โฮมเพจเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของ
|
|
ถึงแม้รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจะมีระยะสั้นเพียง ๑๕ ปีเท่านั้น แต่ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศและประชาชนชาวไทยหลายด้าน ดังต่อไปนี้
- จัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกฐานะ โรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ขึ้นเป็น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ นับเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย - ทรงตราพระราชบัญญัติประถมศึกษา ปีพ.ศ. ๒๔๖๔ ให้บิดามารดาส่งบุตรเข้าโรงเรียนโดยไม่เสียค่าเล่าเรียน - โปรดเกล้าให้จัดตั้งสถาบันการศึกษาหนึ่งและพระราชทานนามว่า โรงเรียนเพาะช่าง ในวันที่ ๗ มกราคม ๒๔๕๖ พระองค์เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดโรงเรียนเพาะช่างด้วยพระองค์เองด้วยจุดเริ่มต้นนี้ทำให้ประเทศไทยยังมีช่างฝีมือทางศิลปกรรมไทยไว้สืบทอดและสร้างสรรค์สิ่งดีงามจนถึงปัจจุบัน
- ยกเลิกบ่อนการพนัน และ หวย ก.ข. ซึ่งเป็นอบายมุขมอมเมาประชาชน แม้ว่าจะเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาลแหล่งหนึ่งก็ตาม - ลดการค้าฝิ่นซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักอีกแหล่งหนึ่งของรัฐบาล - ตราพระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. ๒๔๕๖ เป็นการเริ่มต้นให้คนไทยมีนามสกุลใช้ โดยได้ทรงพระราชทานนามสกุลแก่ผู้ที่ขอมาด้วย
- จัดตั้ง ธนาคารออมสินขึ้น เพื่อให้ประชาชนรู้จักออมทรัพย์ และเชื่อมั่นในสถาบันการเงิน เนื่องจากมีธนาคารพาณิชย์เอกชนที่ฉ้อโกง และต้องล้มละลายปิดกิจการ ทำให้ผู้ฝากเงินได้รับความเสียหายอยู่เสมอ - ใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อหุ้นของ ธนาคารสยามกัมมาจล ทุนจำกัด(ปัจจุบันคือ ธนาคารไทยพาณิชย์) ซึ่งมีปัญหาการเงิน ทำให้ธนาคารของคนไทยแห่งนี้ดำรงอยู่มาได้ - ทรงริเริ่มตั้ง บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัดซึ่งได้เป็นกิจการอุตสาหกรรมสำคัญของไทยต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน - ทรงจัดตั้ง สภาเผยแผ่พาณิชย์ ซึ่งเป็นหน่วยงานคล้ายกับสภาพัฒนาการเศรษฐกิจในปัจจุบัน - โปรดเกล้าฯ ให้จัดเตรียมแสดงสินค้าไทย คืองานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ ที่สวนลุมพินี แต่งานต้องเลิกล้มไปเพราะสวรรคตเสียก่อน
- ทรงส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ผ่านสื่อมวลชนที่สำคัญ ในยุคนั้นคือหนังสือพิมพ์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ามีเสรีภาพสูงยิ่งกว่าสมัยหลัง พ.ศ. ๒๔๗๕ - ทรงทดลองและฝึกให้ข้าราชบริพารรู้จักการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยทรงสร้างเมืองจำลอง "ดุสิตธานี" ขึ้น เป็นเมืองที่มีพรรคการเมือง,การเลือกตั้ง, และการบริหารตามระบอบประชาธิปไตย
- ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และวชิรพยาบาล เพื่อรักษาพยาบาลประชาชนที่เจ็บไข้ได้ป่วย - ทรงเปิดสถานเสาวภา เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๕ เพื่อผลิตวัคซีนและเซรุ่ม เป็นประโยชน์ทั้งแก่ประชาชนชาวไทยและประเทศใกล้เคียงอีกด้วย - ทรงเปิดการประปากรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๗
