นิยายแฟนตาซีแบบไทย

ศึกหกภพ

โดย เชษฐา

บทที่ 2 อาศรมฤๅษีชยารพ
(4)


พวกอสูรเดินทางกลับโดยไม่รีบร้อนทิ้งให้ชยารพนั่งมองตาค้างตรงนั้น
ไม่อาจทำอะไรได้สักนิดหนึ่ง

ศิษย์ที่อออยู่ตรงนั้นเห็นอาจารย์ไม่ขยับก็ไม่กล้าทำประการใด
จนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน
ในที่สุดชยารพได้สติจึงเข้าฌานตรวจดูพบว่าการที่เสียตบะไปเมื่อสักครู่นั้นทำให้ฤทธิ์ของตนเสื่อมถอยลงไปกว่าเดิมมาก
ก็ให้บังเกิดความเศร้าเสียดายนัก

“พระอาจารย์...” ศิษย์คนหนึ่งประนมมือทักเมื่อเห็นพระฤๅษีมีสีหน้าไม่ดี
ชยารพหันไปมองเหล่าลูกศิษย์แล้วส่ายหน้า โบกมือให้แยกย้ายกลับไปพักผ่อนเสีย
ทุกคนพอจะทราบว่าอาจารย์ได้เสียทีแก่อสูรเสียแล้วจึงไม่มีใครกล้ากล่าวมากความต่างพากันสลายตัวไปตามคำสั่ง


คืนนั้นชยารพไม่สามารถข่มจิตให้หลับลงได้
เช้าวันต่อมาขณะกำลังรับประทานอาหารเขาคิดในใจว่า “โอ...
นี่เป็นกรรมแต่ปางใดหนอ เราอายุปูนนี้แล้วไม่อาจเริ่มต้นใหม่ได้อีก
เสียดายวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาต้องสูญเปล่าไปหมดสิ้น
แล้วเราจะอยู่ไปเพื่อประโยชน์อันใดกัน...”

แล้วชยารพก็เหลือบเห็นสนยกอ่างล้างมือมาให้จึงกล่าวกับตนเองในใจว่า
“ไอ้คนนี้มันอยู่กับเรามาหลายปี
เรายังไม่เคยสอนวิชาใดๆให้แก่มันเลยเพราะเห็นว่ามันใช้งานได้ดีประกอบกับไม่มีญาติพี่น้องมาคอยอุปถัมภ์ส่งเสีย
หากเป็นคนอื่นคงหนีไปนานแล้วแต่นี่กี่ปีๆมันก็ยังคงมุมานะรับใช้เราอยู่นั่นแหละ
แสดงว่ามีความตั้งใจมาเรียนจริงและยังว่านอนสอนง่ายพอควร”
พระฤๅษีเกิดความคิดบางอย่าง เขาเรียกสนมาถามว่า

คิดได้ดังนั้นชยารพจึงกล่าวกับสนว่า “ชื่อสุวัจน์สินะ
เจ้าอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้ว?”
เขาเรียกด้วยชื่อปลอมที่สนใช้ปกปิดวรรณะเดิมของตน
“สามปีครับ” สนตอบ
“อืม ระหว่างสามปีนี้เจ้าทำหน้าที่ใดบ้าง?”
“ก็หลายอย่างครับ
ตั้งแต่ตักน้ำฝ่าฟืนทำความสะอาดอาศรมไปจนถึงซ่อมเครื่องไม้เครื่องมือเล็กๆน้อยๆ
”
“พาข้าไปดูสถานที่ๆเจ้าทำงานหน่อยสิ”

อาศรมของชยารพตั้งอยู่บนภูเขาทางตอนเหนือของมนุสสภูมิอากาศจึงค่อนข้างหนาวและไม้ฟืนเป็นสิ่งจำเป็น
เมื่อสนพาอาจารย์ไปที่ห้องเก็บฟืน
พระฤาษีเห็นมีกองฟืนจำนวนมากจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบจึงถามว่า
“มีใครรับผิดชอบงานที่นี่บ้าง?”
“เมื่อก่อนมีรุ่นพี่อีกสามคนดูแลอยู่ แต่เดี๋ยวนี้เหลือข้าคนเดียวแล้วครับ”
ชยารพได้ยินดังนั้นจึงแกล้งตวาดขึ้น “โกหก!
เมื่อก่อนมีคนสามคนไม้ฟืนยังขาดแคลน
หากเหลือเพียงเจ้าคนเดียวไหนเลยฟืนจะเยอะขนาดนี้”

