This
Page |
|
Related
Topic |
|
Interesting Links
|
|
ติชม
หรือสอบถามได้ที่นี่ครับ
|
|
เป็นสภาวะที่ตอบสนองกับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เป็นอันตรายเกินกว่าที่ควรจะเป็นด้วยระบบภูมิคุ้มกัน
เช่น
|
เมื่อเราถูกยุงกัด
ยุงจะปล่อยน้ำลายออกมาด้วย
สำหรับผู้ที่แพ้
จะเกิดอาการบวมแดงคัน
อย่างมากมาย
แต่ในผู้ที่ไม่มีปัญหาการแพ้
ก็เกิดอาการคันบวมแดงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
จะไม่มีผู้ใดเลยที่ไม่มีอาการเลย
เนื่องจากการแสดงออกของอาการเป็นการบอกให้ร่างกายรับรู้การกัดของยุง |
|
หรือการสูดละอองเกสรดอกไม้
ในร่างกายปกติก็จะต้องมีการจาม
ไอ น้ำมูกไหล
เป็นปกติเพื่อกำจัดสิ่งที่สูดดมเข้าไป
แต่ผู้ที่เป็นภูมิแพ้
ก็จะเกิดอาการที่รุนแรงกว่า
เป็นต้น |
พบว่า
ภูมิแพ้มักมีประวัติในครอบครัวด้วย
กล่าวคือ
|
ถ้ามีพ่อแม่เป็นภูมิแพ้ทั้ง
2 คน
จะพบว่าลูกมีโอกาสเป็นมากถึง
75% |
|
ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็น
ลูกมีโอกาสเป็นประมาณ 25% |
|
ถ้าไม่มีใครเป็น
ลูกมีโอกาสเป็นประมาณ 10% |
ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจกับคำว่า
Rhinitis ก่อนดังนี
้ คำว่า Rhinitis แปลว่า
จมูกอักเสบ
จะสังเกตว่าใช้คำว่าอักเสบ
ซึ่งมักเข้าใจว่าเป็นการติดเชื้อ
ซึ่งจริงๆไม่ใช่
เพราะการอักเสบหมายถึง
อาการ บวม แดง ร้อน
ซึ่งเป็นได้ทั้งการติดเชื้อ
และไม่ติดเชื้อ
ท่านจึงต้องเลือกใช้ยาให้ถูกไม่ใช่ฟังเพียงชื่อโรคก็จะเรียกหายาแก้อักเสบ
ซึ่งที่จริงน่าจะเรียกว่ายาปฏิชีวนะมากกว่า
-
Seasonal Allergic Rhinitis
หมายถึงการแพ้ทางจมูกที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลเนื่องจากเกสรดอกไม้จากพืช
หรือ สมัยก่อนเรียกว่า Hay
Fever
-
Perennial Rhinitis
คือการแพ้ทางจมูกที่เป็นตลอดปี
ได้แก่ การแพ้ที่เกิดจาก
ไร, เชื้อรา, ขนสัตว์, อื่นๆ
ที่มีอยู่ตลอดทั้งปี
-
Food Allergy
แพ้อาหาร
อาหารที่พบบ่อยได้แก่ ไข่
, นม , ถั่ว , หอย เป็นต้น
-
Anaphylactic Shock
เป็นรูปแบบการแพ้ที่รุนแรงถึงชีวิต
ได้แก่
การแพ้ยาเพนนิซิลลิน
หรือแมลงกัดต่อย ตะขาบ
ฯลฯ
-
Allergic Conjunctivitis
เยื่อตาอักเสบ บวม แดง
-
Contact Dermatitis
รูปแบบการแพ้ทางผิวหนัง
เกิดผื่นแพ้ คัน
เมื่อร่างกายสัมผัสกับสารที่กระตุ้นให้เกิดการแพ้ที่เรียกว่า
Allergen
ในครั้งแรกจะยังไม่เกิดการแพ้
แต่ร่างกายจะสร้างสารต่อต้านที่เรียกว่า
Antibody เมื่อสัมผัส Allergen
หลายๆครั้ง Antibody
ก็จะถูกสร้างมากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งเกิดอาการ
Antibody
ที่ถูกสร้างขึ้นมีหลายชนิด
ชนิดที่เกี่ยวข้องกับการแพ้
มีชื่อเรียกว่า Immunoglobulin E (IgE) IgE
จะมีอยู่ที่ผนังเซลล์ที่เกี่ยวกับการแพ้ที่เรียกว่า
Basophil หรือ Mast Cell ซึ่งในตัว Mast Cell
จะมีอวัยวะส่วนหนึ่งที่ภายในบรรจุสารที่เรียกว่า
Histamine
สารนี้จะถูกปล่อยออกมาเมื่อมี
Allergen มาเกาะที่ IgE การปล่อย
Histamine
ออกมาจะไปกระตุ้นเส้นเลือดบริเวณใกล้เคียงให้เกิดการขยายตัว
น้ำในเลือดซึมผ่านออกมาทำให้เกิดอาการบวม
แดง ร้อน คัน ผื่น
|
Allergen
แต่ละชนิดจะกระตุ้นให้มีการสร้าง
IgE แต่ละชนิดด้วยเช่นกัน |
|
จำนวนของ
IgE
ที่มีอยู่มีผลต่อความรุนแรงของการแพ้ |
ถ้าท่านมีอาการต่อไปนี้
มีความน่าจะเป็นการแพ้ คือ
|
ไม่มีไข้ |
|
น้ำมูก เสมหะ ใส
ไม่เหนียวข้น (นอกจากว่าท่านทานยาลดน้ำมูก
ซึ่งจะทำให้น้ำมูกเหนียว) |
|
มีอาการจาม คันจมูก หู คอ (โดยเฉพาะบริเวณเพดานปาก) |
|
มีอาการเรื้อรังต่อเนื่องยาวนานกว่าการเป็นหวัดทั่วไป
ประมาณ 7-10 วันขึ้นไป |
- หัวใจสำคัญที่สุด คือ
หาสาเหตุการแพ้
และหาทางหลีกเลี่ยง
- การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
และการพักผ่อน
ให้เพียงพอจะช่วยให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น
- ใช้ยาแก้แพ้
Antihistamine และใข้ยาลดบวมภายในโพรงจมูกด้วยถ้ามีอาการแน่นจมูกด้วย
- ถ้าอาการรุนแรงมาก
พิจารณาการใช้การรักษาด้วยการทดสอบผิวหนังหาสารที่แพ้
และรับการฉีดสารที่แพ้นั้นเข้าร่างกายทีละน้อย
ต้องใชเวลานานจึงเห็นผล (
ประมาณ 3-5 ปี ) เพื่อปรับให้ร่างกายเคยชิน
ซึ่งจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้โดยตรง
|