามารถกล่าวได้เป็นห้าข้อดังนี้
1.Trade without Discrimination ประกอบไปด้วยหลักการย่อย 2 หลักการคือ


    1.1 Most-favoured-nation (MFN)  ภายไต้ข้อตกลงของ WTO ประเทศต่าง ๆ ไม่สามารถ เลือกกระทำอย่างแตกต่างกัน ระหว่างประเทศคู่ค้า การให้ข้อกำหนดพิเศษทางการค้ากับประเทศ หนึ่งหมายถึง ประเทศอื่น ๆ ที่เป็นสมาชิก WTO ย่อมได้สิทธิ์ในข้อกำหนดพิเศษเหล่านั้นด้วย โดย MFN มีความสำคัญมากโดยจากเห็นได้จากการที่เรื่องของ MFN เป็นข้อกำหนดข้อแรกใน GATT  และ มีความสำคัญในระดับแรก ๆ ใน General Agreement on Trade in Service  (GATS)   และ  Agreement on Trade-Related Aspects of Intellectual Property Rights  (TRIPS)   ถึงแม้ว่าหลักการนี้ จะถูกใช้แตกต่างกันบ้างเล็กน้อย ในความตกลงทั้งสาม  แต่ เรื่องของ MFN เป็นหลักกการสำคัญที่ WTO โดยรวมยึดปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม หลักการดังกล่าวก็มีข้อยกเว้น อย่างเช่น ประเทศในถูมิภาคเดียวกัน สามารถตั้งข้อกำหนดทางการค้า ที่ใช้เฉพาะประเทศในภูมิภาคเดียวกันโดยท ี่ไม่รวมถึงประเทศนอกกลุ่มได้ หรือ การที่ประเทศสามารถตั้งข้อจำกัดทางการค้าต่อประเทศหนึ่งประเทศใด โดยเฉพาะ หากประเทศนั้น ถูกพิจารณาว่าก่อให้เกิดการค้าที่ไม่เป็นธรรม เป็นต้น

1.2 Nation Treatment : Treating foreigners and locals equally สินค้านำเข้าหรือสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ สมควรที่จะได้รับการปฏิบัติ อย่างเท่าเทียมกัน อย่างน้อย หลังจากที่สินค้าที่นำเข้าได้เข้ามาถึงตลาดภายในประเทศแล้ว หลักการนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องของสินค้าเท่านั้น แต่ ยังรวมไปถึงเรื่องของการบริการ   และ เรื่องของลิขสิทธิ์ และ เครื่องหมายการค้าต่างๆ โดยทั่วไปหลักการนี้ใช้เมื่อสินค้านั้นๆได้เข้าสู่ตลาดแล้ว เพราะฉะนั้นการตั้งกำแพงภาษีไม่ถือว่าเป็นการผิดหลักการในข้อนี้

2. Freer trade : Gradually, through negotiation การลดอุปสรรคทางการค้าถือว่าเป็นแนวทางที่สำคัญในการกระตุ้นให้เกิดการค้า อุปสรรคทางการค้านั้นมีหลายอย่างประกอบไปด้วยกำแพงภาษี หรือ มาตราการในการการกีดกัน การนำเข้าเช่นการกำหนดจำนวนสินค้านำเข้า   (Quotas)  ตั้ง แต่ การก่อตั้ง GATT ขึ้นในช่วงปี 1947-1948 นั้นมีการเจรจาทั้งหมดแปดรอบการเจรจา โดยที่ครั้งแรกนั้นเป็นการเน้นในเรื่องของการลดกำแพงภาษีในสินค้านำเข้า โดยผลของการเจรจาในประเด็นนั้นในช่วงปลายปี 1980 อัตราภาษี ของประเทศอุตสาหกรรม ลดลงประมาณ 6.3 %  และ ในช่วงเวลานั้นเองที่การเจรจาได้ขยายตัวไปครอบคลุมเรื่องของอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี   และ เริ่มเข้าไปเกี่ยวข้องกับสินค้าบริการ และ เรื่องของเอกสิทธิ์ทางปัญญา

