พวกอสูรเดินทางกลับโดยไม่รีบร้อนทิ้งให้ชยารพนั่งมองตาค้างตรงนั้น ไม่อาจทำอะไรได้สักนิดหนึ่ง ศิษย์ที่อออยู่ตรงนั้นเห็นอาจารย์ไม่ขยับก็ไม่กล้าทำประการใด จนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดชยารพได้สติจึงเข้าฌานตรวจดูพบว่าการที่เสียตบะไปเมื่อสักครู่นั้นทำให้ฤทธิ์ของตนเสื่อมถอยลงไปกว่าเดิมมาก ก็ให้บังเกิดความเศร้าเสียดายนัก พระอาจารย์... ศิษย์คนหนึ่งประนมมือทักเมื่อเห็นพระฤๅษีมีสีหน้าไม่ดี ชยารพหันไปมองเหล่าลูกศิษย์แล้วส่ายหน้า โบกมือให้แยกย้ายกลับไปพักผ่อนเสีย ทุกคนพอจะทราบว่าอาจารย์ได้เสียทีแก่อสูรเสียแล้วจึงไม่มีใครกล้ากล่าวมากความต่างพากันสลายตัวไปตามคำสั่ง คืนนั้นชยารพไม่สามารถข่มจิตให้หลับลงได้ เช้าวันต่อมาขณะกำลังรับประทานอาหารเขาคิดในใจว่า โอ... นี่เป็นกรรมแต่ปางใดหนอ เราอายุปูนนี้แล้วไม่อาจเริ่มต้นใหม่ได้อีก เสียดายวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาต้องสูญเปล่าไปหมดสิ้น แล้วเราจะอยู่ไปเพื่อประโยชน์อันใดกัน... แล้วชยารพก็เหลือบเห็นสนยกอ่างล้างมือมาให้จึงกล่าวกับตนเองในใจว่า ไอ้คนนี้มันอยู่กับเรามาหลายปี เรายังไม่เคยสอนวิชาใดๆให้แก่มันเลยเพราะเห็นว่ามันใช้งานได้ดีประกอบกับไม่มีญาติพี่น้องมาคอยอุปถัมภ์ส่งเสีย หากเป็นคนอื่นคงหนีไปนานแล้วแต่นี่กี่ปีๆมันก็ยังคงมุมานะรับใช้เราอยู่นั่นแหละ แสดงว่ามีความตั้งใจมาเรียนจริงและยังว่านอนสอนง่ายพอควร พระฤๅษีเกิดความคิดบางอย่าง เขาเรียกสนมาถามว่า คิดได้ดังนั้นชยารพจึงกล่าวกับสนว่า ชื่อสุวัจน์สินะ เจ้าอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้ว? เขาเรียกด้วยชื่อปลอมที่สนใช้ปกปิดวรรณะเดิมของตน สามปีครับ สนตอบ อืม ระหว่างสามปีนี้เจ้าทำหน้าที่ใดบ้าง? ก็หลายอย่างครับ ตั้งแต่ตักน้ำฝ่าฟืนทำความสะอาดอาศรมไปจนถึงซ่อมเครื่องไม้เครื่องมือเล็กๆน้อยๆ พาข้าไปดูสถานที่ๆเจ้าทำงานหน่อยสิ อาศรมของชยารพตั้งอยู่บนภูเขาทางตอนเหนือของมนุสสภูมิอากาศจึงค่อนข้างหนาวและไม้ฟืนเป็นสิ่งจำเป็น เมื่อสนพาอาจารย์ไปที่ห้องเก็บฟืน พระฤาษีเห็นมีกองฟืนจำนวนมากจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบจึงถามว่า มีใครรับผิดชอบงานที่นี่บ้าง? เมื่อก่อนมีรุ่นพี่อีกสามคนดูแลอยู่ แต่เดี๋ยวนี้เหลือข้าคนเดียวแล้วครับ ชยารพได้ยินดังนั้นจึงแกล้งตวาดขึ้น