ตอนเด็ก ๆ
ตั้งแต่สมัยเรียนประถม ก. กา
เราเคยได้รับการสั่งสอนว่า
ประเทศไทยเศรษฐกิจรุ่งเรือง
อัตราการเจริญเติบโตรวดเร็ว
แม้เราจะเป็นเศรษฐกิจฟองสบู่
และเราขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมาก
แต่เราก็ถูกสอนว่า เรารุ่งเรือง,
เรากำลังจะเป็น NICs มาตลอด
แม้ตอนเด็ก ๆ เราจะงงว่า ทั้ง ๆ
ที่เราขายของน้อยกว่า
เราซื้อของมา
ก็น่าจะแปลว่าเราเป็นหนี้
แล้วมันจะดีได้อย่างไร?
แล้วเศรษฐกิจฟองสบู่
นี้มันคืออะไร
แต่เราก็คิดว่าไม่เป็นไร
ก็เค้าบอกว่าเศรษฐกิจเรารุ่งเรื่องนี่นา
แต่พอปัจจุบัน
เราก็ได้เห็นพิษของฟองสบู่ไปเต็ม
ๆ
แม้ว่าเราจะไม่ได้ล้มละลายไปเหมือนเจ้าสัวทั้งหลาย
แต่หนทางในการไปเรียนต่อ
หรือการหางานทำของเราก็ต้องตีบตันลงไปอย่างแน่นอน
แต่เอาเถอะ
ถ้าเราเขียนแต่เรื่องความยากลำบากอันน้อยนิดของเรา
ก็อาจจะโดนคนที่ลำบากกว่าเราหมั่นไส้ได้
แล้วก็คงจะไม่ยอมอ่านบทความของเราต่อไป
นอกจากอนาคตของเราแล้ว
เนื่องจากที่เค้ากล่าวกันว่าเยาวชนเป็นอนาคตของชาติ
เราก็เลยต้องคิดถึงอนาคตของชาติบ้าง
เมื่อก่อนเราเคยฟังที่ผู้ใหญ่พูดมาตลอดว่าเรารุ่งเรื่องยังไง
แต่ตอนนี้
เราไม่ค่อยอยากจะเชื่อใครเท่าไหร่
เราเลยจะขอให้สมองน้อย ๆ
ของเราคิดเองบ้าง
หลังจากสิบกว่าปีของการเรียนในระบบการศึกษาไทยทำให้เราไม่ค่อยได้ใช้สมองเท่าไหร่
หลังวิกฤตการณ์ฟองสบู่
ก็ได้มีคำอธิบายจากนักวิชาการทั้งหลายพรั่งพรูออกมา
อธิบายถึงสาเหตุของวิกฤตการณ์ดังกล่าว
ซึ่งก็ทำให้เราพอเข้าใจได้ว่าเกิดจากการที่ประเทศไทย
พึ่งพาเงินทุนจากต่างชาติจำนวนมาก
โดยนำไปใช้จ่ายในภาคการผลิตที่ไม่เกิดผลแท้จริงออกมา
ทำให้รายได้แท้จริงของประเทศเราต่ำในขณะที่ราคาที่ดิน
หุ้น มีราคาสูงเกินจริง
ประกอบกับการเปิดนโยบายเสรีทางการเงินแต่ขาดกลไกการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเสรี
จนค่าเงินที่เรากำหนดไว้มีค่าสูงเกินจริง
เมื่อถูกโจมตีค่าเงินมาก ๆ
ก็เลยต้องลอยตัวค่าเงินบาท
ทำให้หนี้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
จากคำอธิบายดังกล่าว
ทำให้เรานึกถึงบทเรียนตตอนเด็ก
ๆ ของเรา
นั่นหมายความว่าเรายืมเงินคนอื่นมารวยหรืออย่างไร?
ถ้าเรายืมเงินเค้ามาแล้วเอาไปผลิตของขายพอได้กำไร
แล้วก็เอาไปคืนก็ยังพอทน
แต่นี่เล่นยืมเงินคนอื่นเค้ามาใช้สุรุ่ยสุร่ายแล้วอย่างนี้จะรวยจริงได้ยังไง
ถ้าเช่นนั้น
เมื่อเราอยากรวยจริง สมองน้อย ๆ
ที่ไม่ค่อยได้ใช้งานของฉันก็คิดว่า
งั้นเราก็ต้องผลิตสินค้าออกมาแล้วเอาไปแลกกับเงิน
เพื่อที่เราจะได้มีเงินของเราจริง
ๆ แล้วเราจะผลิตอะไรดี?
