(--[Main]-*-[Links]-*-[Search]-*-[Pager]-*-[Contact]-*-[E-mail]--)

การคำนวณวิธีกระสุนด้วยหลักทางขีปนวิทยา

โดย ด๊อก ฮาลิเดย์

   สมมุติว่าท่านใช้ปืนพกรีวอลเวอร์ .38 สเปเชียลที่ติดศูนย์ตายตัวหรือศูนย์ปรับได้แบบใช้สกรูปรับทั่ว ๆ ไป ไม่ใช่ศูนย์สะพานเลื่อนแบบปืนเมาเซอร์ต่อด้ามหรือปืนเบราวนิงก์ไฮเพาเวอร์รุ่นคุณปู่ ท่านยิงปืนกระบอกนั้นอยู่เป็นประจำ ทราบดีว่าศูนย์ที่ตั้งไว้ทำให้ปืนยิงเข้ากลางเอกซ์ของเปาที่ระยะ 25 หลา ทีนี้ลองนึกภาพเหตุการณ์สุมมุติที่เราหวังว่าคงไม่มีวันเกิดขึ้นสักสองเหตุการณ์

   เหตุการณ์แรกท่านตกอยู่ในภาวะคับขันต้องดวลกับคนร้ายที่ใช้ปืน เอเค-47 ที่ระยะ 200 หลา ถามว่าท่านจะต้องเล้งเผื่อสูงเหนือเป้าหมายกี่ฟุต ?

   และเหตุการณ์ที่สอง ท่านจะยิงหัวงูเขียวหางไหม้ที่ระยะ 2 หลา หากพลาดเป้าหมายงูตัวนั้นจะหนีไปแล้วอาจกลับมาเป็นภัยคุกคามต่อลูกของท่านได้ ถามว่าท่านจะต้องเล็งเผื่อเหนือเป้าหมาย หรือว่าใต้เป้าหมาย และเผื่อเป็นระยะกี่นิ้ว ? คำถามเหล่านี้นอกจากตะตอบได้โดยวิธีทดลองยิงแล้ว ยังอาจคำนวณหาคำตอบได้อย่างใกล้เคียงโดยใช้วิชาชีปนวิทยาเข้าช่วย

   ขีปนวิทยายุคใหม่มีการพัฒนาให้ง่ายขึ้น เพียงใช้เครื่องคิดเลขธรรมดาก็หาคำตอบได้ ไม่ต้องคำนวณด้วยคอมพิวเตอร์ดังแต่ก่อน ท่านเองก็สามารถคำนวณได้ว่าปืนของท่านจะยิงสูงหรือต่ำกี่นิ้วหรือกี่ฟุต ณ ระยะยิงวิชาขีปนวิทยาแบบใหม่จึงเป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้ ดังจะได้นำมาเล่าสู่กันฟังในคราวนี้

   ก่อนอื่นผู้เขียนคงต้องขอกล่าวถึงแหล่งที่มาของข้อมูลและหลักการที่จะกล่าวถึงต่อไปเสียงก่อน พื้นฐานด้านวิชาขีปนวิทยาที่พามีอยู่เป็นขีปนวิทยาแบบคลาสสิคสไตล์ยุโรป ซึ่งเน้นอาวุธหนักเป็นหลัก ศัพท์แสงและชื่อเรียกจะต่างกับที่นิยมใช้ในวงการปืนสหรัฐอยู่บ้าง จนมาได้หนังสือ Modern Practical Ballistics ของอาร์เธอร์ เพ็จซา (Arthur Pejsa) จัดพิมพ์ โดยสำนักพิมพ์ Burgess Printing Company ผู้แต่งท่านมีประวัติเป็นนักบินเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-29 ได้รับเหรียญกล้าหาญ ในสงครามโลกครั้งที่สอง แล้วไปเป็นศาสตราจารย์ทางคณิตศาสตร์และกลศาสตร์ ที่โรงเรียนนายเรือแอนนาโปลิส จากนั้นออกไปเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านการบินและอวกาศโดยมีผลงานสำคัญต่าง ๆ มากมาย เช่น เป็นหัวหน้าทีมในการวิเคราะห์ออกแบบระบบนำวิถีของ ขีปนาวุธ ข้ามทวีป ไทแทนสอง และระบบควบคุมของกระสวยอวกาศ เป็นต้น ส่วนในยามว่างท่านเป็นนักแม่นปืนไรเฟิลมือฉมัง