3.Predictability through binding      บางครั้งการสัญญาว่าจะไม่ขึ้นภาษีก็มีความสำคัญมากพอๆกับการลดภาษี เพราะการให้คำมั่นสัญญาเป็นการทำให้หน่วยธุรกิจสามารถมองเห็นลู่ทางได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น การลงทุน และ การสร้างงานจะเกิดขึ้นภายใต้ความมีเสถียรภาพ และ ความสามารถคาดการได้ของสถานการณ์ที่เป็นอยู่ โดยที่ลักษณะดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นภายใต้ระบบการค้าหลายฝ่ายภายใต้ WTO


        ใน WTO เมื่อประเทศต่างๆตกลงที่จะเปิดตลาดเพื่อการนำเข้าสินค้า และ บริการประเทศเหล่านั้นถือว่าได้ผูกมัดตัวเอง และ มีความรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าว ประเทศต่างๆสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงข้อตกลงต่างๆที่ตัวเองได้ตกลงไว้   แต่ จะทำเช่นนั้นได้ต่อเมื่อได้มีการเจรจากับคู่ค้าที่ตกลงไว้ก่อนแล้ว ซึ่งการเจรจานี้อาจหมายถึงการชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงนั้นๆ ความสำเร็จอันหนึ่ง ของการประชุมรอบ Uruguay คือการเพิ่มขึ้นของปริมาณการค้าภายใต้ข้อผูกมัดหรือข้อตกลงในลักษณะนี้

        The Uruguay Round Increased Binding
  Percentage of tariffs bound before and after 1986-1994 talks

  BEFORE AFTER
Developed countries 78 99
Developing countries 21 73
Transition economies 73 98


        4. Promoting Fair Competition
บางครั้ง WTO ถูกมองว่าเป็นสถาบันเพื่อการค้าเสรี ซึ่งความคิดนี้ไม่ได้ถูกต้องเสียทีเดียว ระบบภายใต้ WTO นี้อนุญาตให้มีการตั้งกำแพงภาษี   และ การกีดกันทางการค้าได้บ้างในบางสถานการณ์ ซึ่งถ้าจะพูดให้ถูกแล้วสถาบันนี้เป็นสถาบันของระบบที่เอื้อต่อการเปิดการแข่งขันทางการค้าซึ่งยึดหลักความเป็นธรรม และ ความถูกต้อง      เรื่องการไม่กีดกันทางการค้าเป็นกฎที่ถูกสร้างมาเพื่อประกันความเท่าเทียมกันในการค้า ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องของความเป็นธรรมนี้ เป็นเรื่องที่มีความสลับซับซ้อน   แต่ กฎต่างๆเหล่านี้พยายามที่จะบอกว่าสิ่งใดเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมในการค้าระหว่างประเทศ และ รัฐบาล ของประเทศที่เสียหายสามารถตอบโต้ อย่างไรจากการค้าไม่เป็นธรรมดังกล่าว โดยเฉพาะในแนวทางของการเก็บภาษีเพิ่มเติมให้มีจำนวนพอๆกับค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการค้าที่ไม่เป็นธรรมดังกล่าว

        กฎระเบียบหลายๆอย่างของ WTO เป็นการสนับสนุนการแข่งขันอย่างเป็นธรรมทั้งเรื่องของการเกษตรกรรม ลิขสิทธิ์ทางปัญญา การบริการเป็นต้น ซึ่งเห็นตัวอย่างได้จาก The Agreement of Government Procurement ซึ่งเป็นการขยายกฎของการแข่งขันระหว่างประทศให้รัฐบาลประเทศต่างๆทั่วโลกที่ลงนามจะยึดถือปฏิบัติ

