logo1-2.gif (14784 bytes)

Home
News and Articles
Discussion Forum
About Us
Sign our guestbook
button_mail2.gif (1724 bytes)
  title_articles.gif (4423 bytes)

 

คำบ่นจากสมองน้อย ๆ
โดย วิภาดา มาวิจักข์

Picture of Vipada Mavichak ( WHAN )

 

          ตอนเด็ก ๆ ตั้งแต่สมัยเรียนประถม ก. กา   เราเคยได้รับการสั่งสอนว่า ประเทศไทยเศรษฐกิจรุ่งเรือง อัตราการเจริญเติบโตรวดเร็ว แม้เราจะเป็นเศรษฐกิจฟองสบู่ และเราขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมาก แต่เราก็ถูกสอนว่า เรารุ่งเรือง, เรากำลังจะเป็น NICs มาตลอด แม้ตอนเด็ก ๆ เราจะงงว่า ทั้ง ๆ ที่เราขายของน้อยกว่า เราซื้อของมา   ก็น่าจะแปลว่าเราเป็นหนี้ แล้วมันจะดีได้อย่างไร?   แล้วเศรษฐกิจฟองสบู่ นี้มันคืออะไร แต่เราก็คิดว่าไม่เป็นไร   ก็เค้าบอกว่าเศรษฐกิจเรารุ่งเรื่องนี่นา

          แต่พอปัจจุบัน เราก็ได้เห็นพิษของฟองสบู่ไปเต็ม ๆ แม้ว่าเราจะไม่ได้ล้มละลายไปเหมือนเจ้าสัวทั้งหลาย แต่หนทางในการไปเรียนต่อ หรือการหางานทำของเราก็ต้องตีบตันลงไปอย่างแน่นอน แต่เอาเถอะ ถ้าเราเขียนแต่เรื่องความยากลำบากอันน้อยนิดของเรา ก็อาจจะโดนคนที่ลำบากกว่าเราหมั่นไส้ได้   แล้วก็คงจะไม่ยอมอ่านบทความของเราต่อไป

          นอกจากอนาคตของเราแล้ว เนื่องจากที่เค้ากล่าวกันว่าเยาวชนเป็นอนาคตของชาติ เราก็เลยต้องคิดถึงอนาคตของชาติบ้าง เมื่อก่อนเราเคยฟังที่ผู้ใหญ่พูดมาตลอดว่าเรารุ่งเรื่องยังไง แต่ตอนนี้ เราไม่ค่อยอยากจะเชื่อใครเท่าไหร่ เราเลยจะขอให้สมองน้อย ๆ ของเราคิดเองบ้าง   หลังจากสิบกว่าปีของการเรียนในระบบการศึกษาไทยทำให้เราไม่ค่อยได้ใช้สมองเท่าไหร่

          หลังวิกฤตการณ์ฟองสบู่ ก็ได้มีคำอธิบายจากนักวิชาการทั้งหลายพรั่งพรูออกมา อธิบายถึงสาเหตุของวิกฤตการณ์ดังกล่าว ซึ่งก็ทำให้เราพอเข้าใจได้ว่าเกิดจากการที่ประเทศไทย พึ่งพาเงินทุนจากต่างชาติจำนวนมาก โดยนำไปใช้จ่ายในภาคการผลิตที่ไม่เกิดผลแท้จริงออกมา ทำให้รายได้แท้จริงของประเทศเราต่ำในขณะที่ราคาที่ดิน หุ้น มีราคาสูงเกินจริง ประกอบกับการเปิดนโยบายเสรีทางการเงินแต่ขาดกลไกการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเสรี จนค่าเงินที่เรากำหนดไว้มีค่าสูงเกินจริง   เมื่อถูกโจมตีค่าเงินมาก ๆ ก็เลยต้องลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้หนี้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

          จากคำอธิบายดังกล่าว ทำให้เรานึกถึงบทเรียนตตอนเด็ก ๆ ของเรา นั่นหมายความว่าเรายืมเงินคนอื่นมารวยหรืออย่างไร? ถ้าเรายืมเงินเค้ามาแล้วเอาไปผลิตของขายพอได้กำไร แล้วก็เอาไปคืนก็ยังพอทน แต่นี่เล่นยืมเงินคนอื่นเค้ามาใช้สุรุ่ยสุร่ายแล้วอย่างนี้จะรวยจริงได้ยังไง