   หนังสือของท่านเล่มนี้อธิบายหลักการทางขีปวิทยาที่ได้มีการพัฒนาใหม่ให้เกิดความง่ายมากขึ้น อันเป็นผลมากจากศึกษาในช่วงทศวรรษที่ 1960 เพื่อใช้ในการตั้งโปรแกรมให้คอมพิวเตอร์ควบคุมการยิงของปืนใหญ่ต่อสู่รถถัง โดยนำหลักการมาประยุกต์เข้ากับปืนไรเฟิลของ พลเรือน ศัพท์แสงและชื่อเรียกต่าง ๆ เป็นตามสไตล์สหรัฐฯ จึงเป็นแนวเดียวกับที่เราจะพบได้ในนิตยสารปืนของสหรัฐ ผู้เขียนจึงขออิงแนวการอธิบายหลักการตามหนังสือเล่มดังกล่าว เพื่อว่าคำศัพท์ต่าง ๆ จะได้สอดคล้องกับสิ่งที่อาจได้พบเห็นเวลาศึกษานิตยสารปืน ของอเมริกัน

   ผลของแรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อหัวกระสุน

   เมื่อหัวกระสุนวิ่งออกจากลำกล้องปืน แรงที่กระทำต่อหัวกระสุน อันมีความสำคัญประการแรกคือแรงโน้มถ่วงของโลกซึ่งจะดึงให้หัวกระสุนตกลงต่ำกว่าแนวลำกล้อง ยิ่งหัวกระสุนวิ่งไปไกล ระยะที่หัวกระสุนตกลงก็จะยิ่งมากขึ้น ท่านอาจจำได้จากวิชาฟิสิกส์สมัยมัธยมปลายได้ว่า หากไม่คิดแรงต้านจากอากาศ ระยะที่กระสุนตกลงมานี้คือ

   D = [g / 2] x (R x 3 / V)2

   เมื่อ D คือ ระยะที่หัวกระสุนตกลงมาต่ำกว่าแนวลำกล้อง หน่วยเป็นฟุต, g = ความเร่งจากแรงโน้มถ่วงของโลก มีค่าเท่ากับ 32.17 ฟุตต่อวินาทีกำลังสองในหน่วยอังกฤษ, R = ระยะทางที่กระสุนวิ่งไปหน่วยเป็นหลา , V = ความเร็วหัวกระสุน หน่วยเป็นฟุตต่อวินาที

   สูตรข้างต้นยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์เพราะยังไม่ได้คำนึงถึงแรงที่กระทำต่อหัวกระสุนที่สำคัญอีกแรงหนึ่ง คือแรงต้านจากอากาศ แต่กระนั้นก็ดีผู้เขียนจำได้ว่าสมัยที่เรียกฟิสิกส์มัธยมปลาย ด้วยความร้อนวิชาได้ใช้สูตรนี้คำนวณเพื่อใช้วิธีถอดลูกเลื่อนเล็งผ่านแนวลำกล้อง (ที่ฝรั่งเรียก Boresight) ตังศูนย์กล้องให้กับปืนยาว .22 ซีแซด โดยไม่ต้องยิงปรับปืน เอาไปพาดยิงกระรอกในสวนมะพร้าวได้ที่ระยะ 75 หลา ด้วยกระสุนนัดแรก

   ลองเอาสูตรพื้นฐานนี้คำนวณโจทย์การยิงเผื่อที่ระยะ 200 หลาดู สมมุติว่าใช้กระสุน .38 สเปเชียล หัวตะกั่ว 158 เกรน ความเร็วมาตรฐาน 755 ฟุตต่อวินาที