โกหก! เมื่อก่อนมีคนสามคนไม้ฟืนยังขาดแคลน หากเหลือเพียงเจ้าคนเดียวไหนเลยฟืนจะเยอะขนาดนี้ สนเห็นอาจารย์โกรธก็ตกใจรีบกล่าวว่า มีแต่ข้าคนเดียวจริงๆครับ ที่มีฟืนมากเพราะข้าปรับวิธีทำงานเท่านั้น ปรับวิธีทำงาน? ไหนเจ้าแสดงให้ข้าดูสิ หากทำงานไม่ได้มากขึ้นเจ้าจะต้องถูกลงโทษแน่! สนตอบรับด้วยความยำเกรง เขาจัดแจงหยิบไม้ใหญ่มัดหนึ่งมาตัดทุกท่อนเป็นฟืนขนาดเท่ากัน จากนั้นหยิบแต่ละท่อนมาผ่าเป็นสี่ส่วนให้พอเหมาะแก่การใช้เป็นเชื้อเพลิงเตาไฟ สุดท้ายเขาจึงมัดฟืนท่อนเล็กเป็นชุดๆแล้วจัดเก็บเข้าตามระเบียบ การกระทำทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ แม้แต่ชยารพเองก็สังเกตได้ว่าไม่มีท่วงท่าไหนของสนที่แสดงออกมาโดยสูญเปล่าเลย ทุกอากัปกิริยาล้วนถูกจำกัดให้สั้นที่สุด เร็วที่สุด และมีประสิทธิภาพที่สุด เมื่อก่อนรุ่นพี่จะใช้วิธีหยิบไม้มาตัดแบ่งและจัดเก็บทีละท่อนๆครับ สนอธิบาย แต่ข้าพบว่าการแยกทำทีละขั้นตอนจะเร็วกว่าจึงคุยให้พวกเขาลองเปลี่ยนวิธีการทำงานดู ความจริงหากเป็นเมื่อก่อนที่พวกรุ่นพี่ยังอยู่ พวกเราสี่คนคนหนึ่งเรียงไม้ คนหนึ่งตัดเป็นท่อนๆ คนหนึ่งผ่าสี่ อีกคนมัดให้เป็นระเบียบแล้วจัดเก็บ งานจะออกมาเร็วกว่านี้มากครับ แล้วเรื่องท่าทางในการตัดฟืนของเจ้าล่ะ ข้าเห็นมันเป็นฉากๆเหมือนกัน เจ้าไปเอาท่าเหล่านั้นมาจากไหน? อ๋อ ข้าสังเกตจากท่าทางของรุ่นพี่คนที่ทำงานขั้นตอนนั้นๆได้ดีที่สุดแล้วเลียนแบบมาน่ะครับ ชยารพคิด ด้วยเหตุนี้เองมันจึงสามารถทำงานได้เร็วและใช้ขั้นตอนน้อยที่สุด หากเมื่อก่อนเราเห็นว่ามีไม้ฟืนเพียงพอจึงไม่จัดศิษย์ให้ไปรับผิดชอบงานนี้อีกกลับเหมือนเป็นการแกล้งให้มันต้องดักดานอยู่แต่ในที่แห่งนี้ เอาเถอะ เราจะชดใช้อะไรให้บ้าง เจ้านี่มีปัญญาดี คนเช่นนี้แม้ว่าสอนไปจะไม่ได้สมบัติหรือชื่อเสียงตอบแทนแต่หากรับเป็นทายาทอาจจะเหมาะสมที่สุด ...เราเองไม่มีอนาคตอีกแล้วหรือจะฝากอนาคตที่เหลือเอาไว้กับมัน พระฤๅษีคิดได้ดังนั้นจึงกล่าวกับสนว่า แล้วเจ้าพอใจกับหน้าที่เหล่านั้นไหม? จริงๆแล้วสนไม่เคยนึกพอใจหรือไม่พอใจกับงานที่ทำมาก่อน เพียงแต่รับคำสั่งมาให้ทำก็ทำโดยความคิดที่จะเอาแรงกายนั้นแลกเป็นค่าเรียนกับพระฤๅษีดังความตั้งใจแต่แรก หากบัดนี้เขาเกรงว่าถ้าตอบผิดไปชยารพจะไม่สอนวิชาให้จริงๆจึงได้แต่อ้ำอึ้งอยู่ ชยารพเห็นสนนิ่งเงียบก็เข้าใจว่าไม่กล้าตอบจึงหัวเราะร่วน ฮาฮาฮา เจ้าคงไม่ชอบละสิ แต่ที่ข้าไม่ให้เจ้าเรียนนั้นมีเหตุผลดอก คือเป็นเพราะว่าร่างเจ้ามีพื้นฐานที่แข็งกว่าคนอื่นจึงต้องผ่านการขัดเกลามากเป็นพิเศษ แต่เมื่อได้ขัดเกลาจนพอเหมาะแล้วเจ้าจะทำการเล่าเรียนได้เร็วและเหนือกว่าใคร พระอาจารย์หมายความว่า... บัดนี้ได้เวลาพอเหมาะนั้นแล้ว เจ้าประสงค์จะเรียนวิชาหรือไม่เล่า สนรู้สึกปลื้มปิติอย่างบอกไม่ถูก ก้มลงกราบอาจารย์ร้อง ครับ! เสียงดังสดใส ชยารพหัวเราะ ดี วิชาที่ข้าจะให้เจ้าฝึกนี้เรียกว่า ประภาส เป็นพื้นฐานของวิชาทางฤทธิ์ทั้งปวง เขาคิดสักครู่หนึ่ง อืม ห้องเก็บฟืนนี่ปกติมีใครเข้าออกบ้าง มีการเอาฟืนมาเก็บและส่งฟืนออกวันละครั้งในช่วงบ่ายครับ ชยารพเข้าไปตรวจดูให้ห้องเก็บฟืน มันเป็นห้องทึบๆห้องหนึ่ง ภายในไม่มีหน้าต่างหรือรูใดๆเลย สนทราบว่าที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเมื่อก่อนห้องนี้ใช้เป็นที่เก็บอาหารจึงต้องสร้างไว้ในที่แห้งและมิดชิดกว่าปกติ เมื่อชยารพสั่งให้หาผ้ามาขึงหน้าประตูห้องก็มืดสนิท ชั่วขณะหนึ่งความมืดและความเงียบทำให้สนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ผ่านไปสักพักจึงมีเสียงทิ่มดังปึ้ก ปึ้ก ปึ้ก ขึ้นที่ผนังด้านหนึ่งจนแตกออกเป็นรูเล็กๆเผยให้เห็นแสงสว่างรำไรส่องลอดเข้ามา ปรากฏว่าชยารพนั่นเองเป็นคนใช้เหล็กแหลมทิ่มผนังจนทะลุ เห็นอะไรบ้าง เขาถาม สนทำท่าจะยื่นหน้าออกไปมองแต่ถูกอาจารย์กั้นเอาไว้ ตอบมาแค่ที่เห็นขณะนี้ เห็นแสงสว่างครับ ดี นับจากวันนี้ให้เจ้าตื่นมานั่งมองแสงนี้ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจวบจนบ่ายมีการส่งฟืนจึงออกไปทำงานตามปกติ เมื่องานเสร็จแล้วตกกลางคืนอับแสงก็ให้จุดตะเกียงขึ้นมามองต่อแรกๆยังไม่ต้องเคร่งครัดมาก หิวก็กิน ง่วงก็นอน รู้สึกแสบตาก็พักได้ แต่นอกจากนั้นแล้วให้ใช้เวลามองแสงอย่างที่ข้าสอนเท่านั้นเข้าใจไหม? นี่ไม่ค่อยตรงกับการฝึกฤทธิ์ที่สนจินตนาการไว้เท่าไหร่ อย่างไรก็ตามเขาไม่กล้าถามมากจึงตอบรับคำ ชยารพกล่าวต่อว่า พรุ่งนี้ข้าจะจัดศิษย์เข้าใหม่อีกสามคนมาทำงานที่นี่ให้เจ้าสอนงานพวกมันด้วย ในวันนั้นสนหมดเวลาที่เหลือไปกับการนั่งอยู่ข้างๆรูนั้นและจ้องแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดลงมาเบื้องหน้า ตอนกลางคืนจุดตะเกียงมองต่อจนกว่าจะถึงเวลาหลับ และหลังจากนั้นวันเวลาก็ผ่านไปคล้ายๆกัน และคล้ายๆกัน การปฏิบัติกิจกรรมเหมือนๆกันเช่นนี้ตลอดทำให้สนรู้สึกเบื่อและง่วง สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงไปพอจะเป็นที่สังเกตได้คือแสงสลัวในตอนเช้า แสงจ้าในตอนสาย แสงแรงในตอนกลางวันและแสงอ่อนลงเมื่อถึงยามบ่าย เขาพยายามตั้งใจทำสมาธิกับแสงนั้นอย่างยิ่งยวดแต่ก็อดไม่ได้ที่จะคอยเร่งว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาส่งฟืนจะได้ออกไปยืดเส้นยืดสายเสียที เดือนหนึ่งผ่านไป พระฤๅษีมาหาสนแล้วถามว่าเห็นอะไรบ้าง สนงงกับคำถามนี้พอสมควร แต่ก็ตอบไปตามตรงว่าสิ่งที่เขาเห็นมีแต่แสงที่เปลี่ยนไปตามช่วงเวลาเท่านั้น ซึ่งพระฤๅษีไม่ว่าอะไรบอกให้ทำต่อไป สนตีความจากคำถามนั้นว่าหากทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆจะได้เห็นอะไรแปลกๆ นั่นช่วยเพิ่มความกระตือรือร้นให้เขาบ้าง แต่มันก็เป็นไปในระยะสั้น เมื่อความเครียดจากการทำสมาธิค่อยเพิ่มสูงและสั่งสมขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ หลายครั้งสนคิดจะแอบหยุดหรือแอบหลับ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ชยารพยังไม่ค่อยควบคุมเขานักนี่ แค่ทำให้อาจารย์ยังคิดว่าเขากำลังนั่งจ้องแสงอยู่เสมอก็คงไม่มีอะไรแล้ว แต่สนพยายามหักใจทุกครั้งที่ความคิดเกียจคร้านเริ่มเข้ามามีอิทธิพล เขามีโอกาสแล้ว จะหยุดพยายามไม่ได้ เงื่อนไขของเขาสูงกว่าพวกเด็กชาวเมืองนัก พวกนั้นมาเรียนเพราะพ่อแม่บังคับ แม้เหลวไหลไปเล็กน้อยยังมีพ่อแม่คอยดูแลควบคุมให้กลับมาทางที่ถูก แต่เขาไม่มีทั้งพ่อทั้งแม่ มาเรียนที่นี่ได้ก็เพราะโกหกเรื่องสถานะตนเอง หากเขายังไม่ตั้งใจทุกอย่างก็จบ ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านไปสนใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการเพ่งอยู่กับแสงสลัว, สว่าง, เจิดจ้าและเบาบางตรงหน้า พยายามดึงจิตที่เตลิดหนีให้กลับมาคงที่เดิม เมื่อปฏิบัติหนักขึ้นเขาพบว่าการนั่งเฉยๆเช่นนี้ไม่คล้ายการพักผ่อนเลย บ่อยครั้งพอทำเสร็จแล้วกลับรู้สึกเหนื่อยล้าต้องนอนหลับไป และหลับได้สนิทเป็นพิเศษ เดือนที่สองผ่านไปแล้ว ยังไม่มีอะไรคืบหน้าแม้แต่น้อย ในวันสิ้นเดือนชยารพมาถามอีกด้วยคำถามเดิมและสนจำใจต้องตอบไปตามตรง เขาเสียใจที่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง แต่ชยารพก็ไม่ได้แสดงอาการทำนองนั้นให้เห็นกลับบอกให้นั่งจ้องต่อไปอีก เวลาผ่านไปอีกสองอาทิตย์กว่าๆ สนพยายามหนักยิ่งขึ้นเพื่อไม่ให้ประสบความล้มเหลวเหมือนสองเดือนที่ผ่านมา เขาเพ่งและเพ่งและเพ่ง อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาเห็นก็ยังคงเป็นแสง ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ยามสายวันหนึ่งในปลายอาทิตย์ที่สามขณะที่กำลังรู้สึกท้อแท้เต็มทีนั้น อยู่ๆสนก็รู้สึกสายตาพร่ามัวไปกับแสงตรงหน้า หรือเราจะเพ่งมากเกินไปจนดวงตาได้รับความกระทบกระเทือน สนหลับตาลงสักครู่เพื่อพัก น่าแปลกที่แม้จะหลับตาลงเขาก็รู้สึกว่ายังมีแสงอยู่ตรงหน้า เป็นแสงที่สว่างกว่าเดิมเสียด้วย นี่เราหลับตาลงแล้วหรือ? คำถามประหลาดผุดขึ้นมาในหัวสนทั้งๆที่เขาก็กำลังหลับตาอยู่ชัดๆ แต่เพื่อพิสูจน์ให้แน่ใจเขาจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง แสงแดดยังคงส่องผ่านรูเล็กๆนั้นเข้ามาดังเดิม แต่ แต่มันเปลี่ยนไป ส่วนจะเปลี่ยนไปอย่างไรนั้นสนเองก็บอกไม่ถูก จะเรียกว่าเจิดจ้าขึ้นก็ไม่ใช่ เหมือนมันหนาขึ้น ทึบขึ้น เป็นภาพที่ไม่ใช่ธรรมชาติ และไม่เคยพบเห็นมาก่อน สนตกใจจนขนลุกซู่ เหลียวมองไปรอบๆ ห้องเก็บฟืนที่เคยมืดมิดนั้นก็ปรากฏแสงสว่างเต็มไปหมดจากทุกทิศทุกทาง ทุกหนทุกแห่ง! แสงสว่างที่ไม่มีที่มาและที่ไปได้ปกคลุมผนังทุกด้าน ฟืนทุกท่อน และทุกสิ่งทุกอย่างในคลองจักษุของเขา ณ เวลานั้นอะไรๆมันสว่างสดไสไปหมด สีที่เห็นมีแต่สีขาวสะอาด ไม่สิเรียกว่าสีขาวบริสุทธิ์มากกว่า นิษาทหนุ่มรู้สึกคล้ายดั่งตนเองถูกจับชำระล้างแล้วส่งไปเกิดยังโลกใหม่ เขาวิ่งออกไปข้างนอก พระเจ้าช่วย! ข้างนอกก็สว่างเช่นกัน ขณะนั้นศิษย์รุ่นน้องสามคนกำลังตัดฟืนอยู่ สนเดินไปถามคนหนึ่งด้วยอาการกระตือรือร้น เจ้า นี่เจ้าเห็นอย่างที่ข้าเห็นหรือเปล่า? เห็นอะไรครับ? ศิษย์คนนั้นตอบงงๆ ถามมันก็คงไม่มีประโยชน์ สนจึงตัดสินใจรีบวิ่งไปยังที่พักของชยารพทันที อาจารย์ครับ อาจารย์! สนร้องขึ้นเมื่อพบชยารพ ความจริงเขามองเห็นไม่ชัดนัก เพราะแสงนั้นมากเกินไปจนไม่เหลือที่ว่างสำหรับเงาของอะไรทั้งสิ้น มีอะไรหรือ? ชยารพถาม แสงครับ เต็มไปหมด มีแต่แสงครับ แสง ! ความจริงสนจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่เขาตกใจจนกล่าวติดขัด