สนเห็นอาจารย์โกรธก็ตกใจรีบกล่าวว่า “มีแต่ข้าคนเดียวจริงๆครับ
ที่มีฟืนมากเพราะข้าปรับวิธีทำงานเท่านั้น”
“ปรับวิธีทำงาน? ไหนเจ้าแสดงให้ข้าดูสิ
หากทำงานไม่ได้มากขึ้นเจ้าจะต้องถูกลงโทษแน่!”

สนตอบรับด้วยความยำเกรง
เขาจัดแจงหยิบไม้ใหญ่มัดหนึ่งมาตัดทุกท่อนเป็นฟืนขนาดเท่ากัน
จากนั้นหยิบแต่ละท่อนมาผ่าเป็นสี่ส่วนให้พอเหมาะแก่การใช้เป็นเชื้อเพลิงเตาไฟ
สุดท้ายเขาจึงมัดฟืนท่อนเล็กเป็นชุดๆแล้วจัดเก็บเข้าตามระเบียบ

การกระทำทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ
แม้แต่ชยารพเองก็สังเกตได้ว่าไม่มีท่วงท่าไหนของสนที่แสดงออกมาโดยสูญเปล่าเลย
ทุกอากัปกิริยาล้วนถูกจำกัดให้สั้นที่สุด เร็วที่สุด และมีประสิทธิภาพที่สุด
“เมื่อก่อนรุ่นพี่จะใช้วิธีหยิบไม้มาตัดแบ่งและจัดเก็บทีละท่อนๆครับ”
สนอธิบาย
“แต่ข้าพบว่าการแยกทำทีละขั้นตอนจะเร็วกว่าจึงคุยให้พวกเขาลองเปลี่ยนวิธีการทำงานดู
ความจริงหากเป็นเมื่อก่อนที่พวกรุ่นพี่ยังอยู่ พวกเราสี่คนคนหนึ่งเรียงไม้
คนหนึ่งตัดเป็นท่อนๆ คนหนึ่งผ่าสี่ อีกคนมัดให้เป็นระเบียบแล้วจัดเก็บ
งานจะออกมาเร็วกว่านี้มากครับ”

“แล้วเรื่องท่าทางในการตัดฟืนของเจ้าล่ะ ข้าเห็นมันเป็นฉากๆเหมือนกัน
เจ้าไปเอาท่าเหล่านั้นมาจากไหน?”
“อ๋อ
ข้าสังเกตจากท่าทางของรุ่นพี่คนที่ทำงานขั้นตอนนั้นๆได้ดีที่สุดแล้วเลียนแบบมาน่ะครับ”


ชยารพคิด ด้วยเหตุนี้เองมันจึงสามารถทำงานได้เร็วและใช้ขั้นตอนน้อยที่สุด
หากเมื่อก่อนเราเห็นว่ามีไม้ฟืนเพียงพอจึงไม่จัดศิษย์ให้ไปรับผิดชอบงานนี้อีกกลับเหมือนเป็นการแกล้งให้มันต้องดักดานอยู่แต่ในที่แห่งนี้

เอาเถอะ เราจะชดใช้อะไรให้บ้าง เจ้านี่มีปัญญาดี
คนเช่นนี้แม้ว่าสอนไปจะไม่ได้สมบัติหรือชื่อเสียงตอบแทนแต่หากรับเป็นทายาทอาจจะเหมาะสมที่สุด
...เราเองไม่มีอนาคตอีกแล้วหรือจะฝากอนาคตที่เหลือเอาไว้กับมัน

พระฤๅษีคิดได้ดังนั้นจึงกล่าวกับสนว่า “แล้วเจ้าพอใจกับหน้าที่เหล่านั้นไหม?”


