โฮมเพจเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว



 

สารบัญ


การลดรายได้จากอบายมุขกับปัญหาการขาดดุลงบประมาณ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว


ปัญหาการขาดดุลงบประมาณหรือที่เรียกกันในสมัยหนึ่งว่า "เงินขาด" นั้น เป็นเรื่องที่มักมีผู้ยกขึ้นมาเป็นประเด็นกล่าวหาว่าเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงทางเศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้โดยจะเน้นว่าสาเหตุของปัญหาดังกล่าวเนื่องมาจากการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยในราชสำนักเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นการมองเพียงด้านเดียวอย่างมีอคติค่อนข้างมาก ซ้ำบางคนยังวิเคราะห์ต่อเนื่องไปอีกด้วยว่า เพราะปัญหาขาดดุลงบประมาณในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้เอง ที่ทำให้สภาพเศรษฐกิจในสมัยต่อมาคือในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ต้องตกต่ำอย่างร้ายแรง ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงนั้น ผลจากการดำเนินการที่สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อแก้ปัญหาที่ "ต้นเหตุ" มิใช่ที่ "ปลายเหตุ" ได้ทำให้ฐานะด้านงบประมาณของรัฐบาลในต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเข้มแข็งมาก จนถึงกับสามารถมีเงินเหลือไปจ่ายชำระเงินกู้ต่างประเทศได้ก่อนกำหนด และสาเหตุของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่แท้จริงนั้นเป็นเนื่องจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นที่สหรัฐฯ และต่อมาก็ที่ยุโรป ซึ่งส่งผลกระทบไปทั่วโลกต่างหาก

  • ปัญหาด้านงบประมาณรายได้ของแผ่นดิน

นับตั้งแต่ประเทศไทยต้องจำยอมทำสนธิสัญญาทางการค้ากับชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะชาติตะวันตก มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๙๘ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ปัญหาสำคัญที่รัฐบาลไทยต้องเผชิญมาตลอดก็คือปัญหาการที่แทบจะไม่อาจหาทางเพิ่มรายได้แผ่นดินได้เลย เพราะติดขัดด้วยข้อกำหนดของสนธิสัญญาเหล่านั้น เมื่อประกอบกับการที่ประเทศไทยจำเป็นต้องใช้จ่ายจำนวนมากเพื่อเร่งรัดพัฒนาให้มีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยะประเทศด้วยแล้ว ก็ทำให้ปัญหาการมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่ายนั้น เป็นเรื่องที่อาจมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอไม่ช้าก็เร็ว

ปัญหาเรื่องรายได้แผ่นดินขาดแคลนนี้ มีปรากฏมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว ดังปรากฏในพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส มีความตอนหนึ่งว่า

"...เงินภาษีอากรก็ลดเกือบหมดทุกอย่าง ลดลงเป็นลำดับ จนถึงปีมะแมตรีศก เงินแผ่นดิน ที่เคยได้อยู่ปีละ ๕๐,๐๐๐-๖๐,๐๐๐ ชั่งนั้น เหลือจำนวนอยู่ ๔๐,๐๐๐ ชั่ง แต่ก็ไม่ได้ตัวเงิน กี่มากน้อย...เงินไม่พอจ่ายราชการก็ต้องเป็นหนี้..."

หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิรูประบบการคลังแผ่นดินเสียใหม่ ทำให้การจัดเก็บและการใช้จ่ายรายได้นั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็ทำให้ปัญหาเรื่องรายได้ขาดแคลนพอจะบรรเทาลง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหลักการจัดทำงบประมาณรายจ่ายนั้นต้องขึ้นกับรายได้เป็นสำคัญ เมื่อรายได้มีไม่มากจึงทำให้การใช้จ่ายเพื่อการพัฒนาต่าง ๆ นั้นยากที่จะทำได้ ดังจะเห็นได้จากการที่โครงการชลประทานขนาดใหญ่ที่ได้มีการสำรวจจะเริ่มดำเนินการขึ้น แต่ก็ต้องรอไว้ก่อนเนื่องจากต้องใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมาก ส่วนการจะหาเงินมาเพื่อใช้จ่ายด้วยวิธีการกู้ยืมนั้นก็ทำได้เฉพาะโครงการที่ให้ผลตอบแทนเท่านั้น เช่น โครงการรถไฟ เนื่องจากต้องเสียอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราค่อนข้างสูง

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ปรากฏว่าในขณะที่รายจ่ายต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย โดยเฉพาะโครงการพัฒนาต่าง ๆ ทั้งที่เป็นการดำเนินการต่อเนื่องมาจากรัชกาลก่อน และที่ได้ริเริ่มขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก ประกอบกับภาวะเงินเฟ้อในช่วงระหว่างและหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ ซึ่งทำให้การใช้จ่ายต้องเพิ่มสูงขึ้นมาก (เช่น โครงการชลประมานซึ่งต้องจ่ายเงินค่าวัสดุที่ต้องสั่งจากต่างประเทศสูงกว่าที่คาดหมายไว้ตอนเริ่มต้นโครงการเป็นอันมาก) แต่กลับปรากฏว่าในด้านรายได้นั้นกลับเพิ่มน้อยมาก โดยเฉพาะเมื่อมีการตัดรายได้หลักของแผ่นแผ่นดินลงไปหลายรายการอีกด้วย ได้แก่รายได้ที่มาจากแหล่งอบายมุขต่าง ๆ ปัญหาขาดดุลงบประมาณจึงได้เกิดขึ้น