        5. Encouraging Development and Economic Reform
        ในอีกทางหนึ่ง WTO ก็ถือได้ว่าเป็นองค์การที่เน้นเรื่องของการพัฒนา โดยที่ WTO มองเห็นถึงความจำเป็นของประทศที่กำลังพัฒนาที่ต้องการเวลามากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วในการที่ จะทำตามข้อตกลงที่ได้ทำไป ประเทศส่วนใหญ่  ประมาณ 2 ส่วน 3 ที่เป็นสมาชิกของ WTO เป็นประเทศที่กำลังพัฒนา และ ประเทศกำลังพัฒนาตัวเองไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ตลอดช่วงเวลา 7 ปีครั้งของการประชุมรอบ Uruguay มากกว่า 60 ประเทศของประเทศเหล่านี้ๆได้ดำเนินนโยบายเพื่อการเปิดเสรีในด้านต่างๆ   และ ในเวลาเดียวกันประเทศกำลังพัฒนาที่มีระบบเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ สามารถที่จะมีบทบาทอย่างสำคัญ ในการเจรจาตลอดช่วงดังกล่าวซึ่งสิ่งนี้เป็นการทำลายความคิดที่ว่า ระบบการค้าแบบเสรีนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ใน แต่ ประเทศที่มีความเป็นอุตสาหกรรมแล้วเท่านั้น   และ เป็นสัญญาณว่าในปัจจุบันประเทศกำลังพัฒนาได้พัฒนาตัวเองมามากขึ้นจาก แต่ ก่อนมากจน ในอนาคตความต้องการการยกเว้นบางอย่างจากระบบการค้า และ ข้อตกลง GATT อาจจะเป็นสิ่งที่ควรจะถูกลดลง

        ในตอนปลายของการเจรจานั้นประเทศกำลังพัฒนามีความพร้อมมากขึ้นในการยอมรับของบังคับต่าง ๆ ที่ประเทศพัฒนาแล้ว ต้องทำตาม อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงก็ได้ให้เวลาในการที่ ประเทศกำลังพัฒนา จะปรับตัวตามข้อบังคับต่าง ๆ ของ WTO ซึ่งเป็นการดีอย่างยิ่ง ในการสร้างความพร้อมมากยิ่งขึ้น ของประเทศกำลังพัฒนา "GATT" พัฒนาการก่อนการเป็น WTO

        การกำเกิดของ WTO ในวันที่ 1 มกราคม 1995 เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ของการค้าระหว่างประเทศหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2  ความเป็นจริงแล้ว WTO ไมได้เป็นความพยายามครั้งแรก ในการตั้งองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการค้า ITO International Trade Organization เป็นจุดเริ่มต้นของความคิดดังกล่าว   แต่  ITO ไม่เกิดขึ้นจริงเพราะสภาสหรัฐไม่ลงคะแนนเสียงสนับสนุนในปี 1948 ทำให้ ITO เป็นองค์การ แต่ เพีงในความคิด เท่านั้น จากวันนั้นจนถึงปี 1994 ระบบการค้าดำเนินไปภายใต้ GATT ซึ่งเป็นหลักกการ และ ข้อตกลงที่ไม่มีองค์การรองรับ GATT สร้างให้ระบบการค้าระหว่างประเทศมีความมั่นคงมากขึ้น ตามแบบความคิดเสรีนิยมโดยผ่านรอบของการเจรจามากมาย   แต่ ในปี 1980 ระบบนี้ต้องการการปรับปรุงครั้งใหญ่ซึ่งนำไปสู่การเจรจารอบ Uruguay  และ  WTO ในที่สุด