จริงๆแล้วสนไม่เคยนึกพอใจหรือไม่พอใจกับงานที่ทำมาก่อน
เพียงแต่รับคำสั่งมาให้ทำก็ทำโดยความคิดที่จะเอาแรงกายนั้นแลกเป็นค่าเรียนกับพระฤๅษีดังความตั้งใจแต่แรก
หากบัดนี้เขาเกรงว่าถ้าตอบผิดไปชยารพจะไม่สอนวิชาให้จริงๆจึงได้แต่อ้ำอึ้งอยู่

ชยารพเห็นสนนิ่งเงียบก็เข้าใจว่าไม่กล้าตอบจึงหัวเราะร่วน “ฮาฮาฮา
เจ้าคงไม่ชอบละสิ แต่ที่ข้าไม่ให้เจ้าเรียนนั้นมีเหตุผลดอก
คือเป็นเพราะว่าร่างเจ้ามีพื้นฐานที่แข็งกว่าคนอื่นจึงต้องผ่านการขัดเกลามากเป็นพิเศษ
แต่เมื่อได้ขัดเกลาจนพอเหมาะแล้วเจ้าจะทำการเล่าเรียนได้เร็วและเหนือกว่าใคร”

“พระอาจารย์หมายความว่า...”
“บัดนี้ได้เวลาพอเหมาะนั้นแล้ว เจ้าประสงค์จะเรียนวิชาหรือไม่เล่า”

สนรู้สึกปลื้มปิติอย่างบอกไม่ถูก ก้มลงกราบอาจารย์ร้อง “ครับ!” เสียงดังสดใส
ชยารพหัวเราะ “ดี วิชาที่ข้าจะให้เจ้าฝึกนี้เรียกว่า ‘ประภาส’
เป็นพื้นฐานของวิชาทางฤทธิ์ทั้งปวง” เขาคิดสักครู่หนึ่ง “อืม…
ห้องเก็บฟืนนี่ปกติมีใครเข้าออกบ้าง”
“มีการเอาฟืนมาเก็บและส่งฟืนออกวันละครั้งในช่วงบ่ายครับ”

ชยารพเข้าไปตรวจดูให้ห้องเก็บฟืน มันเป็นห้องทึบๆห้องหนึ่ง
ภายในไม่มีหน้าต่างหรือรูใดๆเลย
สนทราบว่าที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเมื่อก่อนห้องนี้ใช้เป็นที่เก็บอาหารจึงต้องสร้างไว้ในที่แห้งและมิดชิดกว่าปกติ


เมื่อชยารพสั่งให้หาผ้ามาขึงหน้าประตูห้องก็มืดสนิท

ชั่วขณะหนึ่งความมืดและความเงียบทำให้สนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ผ่านไปสักพักจึงมีเสียงทิ่มดังปึ้ก ปึ้ก ปึ้ก
ขึ้นที่ผนังด้านหนึ่งจนแตกออกเป็นรูเล็กๆเผยให้เห็นแสงสว่างรำไรส่องลอดเข้ามา

ปรากฏว่าชยารพนั่นเองเป็นคนใช้เหล็กแหลมทิ่มผนังจนทะลุ “เห็นอะไรบ้าง” เขาถาม

สนทำท่าจะยื่นหน้าออกไปมองแต่ถูกอาจารย์กั้นเอาไว้ “ตอบมาแค่ที่เห็นขณะนี้”

“…เห็นแสงสว่างครับ”
“ดี
นับจากวันนี้ให้เจ้าตื่นมานั่งมองแสงนี้ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจวบจนบ่ายมีการส่งฟืนจึงออกไปทำงานตามปกติ
เมื่องานเสร็จแล้วตกกลางคืนอับแสงก็ให้จุดตะเกียงขึ้นมามองต่อแรกๆยังไม่ต้องเคร่งครัดมาก
หิวก็กิน ง่วงก็นอน รู้สึกแสบตาก็พักได้
แต่นอกจากนั้นแล้วให้ใช้เวลามองแสงอย่างที่ข้าสอนเท่านั้นเข้าใจไหม?”
นี่ไม่ค่อยตรงกับการฝึกฤทธิ์ที่สนจินตนาการไว้เท่าไหร่
อย่างไรก็ตามเขาไม่กล้าถามมากจึงตอบรับคำ ชยารพกล่าวต่อว่า
“พรุ่งนี้ข้าจะจัดศิษย์เข้าใหม่อีกสามคนมาทำงานที่นี่ให้เจ้าสอนงานพวกมันด้วย”