   แทนค่าในสูตรที่ระยะ 25 หลา

D = [32.17/2] x (25x3 / 755)2 = 0.16 ฟุต

   แทนค่าในสูตรอีกครั้งที่ระยะ 200 หลา

D = [32.17/2] x (200x3 / 755)2 = 10.16 ฟุต

   ระยะห่างระหว่างวิถีกระสุนกับแนวเล็ง

   ในการจะเล็งเผื่อสูงหรือเผื่อต่ำนั้น เราต้องการระยะห่างระหว่างวิถีกระสุนหรือเผื่อกับแนวเล็ง นั่นเอง ซึ่งนอกจากจะขึ้นอยู่กับระยะที่หัวกระสุนตกลงมาต่ำกว่าแนวลำกล้อง D แล้ว ยังเกี่ยวข้องกับความสูง ของศูนย์ปืนเหนือแนวกึ่งกลางลำกล้องด้วย

   ผลของแรงต้านอากาศที่กระทำต่อหัวกระสุน

   คราวนี้มาพิจารณาโดยเพิ่มผลของแรงต้านอากาศเข้าไปด้วย หากเป็นขีปนาวิทยาแบบคลาสิค ก็ต้องเอาสมการของแรงต้านอากาศไปหารด้วยน้ำหนักหัวกระสุนกลายเป็นความหน่วง แล้วตั้งสมการของนิวตัน F = ma ในแนวแกน X และ แกน Y จากนั้นก็ต้องเอาเข้าคอมพิวเตอร์อินทีเกรตสองครั้ง ทีละช่วงเวลาเล็ก ๆ จากเวลา 0 ที่ออกจากลำกล้อง ไปจนกระทบเป้า สรุปง่าย ๆ ว่ายุ่งยากวุ่นวายเอาการ

   แต่ตามวิธีที่พัฒนาให้ง่ายขึ้นนี้ เพ็จซา ท่านใช้หลักการทางคณิตศาสตร์ [Expand ผลการอินทีเกรตข้างต้นออกเป็น Binomial Series แล้วตัด Term ที่ไม่สำคัญ - สำหรับท่านผู้อ่านที่อาจเป็นนักคณิตศาสตร์ขี้สงสัย] พิสูจน์ได้ว่า การจะคำนวณระยะที่หัวกระสุนตกลงมาต่ำกว่าแนวลำกล้อง อันรวมผลจากแรงต้านอากาศด้วยนั้น ต้องลดค่าความเร็วต้นของหัวกระสุน VO ลงโดยลบด้วยค่าตัวเลขที่เกือบจะแปรผันตามระยะยิง

   เขียนเป็นสูตรจะอยู่ในรูป ดังนี้

D = g/2 x (R x 3 / V0 – k x R x 3) 2

   เมื่อ k เป็นค่าคงที่อันหนึ่งแล้วแต่รูปร่างของหัวกระสุน ,จัดกลุ่มแล้วเรียกชื่อใหม่ โดยให้ F = v0 / 3 k (มีหน่วยเป็นฟุต) จะได้สมการ

D = (9 g/ 2 V 02 )(1/R – 1 /F)2

   ค่า F ในสมการข้างต้น คือสัมประสิทธิ์ความหน่วงในสมการแรงต้านอากาศของนิวตันนั่นเอง

F x a = V2 หรือ a = (1 / F) x V2

   ในเมื่อ a คือความหน่วงที่เกิดจากแรงต้สนอากาศ

   ค่า F ของหัวกระสุนไม่ได้เป็นค่าคงที่ แต่จะมีค่าเปลี่ยนแปลงไปตามความเร็วของหัวกระสุนด้วย เรียกว่า F เป็นฟังก์ชั่นของความเร็ว V เคราะห์ดีที่รูปแบบของฟังก์ชั่นนี้มีลักษณะคล้ายกัน สำหรับหัวกระสุนรูปทรงต่าง ๆ นั่นคือ ที่ความเร็วต่ำกว่าเสีย ค่า (1 / F) จะค่อนข้างคงที่ พอความเร็วหัวกระสุนเพิ่มขึ้นเข้าสู่ย่านความเร็วเสียง ค่า (1 / F) จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วเกือบจะ คงที่ในย่านความเร็วมากกว่าเสียงเล็กน้อย ครั้นเพมิความเร็วขึ้นไปอีก ค่อา (1 / F) จะลดต่ำลงมาช้า ๆ