        จากปี 1948-1994 GATT ได้ให้กฎระเบียบการค้าแก่โลก ในยุคที่ที่มีระดับ ของการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก GATT ดูเหมือนจะมีรากฐานที่มั่นคง    แต่ ความเป็นจริงแล้วตลอดเวลา 47 ปี GATT เป็นเพียงข้อตกลงชั่วคราวเท่านั้น ความตั้งใจเริ่มแรกก็คือการสร้างองค์การที่สามขึ้นเพื่อจัดการกับเรื่องของเศรษฐกิจระหว่างประเทศเพิ่มเติมจาก World Bank  และ  IMF ซึ่งเป็นองค์กรภายใต้ข้อตกลง Bretton Woods แผนการที่ตั้งไว้ในตอนนั้นคือการก่อตั้ง ITO ขึ้นในฐานะองค์การชำนาญพิเศษขึ้นต่อองค์การสหประชาชาติ กฎบัตรฉบับร่างของ ITO ที่ถูกสร้างขึ้นในตอนนั้นครอบคลุมมากกว่าเรื่องของการค้าระหว่างประเทศ แต่ ยังรวมไปถึง กฎของการจ้างงาน ข้อตกลงเรื่องสินค้า ข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจ การลงทุน  และ การบริการ  และ ยิ่งกว่านั้นก่อนที่กฎบัตรจะได้รับการอนุมัติ สมาชิก 23 ประเทศจาก 50 ประเทศตัดสินใจให้มีการเจรจาเพื่อลดกำแพงภาษีหรืออย่างน้อยก็สร้างข้อผูกมัดในการลดภาษีในอนาคต ซึ่งในตอนนั้นเป็นช่วงที่สงครามโลกครั้งที่สองพึ่งสิ้นสุดลงใหม่ๆ ประเทศต่างๆต้องการให้มีการเร่งการเปิดเสรีทางการค้า และ รีบแก้ไขผลพวงต่างๆที่ติดตามมาจากมาตราการการกีดกันทางการค้าต่างๆที่เคยเกิดขึ้นในช่วง 1930 ผลของการเจรจจาในครั้งนั้นก็คือประเทศต่างๆสามารถมีข้อตกลงเกี่ยวกับเรื่องของภาษีศุลกากรได้ถึง 45,000 กรณี ซึ่งมีผลกระทบต่อ 20% ของการค้าระหว่างประเทศทั่วโลก ประเทศ 23 ประเทศดังกล่าวยังตกลงว่าประเทศต่างๆควรที่จะยอมรับกฎระเบียบการค้า ภายใต้กฎบัตรฉบับชั่วคราวของ   ITO ซึ่งการยอมรับนี้ควรทำอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะรักษาข้อตกลงที่สามารถสร้างได้แล้วในการเจรจารอบแรก ข้อตกลงต่างๆที่ได้จากการประชุมรอบแรกรวมทั้งกฎระเบียบต่างๆที่กล่าวมาเป็นจุดเร่มต้นของ GATT ซึ่งมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม 1948 ในขณะที่กฎบัตรฉบับถาวรของ ITO ยังคงอยู่ในการเจรจาอยู่ และ  23 ประเทศนั้นเป็นสมาชิกก่อตั้งของ GATT ต่อมากฎบัตรของ ITO ได้รับการลงนามจากประเทศต่างๆในที่ประชุมสหประชาชาติในเรื่องของการค้า และ การจ้างงานที่เมือง Havana ในปี 1948    แต่ การให้สัตยาบัณของประเทศ ที่ร่วมลงนามกลาย เป็นสิ่งที่เป็น ปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เห็นด้วยอย่างแข็งกร้าวก็คือ สภา Congress ของสหรัฐ ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลสหรัฐเป็นกำลังหลักในการก่อตั้ง   ITO ในปี 1950 รัฐบาลสหรัฐประกาศว่าไม่สามารถทำให้สภา Congress ให้สัตยาบัณแก่ข้อตกลงที่ Havana ได้ และ จะไม่พยายามอีกต่อไปแล้ว สิ่งนี้ทำให้ ITO ตายไปโดยปริยาย ถึงแม้ว่า GATT จะเป็นสิ่งชั่วคราวที่ถูกสร้างขึ้น แต่  GATT เป็นเครื่องมืออย่างเดียวของประเทศต่างๆในการดูแลการค้าระหว่างประเทศจาก 1948 จนถึงการตั้ง WTO ใน 1995

        ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กฎหมายการค้าพื้นฐานต่างๆยังคงเหมือนที่เคยเป็นอยู่ในช่วง 1948 ข้อตกลงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การลดภาษีศุลกากร หรือการกีดกันทางการค้าในรูปแบบต่าง ๆ  สำเร็จได้ โดยผ่านการเจรจาหลายฝ่ายผ่านรอบของการเจรจา ซึ่งรอบของการเจรจาน ี้มีส่วนอย่างมากในการพัฒนาของการเปิดเสรีทางการค้า

GATT Trade Round

YEAR PLACE/NAME Subject covered Countries
1947 Geneva Tariffs 23
1949 Anency Tariffs 13
1951 Torquay Tariffs 38
1956 Geneva Tariffs 26
1960- Geneva Tariffs 26
1961 Dillon Round
1964- Geneva Tariffs and anti-dumping 62
1967 Kenedy Round Measures
1973- Geneva Tariffs and Non-Tariffs 102
1979 Tokyo Round Measures, Framework agreements
1986- Geneva Tariffs and Non Tariffs 123
1994 Uruguay Round Measures, Rules, Services, Intellectual Properties, Dispute Settlements, Textile Agriculture, Creation of WTO, Etc.

     ในยุคแรกๆของการเจรจาทางการค้าภายใต้ GATT ประเด็นที่สำคัญเป็นเรื่องของการลดกำแพงภาษี   ซึ่งในยุคของ Kenedy Round 1967-1973 ข้อตกลง Anti-Dumping Agreement ได้เข้ามาเป็นประเด็นในครั้งแรก   และ ใน Tokyo Round 1979-1986 นั้นเป็นครั้งแรก ที่มีการพูดถึงเรื่อง การลดการกีดกันทางการค้า ที่ไม่ได้อยู่ในรูปของกำแพงภาษี   และ มีความพยายาม ในการที่จะปรับปรุงระบบ  และ ในการเจรจารอบ Uruguay เป็นการประชุมที่มีเนื้อหาครอบคลุมกว้างขวางมากที่สุด และ เป็นการนำไปสู่การก่อตั้ง WTO

        The Tokyo Round
        การเจรจารอบ Tokyo กินเวลาตั้ง แต่ ปี 1973-1979 โดยมีสมาชิกเข้าร่วมการเจราทั้งหมด 102 ประเทศ การเจรจาครั้งนี้เป็นการสานต่อความพยายามอย่างต่อเนื่องในการลดกำแพงภาษี และ สนับสนุนการค้าเสรี ผลของการประชุมครั้งนี้ คือ สามารลดกำแพงภาษีของสินค้า ที่จะเข้าตลาดของประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำเก้าประเทศ ได้ถึง 1 ใน 3 ลดภาษีศุลกากรต่อสินค้าอุตสาหกรรมได้ถึง 4.7% ในประเด็นอื่นนั้นไม่สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าการเจรจารอบ Tokyo นั้นประสบความสำเร็จ เพราะการเจรจาครั้งนี้ไม่สามารถที่จะเข้าไปจัดการกับปัญหาพื้นฐานในเรื่องการค้าสินค้าเกษตร และ ข้อตกลงต่างๆส่วนมากใน Tokyo Round นั้นไม่สามารถถูกทำให้เป็นข้อผูกพันธ์ต่อสมาชิกทั้งหมดของ GATT ได้ เนื่องจาก หลายประเทศที่ลังเลใจ ที่จะลงนาม ในเรื่องข้อตกลง   และ การจัดการในบางเรื่อง ซึ่งประเทศที่ไม่ยอมลงนามเหล่านี้ส่วนมากคือประเทศอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตามการเจาจรรอบ Tokyo ก็เป็นความเปลี่ยนแปลงไปของประเด็นในการเจรจาจากที่เคยเป็นมา ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นมาใหม่ก็คือ เรื่องของการกีดกันทางการค้า ในรูปแบบที่ ไม่ใช่การตั้งภาษี ในบางกรณีก็เป็นการตีความข้อตกลงที่มีอยู่แล้ว และ บางกรณีก็เป็นการตั้งข้อตกลงใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้น ถึงแม้ว่า ในช่วงของการเจรจานี้ประเทศหลายประเทศจะไม่ได้ลงนามอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น   แต่ อย่างน้อยมันเป็นการเริ่มต้นของการยอมรับเรื่องดังกล่าว ซึ่งในเวลาต่อมีไม่นานประเด็นที่ยังค้างคาอยู่ก็ได้รับการยอมรับ และ ลงนามจากสมาชิกทั้งหมดของ GATT ทำให้ข้อตกลงดังกล่าวมีผลต่อ สมาชิกทุกประเทศใน GATT

        The Uruguay Round
        การเจรจาครั้งนี้กินเวลา 7 ปีครึ่งซึ่งยาวนานกว่ากำหนดการเดิมของการเจรจาถึงเกือบสองเท่า ในตอนปลายของการเจรจามีประเทศที่เข้าร่วมถึง 125 ประเทศ ประเด็นที่เจรจานั้นกว้างขวางมากกว่าครั้งใด ครอบคลุมสินค้าเกือบทุกชนิดแม้กระทั่งเรื่องของ การธนาคาร การติดต่อสื่อสาร กรรมพันธุ์  และ การรักษาโรคเอดส์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเจรจาที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาเลยก็ว่าได้ ในช่วงของการเจรจาดูเหมือนว่าการเจรจารอบ Uruguay จะล้มเหลว แต่ ในตอนท้ายการเจรจาครั้งนี้นำมาสู่การปฏิรูปครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของระบบการค้าระหว่างประเทศตั้ง แต่  GATT ได้ถูกก่อตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง   และ ผลของการเจรจาเห็นได้อย่างรวดเร็วเพราะเพียงสองปีเท่านั้น ประเทศสมาชิกต่างตกลง ในการลดการเก็บภาษีสินค้านำเข้า ประเภทสินค้าเขตร้อน  (Tropical Product)   ซึ่งส่วนมากจะส่งออกโดยประเทศที่กำลังพัฒนา มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงกฎเกณฑ์ในการสลายข้อขัดแย้ง   และ มีการเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิก GATT รายงานนโยบายการค้าอย่างสม่ำเสมอซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความโปร่งใสในการค้าระหว่างประเทศทั่งโลก

        จุดเร่มต้นของการเจรจารอบ Uruguay คือเร่มในปี 1982 โดยการประชุมรัฐมนตรีระหว่างประเทศของสมาชิก   GATT ที่กรุง Geneva มีความเห็นร่วมกัน ในการเปิดการเจรจารอบใหม ่โดยในขณะนั้นประเด็นความขัดแย้งเรื่องของสินค้าเกษตรยังเป็นประเด็นที่ สำคัญทำให้ความพยายาม ในการเจรจารอบใหม่นั้น ดูเหมือนจะไม่สัมฤทธิ์ผล  แต่ สี่ปีต่อมาประเทศต่างๆได้ตกลงกันในเดือน กันยายน ที่เมือง Punta del Este ในประเทศ Uruguay ให้มีการเจรจาที่ครอบคลุมเรื่องของการนโยบายการค้าให้มากที่สุด การเจรจาครั้งนี้จะเป็นการขยายระบบการค้าระหว่างประเทศในประเด็นใหม่ๆ ซึ่งที่เห็นชัดคือเรื่องสินค้าบริการ และ ลิขสิทธิ์ทางปัญญา  และ การปฏิรูปการค้าในส่วนของเกษตรกรรม   และ สินค้าเสื้อผ้าซึ่งเป็นหน่วยที่มีความขัดแย่ง ระหว่างประเทศมาก โดยที่การเจรจาจะกินเวลาสี่ปี