ในวันนั้นสนหมดเวลาที่เหลือไปกับการนั่งอยู่ข้างๆรูนั้นและจ้องแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดลงมาเบื้องหน้า
ตอนกลางคืนจุดตะเกียงมองต่อจนกว่าจะถึงเวลาหลับ
และหลังจากนั้นวันเวลาก็ผ่านไปคล้ายๆกัน …และคล้ายๆกัน

การปฏิบัติกิจกรรมเหมือนๆกันเช่นนี้ตลอดทำให้สนรู้สึกเบื่อและง่วง
สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงไปพอจะเป็นที่สังเกตได้คือแสงสลัวในตอนเช้า
แสงจ้าในตอนสาย แสงแรงในตอนกลางวันและแสงอ่อนลงเมื่อถึงยามบ่าย
เขาพยายามตั้งใจทำสมาธิกับแสงนั้นอย่างยิ่งยวดแต่ก็อดไม่ได้ที่จะคอยเร่งว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาส่งฟืนจะได้ออกไปยืดเส้นยืดสายเสียที


เดือนหนึ่งผ่านไป พระฤๅษีมาหาสนแล้วถามว่าเห็นอะไรบ้าง
สนงงกับคำถามนี้พอสมควร
แต่ก็ตอบไปตามตรงว่าสิ่งที่เขาเห็นมีแต่แสงที่เปลี่ยนไปตามช่วงเวลาเท่านั้น
ซึ่งพระฤๅษีไม่ว่าอะไรบอกให้ทำต่อไป

สนตีความจากคำถามนั้นว่าหากทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆจะได้เห็นอะไรแปลกๆ
นั่นช่วยเพิ่มความกระตือรือร้นให้เขาบ้าง แต่มันก็เป็นไปในระยะสั้น
เมื่อความเครียดจากการทำสมาธิค่อยเพิ่มสูงและสั่งสมขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ
หลายครั้งสนคิดจะแอบหยุดหรือแอบหลับ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ
ชยารพยังไม่ค่อยควบคุมเขานักนี่
แค่ทำให้อาจารย์ยังคิดว่าเขากำลังนั่งจ้องแสงอยู่เสมอก็คงไม่มีอะไรแล้ว

แต่สนพยายามหักใจทุกครั้งที่ความคิดเกียจคร้านเริ่มเข้ามามีอิทธิพล
เขามีโอกาสแล้ว จะหยุดพยายามไม่ได้ เงื่อนไขของเขาสูงกว่าพวกเด็กชาวเมืองนัก
พวกนั้นมาเรียนเพราะพ่อแม่บังคับ
แม้เหลวไหลไปเล็กน้อยยังมีพ่อแม่คอยดูแลควบคุมให้กลับมาทางที่ถูก
แต่เขาไม่มีทั้งพ่อทั้งแม่ มาเรียนที่นี่ได้ก็เพราะโกหกเรื่องสถานะตนเอง
หากเขายังไม่ตั้งใจทุกอย่างก็จบ


ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านไปสนใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการเพ่งอยู่กับแสงสลัว,
สว่าง, เจิดจ้าและเบาบางตรงหน้า พยายามดึงจิตที่เตลิดหนีให้กลับมาคงที่เดิม
เมื่อปฏิบัติหนักขึ้นเขาพบว่าการนั่งเฉยๆเช่นนี้ไม่คล้ายการพักผ่อนเลย
บ่อยครั้งพอทำเสร็จแล้วกลับรู้สึกเหนื่อยล้าต้องนอนหลับไป
และหลับได้สนิทเป็นพิเศษ

เดือนที่สองผ่านไปแล้ว ยังไม่มีอะไรคืบหน้าแม้แต่น้อย
ในวันสิ้นเดือนชยารพมาถามอีกด้วยคำถามเดิมและสนจำใจต้องตอบไปตามตรง
เขาเสียใจที่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง
แต่ชยารพก็ไม่ได้แสดงอาการทำนองนั้นให้เห็นกลับบอกให้นั่งจ้องต่อไปอีก

เวลาผ่านไปอีกสองอาทิตย์กว่าๆ
สนพยายามหนักยิ่งขึ้นเพื่อไม่ให้ประสบความล้มเหลวเหมือนสองเดือนที่ผ่านมา
เขาเพ่งและเพ่งและเพ่ง อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาเห็นก็ยังคงเป็นแสง
ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

ยามสายวันหนึ่งในปลายอาทิตย์ที่สามขณะที่กำลังรู้สึกท้อแท้เต็มทีนั้น
อยู่ๆสนก็รู้สึกสายตาพร่ามัวไปกับแสงตรงหน้า

หรือเราจะเพ่งมากเกินไปจนดวงตาได้รับความกระทบกระเทือน
สนหลับตาลงสักครู่เพื่อพัก
น่าแปลกที่แม้จะหลับตาลงเขาก็รู้สึกว่ายังมีแสงอยู่ตรงหน้า
เป็นแสงที่สว่างกว่าเดิมเสียด้วย

นี่เราหลับตาลงแล้วหรือ?