   ลองนำสมการใหม่นี้มาใช้กับโจทย์ของเราอีกครั้งในกรณีหัวกระสุน .38 สเปเชียล หัวตะกั่วหนัก 158 เกรนความเร็วมาตรฐาน 755 ฟุตต่อวินาที สามารถคำนวณหาค่า F ได้ตามวิธีซึ่งจะกล่าวต่อไป ได้ค่า F = 322 ฟุต เอาไปแทนค่าในสูตร

   ที่ระยะ 25 หลาจะได้ D = (9 x 32.17 / (2 x 755 x 755)) / (1/25 – 1/322) 2 = 0.16 ฟุต

   และที่ระยะ 200 หลาจะได D = (9 x 32.17 / (2 x 755 x 755)) / (1/200 – 1/322) 2 = 11.46 ฟุต

   จับเข้าสูตหาระยะห่างระหว่างวิถีกระสุนกับแนวเล็ง

   H = -(11.6 + 0.054) + (0.16 + 0.054) x [22/25] = -9.80 ฟุต

   ดังนั้น ต้องเล็งเผื่อ 9.80 ฟุตเหนือเป้าหมาย คือ ประมาณเกือบ 2 ช่วงตัวคนเหนือเป้าหมาย นั่นเอง

   ส่วนโจทย์การยิงงูเขียวหางไหม้ในระยะใกล้มากก็ใช้สูตรหาค่า H เช่นกัน การยิงที่ระยะ 2 หลา ถือว่ากระสุนแทบจะไม่ตกลงต่ำกว่าแนวลำกล้อง D = 0

H = -(0 + 0.054) + (0.16 + 0.054) x [2/25]= -0.037 ฟุต

   นั่นคือกระสุนจะอยู่ใต้แนวเล็ง 0.037 ฟุต คือ 0.037 x 12 = 0.44 นิ้ว เหนือเป้าหมาย

   ครับ …. การคำนวณวิถีกระสุน ที่ระยะต่าง ๆ ก็มีเพียงแค่นี้เอง สูตรนี้ เพ็จซา ท่านพัฒนาขึ้นมาสำหรับปืนไรเฟิล แต่เราเอามาประยุกต์ใช้กับปืนพกก็ไม่ผิดกติกาขอเพียงหาค่า F ให้ได้ก็แล้วกัน ทีนี้จะยิงที่ระยะไกลแค่ไหน เล่นบทเป็น “ควิกลี่ สิงห์ปืนไกล” ก็ย่อมจะทำได้

   คำถามคือ เราจะหาค่า F ได้อย่างไร เพ็จซาท่าเสนอวิธีไว้สองวิธีครับ วิธีแรกจะไดค่าที่ค่อนข้างถูกต้องกว่า แต่ต้องมีข้อมูลความเร็วของหัวกระสุนที่ระยะต่าง ๆ อยู่ในมือ ท่านว่าให้ใช้สูตรดังนี้

F = [3 x (R2 – R1) / (V1 – V2 )] x [(V1+V2) / 2]

   นั่นคือ ที่ระยะยิงระหว่าง R1 หลา กับ R2 หลา ซึ่งที่ระยะดังกล่าว กระสุนมีความเร็ว V1 ฟุตต่อวินาที กับ V2 ฟุตต่อวินาทีตามลำดับ การหาค่า F ให้ใช้สูตรข้างต้นลองดูตัวอย่างครับ

   สมมุติว่ากระสุน .38 สเปเชียล หัวตะกั่วหนัก 158 เกรน มีความเร็วที่ระยะต่าง ๆ ดังนี้

ระยะ (หลา) ความเร็วหัวกระสุน (ฟุตต่อวินาที)

  0                              755.0

100                            690.0

200                            633.3

   หา ค่า F ระหว่าง 0 ถึง 200 หลา ได้โดยแทนค่าในสูตรดังนี้

F = [3 x (200-0) / (755-633.3)] x [(755+633.3) / 2]=600/121.7 x 1388.3/2 = 3422 ฟุต

   อันที่จริงต้องหาค่า F ในย่านความเร็วต่าง ๆ แต่ตามที่กล่าวไว้แล้วนั้น ค่า F จะค่อนข้างคงที่ในย่างความเร็วต่ากว่าเสียง 1100 ฟุตต่อวินาที จึงใช้ค่า F ค่าเดียวได้