   สองปีต่อมาใน เดือนธันวาคม ปี 1988 เพื่อมีการประเมินผลการเจรจาที่ผ่านมาสองปี รัฐมนตรีของประเทศสมาชิกพบกันอีกครั้งที่เมือง Montreal ประเทศ แคนนาดา ซึ่ง จุดประสงค์คือการทำให้ประเด็นของการเจรจาที่ยังค้างคาอยู่อีกสองปีข้างหน้ามีความชัดเจนมากขึ้น แต่ การเจรจาครั้งนี้ ไม่สามารถที่จะตกลงกันได้จนกระทั้ง เดือนเมษายน ในปีต่อมา จากความยากลำบากต่างๆที่เกิดขึ้น ในการเจรจาที่  Montreal ประเทศต่าง ๆ ได้ตกลงในข้อตกลงบางอย่างในส่วนที่สามารถทำได้ เช่นเรื่องของการเปิดตลาดให้แก่สินค้าเขตร้อน (Tropical Goods)   ซึ่งเป็นการช่วยเหลือประเทศที่กำลังพัฒนา หรือเรื่องการลดความยุ่งยากในกระบวนการการสลายความขัดแย้งรวมไปถึงการมีการรายงานนโยบายการค้า ของประเทศสมาชิก  (Trade Policy Review)   การเจรจารอบ Uruguay มีแนวโน้ม ที่จะจบลงเมื่อการประชุมระดับรัฐมนตีอีกครั้งที่ Brussels ในเดือนธันวาคม 1990  แต่ การเจรจา ก็ต้องมาติดขัดในเรื่องของวิธีในการที่จะปฏิรูปการการค้าสินค้าเกษตรซึ่งทำให้การเจรจาต้องยือเยื้อออกไปอีก การเจรจาในช่วงนี้เป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศสหรัฐ และ สหภาพยุโรป มีความเป็นไปได้ หลายครั้งที่การเจรจาจะยุติลง แต่ สิ่งนั้นก็ยังไม่เกิดขึ้นจนกระทั่ง ในเดือน พฤศจิกายน 1992 สหภาพยุโรป และ สหรัฐอเมริกาสลายความแตกต่าง ในเรื่องของสินค้าเกษตรได้ในข้อตกลงที่มีชื่อว่า Blair House Accord  และ ในกลางปี 1993 สหรัฐ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป  และ แคนนาดา ประสบความสำเร็จในการเจรจาเรื่องของภาษี   และ  ประเด็นที่เกี่ยวข้อง   และ ใช้เวลาจนกระทั่งในเดือนธันวาคม ในการที่จะสลายความขัดแย้งในทุกๆประเด็น ในเดือน เมษายน 1994 ได้มีการลงนามอย่างเป็นทางการของสมาชิก 125 ประเทศเพื่อสิ้นสุดการเจรจารอบ Uruguay ที่เมือง Marrakesh ในประเทศ Morocco ซึ่งถือว่าเป็นการสิ้นสุดการเจรจารอบ Uruguay

   อย่างไรก็ตามความล่าช้าดังกล่าวก็ได้ให้ผลดีบางอย่างแก่ระบบ การล่าช้านี้ทำให้การเจรจาก้าวหน้าไปได้มากกว่าที่มันสามารถเป็นได้ในปี 1990 ตัวอย่างเช่นเรื่องของภาคบริการ ลิขสิทธิ์ทางปัญญา  และ การการตั้ง WTO การเจรจานี้จะเป็นความเหนื่ยยาก ของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย   และ ในประเด็นเกือบทุกประเด็นก็มีความขัดแย้งอยู่มากมายจน ไม่น่าที่จะหาทางออกร่วมกันได้   แต่ ทุกอย่างก็ออกมาด้วยดี และ เป็นการเปิดตัวครั้งแรกของ World Trade Organization