คำถามประหลาดผุดขึ้นมาในหัวสนทั้งๆที่เขาก็กำลังหลับตาอยู่ชัดๆ
แต่เพื่อพิสูจน์ให้แน่ใจเขาจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง

แสงแดดยังคงส่องผ่านรูเล็กๆนั้นเข้ามาดังเดิม แต่… แต่มันเปลี่ยนไป

ส่วนจะเปลี่ยนไปอย่างไรนั้นสนเองก็บอกไม่ถูก จะเรียกว่าเจิดจ้าขึ้นก็ไม่ใช่
เหมือนมันหนาขึ้น ทึบขึ้น เป็นภาพที่ไม่ใช่ธรรมชาติ และไม่เคยพบเห็นมาก่อน
สนตกใจจนขนลุกซู่ เหลียวมองไปรอบๆ
ห้องเก็บฟืนที่เคยมืดมิดนั้นก็ปรากฏแสงสว่างเต็มไปหมดจากทุกทิศทุกทาง
ทุกหนทุกแห่ง!

แสงสว่างที่ไม่มีที่มาและที่ไปได้ปกคลุมผนังทุกด้าน ฟืนทุกท่อน
และทุกสิ่งทุกอย่างในคลองจักษุของเขา ณ เวลานั้นอะไรๆมันสว่างสดไสไปหมด
สีที่เห็นมีแต่สีขาวสะอาด ไม่สิเรียกว่าสีขาวบริสุทธิ์มากกว่า
นิษาทหนุ่มรู้สึกคล้ายดั่งตนเองถูกจับชำระล้างแล้วส่งไปเกิดยังโลกใหม่
เขาวิ่งออกไปข้างนอก พระเจ้าช่วย! ข้างนอกก็สว่างเช่นกัน

ขณะนั้นศิษย์รุ่นน้องสามคนกำลังตัดฟืนอยู่
สนเดินไปถามคนหนึ่งด้วยอาการกระตือรือร้น “เจ้า…
นี่เจ้าเห็นอย่างที่ข้าเห็นหรือเปล่า?”
“เห็นอะไรครับ?” ศิษย์คนนั้นตอบงงๆ ถามมันก็คงไม่มีประโยชน์
สนจึงตัดสินใจรีบวิ่งไปยังที่พักของชยารพทันที

“อาจารย์ครับ อาจารย์!” สนร้องขึ้นเมื่อพบชยารพ ความจริงเขามองเห็นไม่ชัดนัก
เพราะแสงนั้นมากเกินไปจนไม่เหลือที่ว่างสำหรับเงาของอะไรทั้งสิ้น
“มีอะไรหรือ?” ชยารพถาม
“แสงครับ …เต็มไปหมด …มีแต่แสงครับ …แสง…!”
ความจริงสนจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่เขาตกใจจนกล่าวติดขัด

ชยารพเริ่มมีความสนใจบ้าง “แสง? บอกข้ามาซิว่าเจ้าเห็นอะไร”
“ทุกทิศทุกทาง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีแต่แสงครับ
เป็นแสงสีขาวประหลาดที่ไม่ใช่แสงอาทิตย์หรือแสงไฟ”
ฟังเพียงเท่านั้นพระฤๅษีก็ตบเข่าฉาดหัวเราะดังๆ “ฮาฮาฮา เยี่ยมมาก
ไม่นึกว่าจะเร็วขนาดนี้”

“เอ่อ… หมายถึงอะไรครับ?”