          ถ้าเช่นนั้น เมื่อเราอยากรวยจริง สมองน้อย ๆ ที่ไม่ค่อยได้ใช้งานของฉันก็คิดว่า งั้นเราก็ต้องผลิตสินค้าออกมาแล้วเอาไปแลกกับเงิน เพื่อที่เราจะได้มีเงินของเราจริง ๆ แล้วเราจะผลิตอะไรดี? ถ้าจะผลิตสินค้า labour intensive อย่างเดิมคงจะไม่รอด เพราะแรงงานไทยเดี๋ยวนี้ค่าแรงก็แพงถ้าเทียบกับประเทศอย่างจีน หรือเวียดนาม แถมฝีมือแรงงานไทยก็ไม่ค่อยพัฒนา สินค้าของเราก็เลยต้องแพงทั้ง ๆ ที่คุณภาพก็งั้น ๆ

          แต่ถ้าเราหันไปผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูง ๆ แบบพวกที่เค้าเจริญกันแล้วก็คงจะไม่รอดอีกเช่นกัน ตอนนี้ประเทศเราก็ไม่มีเงิน มีแต่หนี้ท่วมหัว แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาลงทุน แล้วถ้าเราผลิตในสิ่งที่เค้าผลิตได้ดีอยู่แล้วในขณะที่เราเพิ่งเริ่มต้นใหม่ ก็คงยากที่จะผลิตได้ดีเท่าเค้า หรือยากที่จะได้รับความเชื่อถือจากลูกค้า

          เราก็เลยคิดต่อไปว่า สิ่งที่เราน่าจะขายได้น่าจะเป็นสิ่งที่เราทำได้ แต่คนอื่นทำไม่ได้ หรือทำได้ไม่ดีเท่าเรา ซึ่งก็น่าจะเป็นสินค้าที่มาจากสมอง มาจากภูมิปัญญาของเรา มีลักษณะของความเป็นไทย เพราะความเป็นไทยนี้ ใครในโลกก็มาทำให้เหมือนเราไม่ได้

          แต่พอเราคิดออกมาได้ เราก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าที่เราคิดออกมามันถูกต้องหรือเปล่า ถ้าคนไทยผลิตสินค้าที่มีเอกลักษณ์ของเราเอง จะมีใครมาซื้อของของเรารึเปล่า จนในที่สุดเราก็พบคำตอบจนได้   ในขณะที่เราได้อ่านนิตยสาร Corporate Thailand ฉบับที่ 25 เดือน กันยายน 2541 ซึ่งได้มทีบทความเกี่ยวกับเรื่อง SME:อนาคตเศรษฐกิจไทย   ซึ่งได้ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็กในแขนงต่าง ๆ ที่ได้นำความรู้ภูมิปัญญาเดิมของคนไทย มาคิดค้นผสมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่จนสินค้ามีลักษณะ เป็นคนของเอง เช่น ธุรกิจมะขามแก้วเคลือบ ของคุณไกรวุฒิ สุทธะพันธุ ที่ปัจจุบันได้รายได้จาการส่งออกมากกว่าปีละ 20 ล้านบาท หรือ กรณีของ น.ว.อรัญญิก ที่ผสมผสานแบบด้ามมีดไทยโบราณให้เหมาะสมกับการใช้งานของมีด ช้อน ส้อมของตะวันตก และนอกจากนี้ยังมีการทำเครื่องปั้นเซรามิก การทอผ้า   ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้ ต่างก็สามารถสร้างรายได้จากการส่งออกให้แก่เจ้าของกิจการและประเทศของเรา ในยามที่อุตสาหกรรมใหญ่ ๆ ทั้งหลายกำลังล้มละลายกันเป็นแถว

          พออ่านบทความดังกล่าวจบ ก็ทำให้เราได้บทเรียนอีกประการหนึ่งว่า จงอย่าดูถูกสมองน้อย ๆ ในช่องกระโหลกของเราว่าทำได้แค่เป็นเครื่องบันทึกเทป คือ ได้ฟัง เห็น ทุกอย่าง จำได้ทุกอย่าง แล้วก็เชื่อทุกอย่างก็พอ

          แต่จริง ๆ แล้วก้อนเนื้อน้อย ๆ ของเรานี้ยังคิดสร้างสรรค์อะไรให้ตัวเองและให้ประเทศชาติได้อีกเยอะ เพราะขนาดเราซึ่งไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ ความรู้ก็แค่หางอึ่ง เพิ่งเริ่มบริหารสมองน้อย ๆ ของเรา เรายังคิดอะไรออกมาได้ตั้งเยอะ แล้วถ้าคนไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะพวกที่มีสมองใหญ่ ๆ ความรู้เยอะ ๆ มีอำนาจมาก ๆ ช่วยกันบริหารสมองเพื่อประเทศชาติบ้าง ประเทศของเราคงต้องเจริญกว่านี้แน่เลย

   กลับไปข้างบน  BACK TO TOP

 

 

 

 

1