   อีกวิธีหนึ่งใช้สูตรคำนวณเอาได้โดยไม่ต้องใช้ช้อมูลความเร็ว อาศัยแต่ประมาณลักษณะรูปทรงหัวกระสุนหาค่าสัมประสิทธิ์ขีปนวิธี (Ballistic Coefficient) เอาไปเทียบกับกระสุนมาตรฐาน ค่าที่ได้จะเป็นค่าโดยประมาณแต่ก็ใกล้เพียงพอที่จะใช้ในทางปฏิบัติได้ดี ตามวิธีนี้ท่านว่าให้หาค่า Ballistic Coefficient ? ด้วยสูตรดังนี้

C =Wt x [(Di+0.5)/Di2 ] / [415 x (8-2SC + SC2 )]

   เมื่อ Wt = น้ำหนักหัวกระสุน หน่วยเป็นเกรน , Di = เส้นผ่านศูนย์กลางหัวกระสุน หน่วยเป็น นิ้ว, SC = ค่าคงที่สำหรับรูปทรงหัวกระสุน (Shape Class) โดย SC = 1 สำหรับกระสุนหัวแหลมท้ายตัด (Flat-Based Spitzer) ,SC = 2 สำหรับกระสุนหัวแหลมท้ายตัด (Flat-Based Spitzer) , SC = 3 สำหรับกระสุนหัวกึ่งมน (Semi-Roundnose) , และ SC = 4 สำหรับกระสุนหัวมนและหัวตัด (Roundnose or Flat Nose) ได้ค่า C แล้วก็เอาไปคูณกับ ค่า F ของหัวกระสุนมาตรฐาน จะออกมาเป็นค่า F ของกระสุนที่เราต้องการทราบ

   หัวกระสุนมาตรฐาน ที่กล่าวถึงเป็นกระสุน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 นิ้ว หนัก 1 ปอนด์ ยาว 3 นิ้ว หัวแหลมท้ายตัด โดยส่วนโค้งของหัวกระสุนที่รัศมีเท่ากับสองเท่าของเส้นผ่าศูนย์กลาง (Two-Caliber Ogive) เป็นกระสุนโบราณที่ให้ผลการคำนวณไม่ตรงกับผลจากหัวกระสุนไรเฟิลสมัย ใหม่ในย่านความเร็วต่ำ แต่บังเอิญหัวกระสุนปืนพกยังมีลักษณะไม่ต่างจากกระสุนโบราณ มากนัก จึงน่าจะใช้ตัวเลขของหัวกระสุนมาตรฐานนี้ได้ดี ค่า F ของหัวกระสุนมาตรฐาน ณ ความเร็วต่าง ๆ เรียกว่าตารางของอิงกอลส์ (Ingallss Table) เพื่อให้เกียรติแด่ พันเอก เจมส์ อิงกอลส์ นักขีปนวิทยาแห่งกองทัพบกสหรัฐฯ ที่พัฒนาตารางนี้ขึ้นจากข้อมูลของ พันเอก มาเยฟสกี้ นักขีปนวิทยาแห่งกองทัพบกรัสเซีย ตารางของอิงกอลส์ ท่านให้ไว้ดังนี้

ความเร็ว

(ฟุตต่อวินาที)

ค่า F (ฟุต)

ความเร็ว

(ฟุตต่อวินาที)

ค่า F (ฟุต)

2000

7836

1000

15780

1900

7717

900

18720

1800

7592-7599

800

21060

1700

7599

700

21386

1600

7599

600

21386

1500

7599

500

21386

1400

7599

400

21386

1300

8038

300

21386

1200

9132

200

21386

1100

11856

100

21386

   ลองมาใช้สูตรนี้ดูกับตัวอย่างเดิมครับ กระสุน .38 สเปเชียล หัวตะกั่วมนหนัก 158 เกรน เส้นผ่าศูนย์กลางจริงของหัวกระสุน = .357 นิ้ว ,SC =4 สำหรับ กระสุนหัวมน แทนค่าสูตร หาค่า Ballistic Coefficient

C = 158x[(.357 +0.5)/(0.357) 2] / [415 x (8-2x4 + 42)]= 158x[6.724] /[6640]=0.160