“เอาละลองมองดูอีกทีซิ แสงสว่างยังอยู่หรือเปล่า”

แสงยังอยู่กับตาชัดๆจะหายไปได้อย่างไร สนคิด
หากขณะที่เขาถามชยารพเมื่อครู่นั้นสติของเขาฟุ้งซ่านไปชั่วขณะหนึ่ง
พอนึกถึงมันอีกทีแสงก็หายไปเสียแล้ว
ภาพทุกภาพที่เห็นกลับคืนสู่ลักษณะปกติอันมีความมืดและเงาตามธรรมชาติ

“เกิดอะไรขึ้นกันนี่” สนอุทาน
เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก
“ไม่ต้องเสียดายหรอก” ชยารพกล่าว
“เจ้าจำความรู้สึกที่เห็นแสงเมื่อครู่ได้หรือไม่เล่า
ลองสำรวมจิตนึกถึงความรู้สึกนั้นสิ”

สนลองทำดูภาพแห่งแสงก็กลับมาอีกครั้ง แต่พอเขาคิดไปเรื่องอื่นภาพก็หายไปอีก

“อย่าลืมความรู้สึกนั้นเสียล่ะ มันเรียกว่านิมิต
เป็นปรากฏการณ์แรกของการฝึกประภาสเมื่อเจ้าบรรลุถึงจุดนี้อาจเรียกได้ว่าเจ้าสำเร็จขั้นที่หนึ่งแล้วก็ได้”
ชยารพกล่าว “จากประสบการณ์ที่ข้าสอนคนมานับไม่ถ้วน
บางคนสามารถได้ฝึกสำเร็จถึงขั้นนี้ได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที
บางคนไม่มีวันฝึกสำเร็จตลอดชีวิต
หากโดยเฉลี่ยแล้วคนธรรมดาทั่วไปฝึกวันละหนึ่งชั่วโมงจะต้องใช้เวลาถึงสิบสองปีจึงสามารถเห็นในสิ่งที่เจ้าเห็นวันนี้ได้
ฮาฮา
ที่ข้าไม่บอกเจ้าก่อนว่าจะต้องนั่งเพ่งแสงเช่นนั้นเพื่ออะไรก็เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหลอกตัวเองหรืออวดอ้างโกหกก่อนที่จะทำสำเร็จจริง”


สนรู้สึกปลื้มปิติที่ตนเองทำสำเร็จและทำให้อาจารย์พอใจ
จะด้วยเหตุผลใดก็ตามน้ำตาของเขาหลั่งออกมาโดยไม่รู้ตัว สนรีบเช็ดเสีย
เขาคิดกล่าวอะไรบางอย่างแต่อ้ำอึ้งพูดออกมาไม่ได้
เพียงแต่สำนึกรู้ว่าการทุ่มเทในสามเดือนที่ผ่านมามิได้สูญเปล่า

ชยารพกล่าว “จากนี้จงฝึกทำสมาธิเช่นเดิมในกำหนดเวลาเดิมต่อไป
แต่ไม่จำเป็นต้องนั่งอยู่ในห้องเก็บฟืนอีก เจ้าจะทำการฝึกอยู่ที่ไหนก็ได้
เพียงกำหนดให้ตัวเองอยู่ท่ามกลางนิมิตแสงสว่างดังความรู้สึกที่เจ้าได้มานั้นก็พอ”


นอกจากนั้นพระฤๅษียังกำชับให้สนทำเช่นนั้นจนกว่าจะเคยชิน
และตัวเขาจะไปติดตามผลในเวลาที่เหมาะสม
“เจ้าคงสงสัยว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรและจะทำอะไรได้บ้างเมื่อฝึกสำเร็จ
เรื่องนั้นต้องรอให้เจ้าฝึกสำเร็จถึงขั้นต่อไปก่อนจึงจะสามารถอธิบายให้เข้าใจได้
อย่างไรก็ตามวิชาฤทธิ์ก็เหมือนวิชาอื่นๆที่มักจะยากในตอนแรกและค่อยๆง่ายขึ้นในลำดับต่อไป
เมื่อเจ้าสำเร็จขั้นที่หนึ่งแล้ว ขั้นที่สองคิดว่าจะสามารถสำเร็จได้โดยเร็ว”

ซึ่งมันก็เป็นจริงตามที่พระฤๅษีบอก
หลังจากนั้นการฝึกของสนผ่านไปอย่างง่ายขึ้นมาก
เขาสามารถนั่งเพ่งอยู่ในนิมิตนานๆได้อย่างไม่เบื่อไม่เมื่อยเหมือนก่อน
กลับยังรู้สึกปลอดโปร่งอย่างประหลาดเสียด้วยซ้ำ