ถ้าจะผลิตสินค้า labour intensive
อย่างเดิมคงจะไม่รอด
เพราะแรงงานไทยเดี๋ยวนี้ค่าแรงก็แพงถ้าเทียบกับประเทศอย่างจีน
หรือเวียดนาม
แถมฝีมือแรงงานไทยก็ไม่ค่อยพัฒนา
สินค้าของเราก็เลยต้องแพงทั้ง ๆ
ที่คุณภาพก็งั้น ๆ
แต่ถ้าเราหันไปผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูง
ๆ
แบบพวกที่เค้าเจริญกันแล้วก็คงจะไม่รอดอีกเช่นกัน
ตอนนี้ประเทศเราก็ไม่มีเงิน
มีแต่หนี้ท่วมหัว
แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาลงทุน
แล้วถ้าเราผลิตในสิ่งที่เค้าผลิตได้ดีอยู่แล้วในขณะที่เราเพิ่งเริ่มต้นใหม่
ก็คงยากที่จะผลิตได้ดีเท่าเค้า
หรือยากที่จะได้รับความเชื่อถือจากลูกค้า
เราก็เลยคิดต่อไปว่า
สิ่งที่เราน่าจะขายได้น่าจะเป็นสิ่งที่เราทำได้
แต่คนอื่นทำไม่ได้
หรือทำได้ไม่ดีเท่าเรา
ซึ่งก็น่าจะเป็นสินค้าที่มาจากสมอง
มาจากภูมิปัญญาของเรา
มีลักษณะของความเป็นไทย
เพราะความเป็นไทยนี้
ใครในโลกก็มาทำให้เหมือนเราไม่ได้
แต่พอเราคิดออกมาได้
เราก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าที่เราคิดออกมามันถูกต้องหรือเปล่า
ถ้าคนไทยผลิตสินค้าที่มีเอกลักษณ์ของเราเอง
จะมีใครมาซื้อของของเรารึเปล่า
จนในที่สุดเราก็พบคำตอบจนได้
ในขณะที่เราได้อ่านนิตยสาร Corporate
Thailand ฉบับที่ 25 เดือน กันยายน 2541
ซึ่งได้มทีบทความเกี่ยวกับเรื่อง
SME:อนาคตเศรษฐกิจไทย
ซึ่งได้ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็กในแขนงต่าง
ๆ
ที่ได้นำความรู้ภูมิปัญญาเดิมของคนไทย
มาคิดค้นผสมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่จนสินค้ามีลักษณะ
เป็นคนของเอง เช่น
ธุรกิจมะขามแก้วเคลือบ
ของคุณไกรวุฒิ สุทธะพันธุ
ที่ปัจจุบันได้รายได้จาการส่งออกมากกว่าปีละ
20 ล้านบาท หรือ กรณีของ น.ว.อรัญญิก
ที่ผสมผสานแบบด้ามมีดไทยโบราณให้เหมาะสมกับการใช้งานของมีด
ช้อน ส้อมของตะวันตก
และนอกจากนี้ยังมีการทำเครื่องปั้นเซรามิก
การทอผ้า
ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้
ต่างก็สามารถสร้างรายได้จากการส่งออกให้แก่เจ้าของกิจการและประเทศของเรา
ในยามที่อุตสาหกรรมใหญ่ ๆ
ทั้งหลายกำลังล้มละลายกันเป็นแถว
พออ่านบทความดังกล่าวจบ
ก็ทำให้เราได้บทเรียนอีกประการหนึ่งว่า
จงอย่าดูถูกสมองน้อย ๆ
ในช่องกระโหลกของเราว่าทำได้แค่เป็นเครื่องบันทึกเทป
คือ ได้ฟัง เห็น ทุกอย่าง
จำได้ทุกอย่าง
แล้วก็เชื่อทุกอย่างก็พอ
แต่จริง ๆ แล้วก้อนเนื้อน้อย ๆ
ของเรานี้ยังคิดสร้างสรรค์อะไรให้ตัวเองและให้ประเทศชาติได้อีกเยอะ
เพราะขนาดเราซึ่งไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่
ความรู้ก็แค่หางอึ่ง
เพิ่งเริ่มบริหารสมองน้อย ๆ
ของเรา
เรายังคิดอะไรออกมาได้ตั้งเยอะ
แล้วถ้าคนไทยทั้งประเทศ
โดยเฉพาะพวกที่มีสมองใหญ่ ๆ
ความรู้เยอะ ๆ มีอำนาจมาก ๆ
ช่วยกันบริหารสมองเพื่อประเทศชาติบ้าง
ประเทศของเราคงต้องเจริญกว่านี้แน่เลย |