   เสร็จแล้วเอาไปคุณกับ F จาก ตารางของอิงกอลส์ดูความเร็วที่ 755 ฟุตต่อวินาที ค่า F ของหัวกระทุนมาตรฐาน เท่ากับ 21386 ฟุต (ประมาณเอาค่าที่ความเร็วต่ำกว่า 700 ฟุตต่อวินาทีลงมา)

   ดังนั้นหัวกระสุน .38 สเปเชียล ของเราจะมีค่า F เท่ากับ 0.160 x 21386 =3422 ฟุต

   การคำนวณสำหรับกระสุนความเร็วสูง

    กรณีกระสุนความเร็วสูงที่ความเร็วคาบเกี่ยวระหว่างย่านต่าง ๆ ตามตารางขององกอลส์ การคำนวณจะซับซ้อนขึ้น แต่คงจะไม่เหลือบ่ากว่าแรงนักนะครับ ในกรณีนี้ท่านให้แบ่งคำนวณทีละย่านหรือโซน (Zone) คือ

   โซน 1 ความเร็ว 1800 ถึง 1400 ฟุตต่อวินาที กราฟ 1/ F มีความชัน n=0

   โซน 2 ความเร็ว 1400 ถึง 1200 ฟุตต่อวินาที กราฟ 1/F มีความชัน n=1

   โซน 3 ความเร็ว 1200 ถึง 1000 ฟุตต่อวินาที กราฟ 1/F มีความชัน n=3

   โซน 4 ความเร็ว 1000 ถึง 800 ถึง 100 ฟุตต่อวินาที กราฟ 1/F มีความชัน n=0

   ลองดูวิธีคำนวณไปพร้อมกับตัวอย่างเลยครับเปลี่ยนโจทย์เป็นการใช้ปืน .357 แม็กนั่ม กระสุนหัวรูหุ้มเปลือกแข็งหนัก 110 เกรน ความเร็วตัน 1295 ฟุตต่อวินาที

   ก่อนอื่นต้องคำนวณหาว่ากระสุนวิ่งได้ระยะทางกี่หลา ในแต่ละโซนโดยใช้สูตรความเร็ว

v = v 0 x [1-3n R/F0]1/n

   กรณี n ไม่เท่ากับ 0

   และ V= V0 Exp [-3R/F0 ] กรณี n เท่ากับ 0 แปลงเป็นสูตรหาระยะแต่ละโซนได้ดังนี้

R = [F0/3] x ln (v0/v)

   กรณี n เท่ากับ 0 (โซน 1 และ โซน 5) R=[F0/3] z (1- v0/v)

   กรณี n เท่ากับ 1 (โซน 2 และ โซน 4)และ R=[F0/9] x (1- (v/v0)3]

   กรณี n เท่ากับ 3 (โซน 3) จากนั้นหาค่า F แรกเริ่ม F0 โดยใช้สูตรหา Ballistic Coefficient

C = 110 z [(.357+0.5)/.3572] / [415x (8-2x4 +42)] =110x[6.724]/[66400= 0.1114

   เอาไปคูณค่า F ของหัวกระสุนมาตรฐานในตารางของอิงกอลส์ ซึ่งมีค่า 8038 สำหรับความเร็ว 1300 ฟุตต่อวินาที จะได้ F0 ของหัวกระสุน .357 แม็กนั่ม

F0 = .1114 z 8038 = 895.4 ฟุต

   จากโจทย์ ความเร็วต้น 1295 ฟุตต่อวินาที อยู่ในโซน 2 ต้องหาว่าจะอยู่ในโซน 2 นี้ เป็นระยะทางเท่าใด (คือความเร็วจะลดลงเหลือ 1200 ฟุต ต่อวินาทีที่ระยะใด)

   R2 =[F0/3] x (1-V/V0)=[895.4/3] x (1-1200/1295)=21.9 หลา

   จากนั้นหาว่าจะอยู่ในโซน 3 เป็นระยะทางอีกเท่าใด (คือความเร็วจะลดลงเหลือ 1000 ฟุต ต่อวินาทีที่ระยะใด) ใช้สูตร R3 = [F0/9] x [1-(V/V0)3] จากค่า F ของหัวกระสุนมาตรฐานในตารางขององิกอลส์ซึ่งมีค่า 9132 สำหรับความเร็ว 1200 ฟุตต่อวินาที จะได้ F0 ของหัวกระสุน .357 แม็กนั่มในโซนนี้ F0 = .1114 x 9132 = 1017.3 ฟุต