วันที่สองนับจากพบนิมิต จิตของสนนิ่งขึ้น
เขาสามารถเข้าไปอยู่ในนิมิตได้นานเท่าที่เขาต้องการโดยไม่มีอาการใจลอยหรือวอกแวกอีก
ความรู้สึกบางประการที่สนได้มาระหว่างการฝึกฝนคือเขารู้สึกปลาบปลื้มยินดีและเป็นสุขอยู่ตลอด
นอกจากนั้นยังสามารถควบคุมนิมิตนั้นให้เป็นแสงสว่างมากหรือน้อย
หรืออยู่เฉพาะจุดไหนๆได้ตามใจปรารถนา

วันที่ ๖ นับจากพบนิมิต
ภาพแห่งแสงของสนกลับสู่สภาพกลางๆที่ไม่มืดหรือสว่างเกินไป
และสนก็ไม่สนใจจะไปควบคุมมันอีก
เขาคงเหลือแต่ความปลาบปลื้มและเป็นสุขกับสภาพของตน

วันที่ ๘ ความรู้สึกปลื้มปิติหายไป
สนยังรู้สึกเป็นสุขจากความนิ่งสงบอันไม่เคยปรากฏมาก่อนในชีวิต

วันที่ ๑๕ แม้แต่ความสุขก็หายไปจากจิตของสน
บัดนี้เขาเหลือเพียงอารมณ์แห่งจิตอันตั้งมั่นเป็นพื้นฐาน ไม่ต่ำไม่สูง
ไม่ดีไม่ร้ายอีกต่อไป ...........................(อ่านต่อ)

หมายเหตุ

ที่เขียนมาทั้งหมดนี่เป็นการปูพื้นฐานเรื่องฤทธิ์หรือเวทมนต์ของเรื่องนี้ครับ


พื้นฐานเรื่องฤทธิ์ของพวกแฟนตาซีฝรั่งรู้สึกจะเป็นการใช้ภาษาที่เก่าแก่ที่สุด

บงการธรรมชาติ หรือใช้พลังจิต

พื้นฐานเรื่องฤทธิ์ของพวกกำลังภายในหรือแฟนตาซีจีน เป็นการโคจรลมปราณ
ไปที่จุดต่างๆของร่างกาย บวกกับการใช้กระบวนท่า

(ส่วนแฟนตาซีญี่ปุ่นนั้น ไดแห่งดรากอนเควสท์ ร้องว่า "เมร่า" แล้วจู่ๆไฟมันก็

ลุกพรึ่บขึ้นมาเองแบบไม่ค่อยมีที่มาที่ไป เลยทำให้งงๆอยู่เล็กน้อย
แต่ผมไม่ว่าอะไรเขา
เพราะเขาไปเน้นความสนุกเอาตรงจุดอื่น และเกมส์rpgก็เล่นสนุกดี)

อีทีนี้ ผมกำลังแต่งแฟนตาซีแบบไทยเลยมาค้นดูว่าฤทธิ์ของไทยนั้น
มันควรจะมีหลักการและพื้นฐานอย่างไรบ้าง มันถึงยิงแสงออกมาเป็นลูกๆได้

ก็ค้นอยู่พอสมควรครับ แล้วก็จินตนาการเสริมเข้าไปเองบ้าง
จึงสรุปออกมาเป็นที่เขียนในตอนนี้และตอนต่อไป
คือฤทธิ์จริงๆก็ไม่ใช่อย่างนี้ครับ
ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องลองฝึกกันเอาเอง (ถ้าผมฝึกสำเร็จ...
คงลอยได้ไปแล้วครับ เหอเหอ)

ป.ล. เรื่องฤทธิ์นี้ไม่เกี่ยวกับธรรมะนะครับ
ศาสนาพุทธไม่เคยสนับสนุนให้ใครฝึกฤทธิ์
มันเป็นเพียงผลพลอยได้จากการทำสมถกรรมฐานเท่านั้น (น่าน เล่นศัพท์พุทธ)
คนมีฤทธิ์ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดี ไม่งั้นพวกเหล่าร้ายก็แย่สิครับ
เชษฐา

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1