เมื่อเกิดมหายุทธสงครามโลกครั้งที่ ๑ ขึ้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๗ ในตอนต้นของสงคราม ประเทศไทยได้ประกาศตนเป็นกลางแต่ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระบรมราชโองการประกาศสงครามกับเยอรมนี และออสเตรีย-ฮังการี เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ เพื่อรักษาสิทธิของประเทศ และเพื่อความเที่ยงธรรมของโลกเป็นส่วนรวม และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ส่งทหารไทยอาสาสมัครไปร่วมรบในสมรภูมิด้วย การเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้เป็นผลดีแก่ประเทศไทยอย่างยิ่ง ในฐานะผู้ชนะสงคราม ประเทศไทยสามารถเจรจากับประเทศมหาอำนาจขอแก้ไขสนธิสัญญาสิทธิสภาพนอกอาณาเขต และ สนธิสัญญาจำกัดอำนาจการเก็บภาษีของประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยพ้นสภาพการเสียเปรียบในด้านการศาล และสามารถดำเนินนโยบายด้านภาษีได้โดยอิสระ
- ทรงจัดตั้งกองเสือป่าขึ้นเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ โดยมีพระราชประสงค์จะฝึกอบรมข้าราชการให้มีระเบียบวินัย มีความสามัคคี มีน้ำใจเป็นสุภาพบุรุษ ประพฤติตนดี รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นกำลังของชาติในยามคับขัน - ทรงจัดตั้งกอง ลูกเสือขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔ เพื่อฝึกเยาวชนให้มีความสามัคคีมานะอดทน เสียสละเพื่อส่วนรวม และเป็นผู้ช่วยรบได้ในยามคับขัน
- ทรงตั้งกรมมหรสพขึ้น เพื่อฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทย - ทรงตั้งโรงละครหลวงขึ้นเพื่อส่งเสริมการแสดงละครในหมู่ข้าราชบริพาร - ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกแบบอาคารสมัยใหม่เป็นแบบทรงไทย เช่น ตึกอักษรศาสตร์ ซึ่งเป็นอาคารเรียนหลังแรกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาคารโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย
- ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติการพิมพ์ฉบับแรกขึ้น เรียกว่า พระราชบัญญัติสมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๖๕ - ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องราวต่างๆ ไว้เป็นอันมาก ทั้งในภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ทั้งที่เป็นร้อยแก้ว และร้อยกรอง ทั้งที่เป็นสารคดี และนิยาย มีบทละครรำ ละครร้อง ละครพูด ทั้งยังได้ทรงพระราชนิพนธ์บทความพระราชทานหนังสือพิมพ์ด้วย รวมกว่า ๑,๐๐๐ เรื่อง เป็นมรดกทางวรรณกรรมให้ประชาชนชาวไทยได้อ่านและชื่นชมสืบทอดกันมา จึงได้รับพระสมัญญานามว่า สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า และ องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(UNESCO) ก็ได้ยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์เป็นปราชญ์สยาม
- ทรงปรับปรุงและขยายงานกิจการรถไฟ ให้รวมกรมรถไฟซึ่งเคยแยกเป็น ๒ กรมเข้าเป็นกรมเดียวกัน เรียกว่า กรมรถไฟหลวง เริ่มเปิดกิจการเดินรถไฟสายกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ ทรงเปิดเดินรถด่วนระหว่างประเทศ สายใต้ติดต่อกับรถไฟมลายู (มาเลเซีย) - ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานพระราม ๖ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อมทางรถไฟทั้งปวงในพระราชอาณาจักรโดยโยงเข้ามาสู่ศูนย์กลางที่สถานีหัวลำโพง - ทรงจัดตั้งกรมอากาศยาน ได้เริ่มการขนส่งไปรษณียภัณฑ์ทางอากาศระหว่างกรุงเทพฯ ไปยังนครราชสีมาเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๓ หมายเหตุ ข้อมูลในหน้านี้ส่วนใหญ่ผู้จัดทำได้อ้างข้อมูลจาก สารานุกรมพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒ แก้ไขและเพิ่มเติม เล่ม ๑ พ.ศ. ๒๕๔๐ |