R3 = [1017.3/9] x [1 – (1000 /01200)3] = 47.6 หลา

   แล้วหาว่าจะอยุ่ในโซน 4 เป็นระยะทางเท่าใด (คือความเร็วจะลดลงเหลือ 800 ฟุต ต่อวินาทีที่ระยะใด) R4 = [F0/3]x(1 – V/V0) จากค่า F ของหัวกระสุนมาตรฐานในตารางของอิงกอลส์ ซึ่งมีค่า 15780 สำหรับความเร็ว 1000 ฟุตต่อวินาที จะได้ FO ของหัวกระสุน .357 แม็กนั่มในโซนนี้

F0 = .1114 x 15780 = 1757.9 ฟุต

R4 = [1757.9 /3] x (1-800/1000) = 117.2 หลา

   ตรวจระยะทางรวม 21.9 +47.6+117.2 =186.7 หลา จึงเหลือระยะทางในโซน 5 อีก R5 =200-186.7 = 13.3 หลา

   ความเร็วกระทบเป้า จึงหาได้จาก V = V0 Exp [-3R / F0] โดยค่า F ของหัวกระสุนมาตรฐานในตารางของอิงกอลส์ ซึ่งประมาณเอาว่ามีค่า 21386    สำหรับความเร็ว 800 ฟุตต่อวินาที จะได้ F0 ของหัวกระสุน .357 แม็กนั่มในโซนนี้ F0 = .1114 x21386 = 2382.4 ฟุต (ต้องขออภัยที่ช่วงนี้ต้องใช้เครื่องคิดเลขแบบวิทยาศาสตร์ที่มีฟังก์ชั่นเอ็กซ์โปแนนเชียลครับ)

V=800 Exp [-3 x 13.3/2382.4]

   ความเร็วกระทบเป้า =786.7 ฟุตต่อวินาที ได้ระยะทางในแต่ละโซนความเร็วแล้ว ก็มาหาวิถีกระสุนได้ โดยในแต่ละโซน ท่านให้ใช้ค่า F เฉลี่ย Fm ตามสูตรนี้

    Fm = F จากโซนก่อน -.078 n x R

   เมื่อ n คือความชันของกราฟ 1/F และ R คือระยะทางที่กระสุนวิ่งไปได้ในระหว่างที่มีความเร็วอยู่ในโซนนั้นมีหน่วยเป็นหลา

   เริ่มต้นที่โซน 2 Fm2 = F0 – 0.78 x 1 x R2 =895.4 – 0.78 x 21.9 = 878.4 ฟุต

   ระยะที่หัวกระสุนตกลงมาต่ำกว่าแนวลำกล้อง

   D2 = (9 g /2 V02) / (1/R2 – 1/Fm2)2 แทนค่า ได้

   D2 = (9x32.17 / (2x 12952) / (1/21.9 – 1/878.4)2 = 0.04 ฟุต

   นอกจากผลของอากาศทำให้วิถีกระสุนตกลงมาแล้วยังทำให้ทิศทางของแนวที่กระสุนเคลื่อนที่ (ที่เรียกกันว่าเวคเตอร์ของความเร็วกระสุน) เปลี่ยนด้วย เป็นผลให้กระสุนวิ่งลงต่ำไปอีก ท่านให้คำนวณหาระยะที่เกิดจากการเปลี่ยนทิศในแต่ละโซน ด้วยสมการ

D’=2D/R [ (1+0.78 x n (R/F)2) / (1-R/F)] x (Rt – R1)

   เมื่อ(Rt –R1) คือระยะทางที่เหลือจากจุดสุดท้ายของโซนนั้น ไปยังเป้าหมาย

   สำหรับ โซน 2 ในโจทย์ :

D2’=2D/R2 [ (1+0.78 x n (R2/Fn2)2) / (1-R2/Fn2)] x (Rt – R1) = 2x0.04/ 21.9 [ (1+0.00048) /(1-21.9/878.4)] x (200-21.9)= 0.73 ฟุต