Key Dates

September 1986 Punta del Este Launch
December 1988 Montreal Ministerial Mid-Term Review
April 1989 Geneva Mid-Term Review Completed
December 1990 Brussel Closing Ministerial Meeting Ends in Deadlocked
December 1991 Geneva First Draft of Final Act Completed
US and EC achieved "Blair House"
November 1992 Washington Breakthourgh on Agriculture
July 1993 Tokyo Quad Achieve Market Access
Breakthrough a G-7 summit
December 1993 Geneva Most Negotiation Ends  (some market access talks remain)
April 1994 Marrakesh Agreement Signed
January 1995 Geneva WTO Created, Agreement Take Effects

   GATT  และ   WTO
  อย่างที่กล่าวมาทั้งหมด การจะมองถึงความแตกต่างระหว่าง GATT  และ  WTO นั้นคงไม่ใช่เรื่องยาก ในประเด็นแรกก็คือ GATT เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างประเทศเป็น เอกสารสำหรับการกำหนดแนวทางของการค้าระหว่างประเทศ ในขณะที่ WTO เป็นองค์การเป็นสถาบันที่สร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนความตกลงนี้ ดังนั้น GATT จึงเปรียบเสมือนเป็นเนื้อหา และ   WTO เปรียบเสมือนเป็นรูปแบบ และ ความมีตัวตนของเนื้อหานั้น ในประเด็นที่สองก็คือ WTO  และ   ข้อตกลงของการตั้ง WTO ถือเป็นสิ่งที่ถาวร โดยในฐานะของการเป็นองค์การระหว่างประเทศ WTO มีรากฐานทางกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะ WTO ได้รับการให้สัตยาบัณจากประเทศสมาชิก และ การให้สัตยาบันนั้นเป็นการกำหนดวิธีการทำงานของ WTO ในขณะที่  GATT   เป็นข้อตกลงชั่วคราวชั่วคราว    (Provisional)    และ ทำงานโดยใช้รอบของการเจรจาเป็นหลัก ประเด็นที่สามก็คือ สมาชิกของ WTO ตามกฎหมายแล้ว ถือว่าเป็นสมาชิก   (members)  ในขณะที่สมาชิกของ GATT เป็นเพียงคู่สัญญา  ( contracting parties)   ประเด็นที่สี่ก็คือ GATT จัดการเกี่ยวกับเรื่องของสินค้าเพียงอย่างเดียวในขณะที่ WTO ครอบคลุมเรื่องของการบริการ (GATS)    และ ลิขสิทธิ์ทางปัญญา (TRIPS)   ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมจาก GATT เดิม  และ ในประเด็นสุดท้ายก็คือ การแก้ไขข้อขัดแย้งภายใต้ WTO นั้นทำได้ดีกว่า เร็วกว่าระบบ GATT เดิมที่ใช้อยู่ สรุปแล้ว WTO ที่เกิดขึ้นใหม่ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่มาเพิ่มเติมจาก GATT เดิม แต่ เป็นการเปลี่ยนแปลงตัวตน Identity ของระบบการจัดการ การค้าระหว่างประเทศโดยที่มีความเป็นสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่ง GATT ได้ตายไปแล้ว และ ได้ถูกกลืนเข้าไปใน WTO  แต่ ผลพวงของการเจรจาตลอด 47 ปีในรูปของ GATT ย่อมจะเป็นตัวกำหนดแนวทางที่สำคัญต่อไปของกิจกรรม และ ประเด็นที่  WTO   ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องในอนาคต.

   กลับไปข้างบน  BACK TO TOP
1