  • รายได้จากแหล่งอบายมุข

นับตั้งแต่มีข้อมูลปรากฏเกี่ยวกับรายได้ของแผ่นดินในรายละเอียดเป็นต้นมา ก็ปรากฏว่ารายได้ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งนั้น เป็นรายได้จากแหล่งอบายมุขต่าง ๆ อันได้แก่ ฝิ่น หวย ก.ข. และบ่อนการพนัน ในรูปแบบต่าง ๆ มาโดยตลอด ดังจะเห็นได้ตามตารางต่อไปนี้

ตารางแสดงรายรับของรัฐบาลจากแหล่งที่มาด้านอบายมุข
พ.ศ. รายรับจากภาษีทั้งสิ้น รายรับจากภาษีฝิ่น รายรับจากบ่อนการพนัน รายรับจากหวย ก.ข. รวมรายรับจากฝิ่นและการพนัน สัดส่วนของรายรับที่มาจากฝิ่นและการพนัน

2456

54,961,905

14,942,799

3,536,206

3,481,215

21,960,220

39.95%

2457

55,487,039

16,190,101

3,168,462

3,535,592

22,894,155

41.26%

2458

56,267,009

16,560,227

3,704,014

3,465,330

23,729,571

42.17%

2459

58,890,004

19,275,702

2,839,530

46,901

22,162,133

37.63%

2460

58,394,224

21,179,721

5,540

1,600

21,186,861

36.28%

2461

59,761,919

21,444,418

3,940

2,044

21,450,402

35.89%

2462

62,248,686

23,221,569

760

-

23,222,329

37.31%

2463

52,576,797

19,889,324

-

376

19,889,700

37.83%

2464

56,852,271

18,807,652

-

-

18,807,652

33.08%

2465

54,727,168

16,564,758

-

-

16,564,758

30.27%

จากตารางข้างต้นนี้ จะเห็นได้ว่ารายได้ของแผ่นดินอันเนื่องมาจากแหล่งอบายมุขนั้น ในช่วงก่อนจะมีการดำเนินการยกเลิกบ่อนการพนัน (เริ่มในปี พ.ศ. ๒๔๖๐) และยกเลิกหวย ก.ข. (เริ่มในปี พ.ศ. ๒๔๕๙) นั้น รวมกันแล้วสัดส่วนอยู่ระหว่างร้อยละ ๓๙ ถึงร้อยละ ๔๒ ของรายได้ในรูปภาษีอากรทั้งสิ้น ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่สูงมาก โอกาสที่จะลดรายได้จากแหล่งอบายมุขเหล่านี้ลงนั้นเป็นได้ยาก เนื่องจากติดขัดที่รัฐบาลไม่มีหนทางที่จะเพิ่มรายได้จากทางอื่นมาทดแทนได้ เพราะติดขัดด้วยเงื่อนไขสนธิสัญญาที่ทำไว้กับต่างประเทศนั่นเอง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการลดหรือจำกัดรายได้จากฝิ่นและการพนันลง จะหมายถึงการที่รายได้แผ่นดินต้องลดลงอย่างมาก แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงตัดสินพระทัยที่จะลดรายได้แผ่นดินอันเนื่องมาจากอบายมุขเหล่านี้ลง เนื่องจากทรงมีพระราชปณิธานอยู่เสมอมาที่จะลดการมอมเมาด้านอบายมุขของพสกนิกรลง ดังปรากฏในพระราชนิพนธ์ต่าง ๆ หลายเรื่อง เช่น พระราชนิพนธ์โคลง ๔ ที่ลงพิมพ์ในดุสิตสมิตที่ว่า

      สิ้นอายเพราะฝิ่นไซร้    ฆ่าธรรม
สุจริตประจำ จิตสิ้น
ริเริ่มการระยำ ยับย่อย
ฝิ่นประหารทุกชิ้น ทุกก้อนธรรมา 
      ริหาสินทรัพย์ด้วย อาธรรม์
เริ่มเล่นการพนัน โลภมาก
ยิ่งเสียยิ่งเข้มขัน เล่นหนัก ขึ้นแฮ  
เสียทรัพย์กลับลำบาก สุดพ้นคณนา

นอกจากนั้น ยังกล่าวกันว่าการลดรายได้จากแหล่งอบายมุขต่าง ๆ ลงนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ฝ่ายไทยได้ใช้เป็นประเด็นต่อรองเพื่อขอแก้ไขสนธิสัญญาที่ถูกจำกัดอยู่ เพื่อจะได้สามารถเพิ่มรายได้จากทางอื่นมาทดแทนได้ด้วย

    หน้า 2   

1