   และในลักษณะเดียวกันก็สามารถคำนวณ ค่าของโซนอื่น ๆ ได้ดังนี้

Fm3 = 1017.3 –0.78 x 3 x 47.6 = 905.9 ฟุต

D3 = (9 x 32.17 / (2 x 12002)) / (1/47.6 –1/905.9)2 = 0.25 ฟุต

D3’ = 2 x 0.25 /47.6 [(1+0.0064)/(1-47.6/905.9)] x (200 – 21.9 – 47.6) =1.48 ฟุต

Fm4 = 1757.9 –0.78 x 1 x 117.2 = 1666.5 ฟุต

D4 = (9 x 32.17 / (2 x 10002)) / (1/117.2-1/1666.5)2 = 2.30 ฟุต

D4’ = 2 x 2.30 /117.2[(1+0.0038)/(1-117.2/1666.5)] x (200 – 21.9 – 47.6-117.2) =0.56 ฟุต

Fm5 = 2382.4-0.78x0x13.3=2382.4 ฟุต

D5 = (9 x 32.17 / (2x 8002)) / (1/13.3 – 1/2382.4)2 = 0.04 ฟุต

   รวมระยะที่หัวกระสุนตกลงมาต่ำกว่าแนวลำกล้องทุกโซน

Dรวม = D2 + D2’ + D3 + D3’ + D4 + D4’ + D5=0.04+0.73+1.48 + 0.25 + 2.30 + 0.56 + 0.04 ฟุต= 5.41 ฟุต

  เสร็จแล้วก็จับเข้าสูตรหาระยะห่างระหว่างวิถีกระสุนกับแนวเล็ง

H = -(5.41 + 0.054) + (DZ + 0.054) x [200/25]

   ดังนั้น ต้องเล็งเผื่อ 4.58 ฟุตเหนือเป้าหมาย คือ ประมาณ เกือบหนึ่งช่วงตัวคนเหนือเป้าหมาย นั่นเอง

   ครับ….คงพอหอมปากหอมคอเท่านี้ก่อน วิธีการคำนวณนี้สามารถเอามาสร้างตารางยิงสำหรับปืนใด ๆ ก็ได้ ซึ่งที่จริงแล้วจะมีประโยชน์มากสำหรับการใช้ตั้งกล้องของปืนไรเฟิลล่าสัตว์ แต่ผู้เขียนไม่ขอสนับสนุนการฆ่าสัตว์ตัดชควิตในลักษณะนี้น จึงไม่ขอกล่าวในรายละเอียดต่อไป ส่วนผู้ใดจะนำวิธีการคำนวณนี้ไปใช้เพื่อการศึกษาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในกรณีนี้จะขอเพียงบอกใบ้ให้ว่า เพ็จซาท่านให้ค่า Ballistic Coefficient ของหัวกระสุน .22 LR และ.22 แมกนั่ม ไว้ดังนี้

กระสุน

ความเร็วต้น (ปืนยาว)

ฟุตต่อวินาที

Ballistic Coefficient (C)

.22 LR หัวกระสุนหนัก 40 เกรน

1150

.136

.22 LR หัวกระสุนหนัก 40 เกรน

1255

.128

.22 LR หัวกระสุนหนัก 33 เกรน

1500

.099

.22 แม็กนั่ม หัวกระสุนหนัก 40 เกรน

1910

.109

   สุดท้ายนี้ก็คงกล่าวอย่างเคยว่า วิชาขีปนวิทยามีอะไรที่น่าศึกษาเป็นอย่างมาก     ตัวอย่างเช่นเรื่องของการออกแบบเกลียวลำกล้องให้เหมาะกับหัวกระสุนที่ใช้ท่าทราบหรือไม่ว่า หากยิงปืนพกของสมิธแอนด์ เวสสัน (เกลียวเวียนขวา) ในซีกโลกเหนือ ปืนจะยิงกินขวาเล็กน้อย แล้วหากเอาไปยิงในซีกโลกใต้ปืนจะกินซ้าย เรื่องเหล่านี้คงจะมาเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อ ๆ ไปครับ

ขอขอบคุณ Guns world Thailand ที่ได้อนุญาตให้นำบทความมาจัดทำ website นี้

Back Next Page

(--[Main]-*-[Links]-*-[Search]-*-[Pager]-*-[Contact]-*-[E-mail]--)

1