ชยารพเริ่มมีความสนใจบ้าง แสง? บอกข้ามาซิว่าเจ้าเห็นอะไร ทุกทิศทุกทาง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีแต่แสงครับ เป็นแสงสีขาวประหลาดที่ไม่ใช่แสงอาทิตย์หรือแสงไฟ ฟังเพียงเท่านั้นพระฤๅษีก็ตบเข่าฉาดหัวเราะดังๆ ฮาฮาฮา เยี่ยมมาก ไม่นึกว่าจะเร็วขนาดนี้ เอ่อ หมายถึงอะไรครับ? เอาละลองมองดูอีกทีซิ แสงสว่างยังอยู่หรือเปล่า แสงยังอยู่กับตาชัดๆจะหายไปได้อย่างไร สนคิด หากขณะที่เขาถามชยารพเมื่อครู่นั้นสติของเขาฟุ้งซ่านไปชั่วขณะหนึ่ง พอนึกถึงมันอีกทีแสงก็หายไปเสียแล้ว ภาพทุกภาพที่เห็นกลับคืนสู่ลักษณะปกติอันมีความมืดและเงาตามธรรมชาติ เกิดอะไรขึ้นกันนี่ สนอุทาน เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก ไม่ต้องเสียดายหรอก ชยารพกล่าว เจ้าจำความรู้สึกที่เห็นแสงเมื่อครู่ได้หรือไม่เล่า ลองสำรวมจิตนึกถึงความรู้สึกนั้นสิ สนลองทำดูภาพแห่งแสงก็กลับมาอีกครั้ง แต่พอเขาคิดไปเรื่องอื่นภาพก็หายไปอีก อย่าลืมความรู้สึกนั้นเสียล่ะ มันเรียกว่านิมิต เป็นปรากฏการณ์แรกของการฝึกประภาสเมื่อเจ้าบรรลุถึงจุดนี้อาจเรียกได้ว่าเจ้าสำเร็จขั้นที่หนึ่งแล้วก็ได้ ชยารพกล่าว จากประสบการณ์ที่ข้าสอนคนมานับไม่ถ้วน บางคนสามารถได้ฝึกสำเร็จถึงขั้นนี้ได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที บางคนไม่มีวันฝึกสำเร็จตลอดชีวิต หากโดยเฉลี่ยแล้วคนธรรมดาทั่วไปฝึกวันละหนึ่งชั่วโมงจะต้องใช้เวลาถึงสิบสองปีจึงสามารถเห็นในสิ่งที่เจ้าเห็นวันนี้ได้ ฮาฮา ที่ข้าไม่บอกเจ้าก่อนว่าจะต้องนั่งเพ่งแสงเช่นนั้นเพื่ออะไรก็เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหลอกตัวเองหรืออวดอ้างโกหกก่อนที่จะทำสำเร็จจริง สนรู้สึกปลื้มปิติที่ตนเองทำสำเร็จและทำให้อาจารย์พอใจ จะด้วยเหตุผลใดก็ตามน้ำตาของเขาหลั่งออกมาโดยไม่รู้ตัว สนรีบเช็ดเสีย เขาคิดกล่าวอะไรบางอย่างแต่อ้ำอึ้งพูดออกมาไม่ได้ เพียงแต่สำนึกรู้ว่าการทุ่มเทในสามเดือนที่ผ่านมามิได้สูญเปล่า ชยารพกล่าว จากนี้จงฝึกทำสมาธิเช่นเดิมในกำหนดเวลาเดิมต่อไป แต่ไม่จำเป็นต้องนั่งอยู่ในห้องเก็บฟืนอีก เจ้าจะทำการฝึกอยู่ที่ไหนก็ได้ เพียงกำหนดให้ตัวเองอยู่ท่ามกลางนิมิตแสงสว่างดังความรู้สึกที่เจ้าได้มานั้นก็พอ นอกจากนั้นพระฤๅษียังกำชับให้สนทำเช่นนั้นจนกว่าจะเคยชิน และตัวเขาจะไปติดตามผลในเวลาที่เหมาะสม เจ้าคงสงสัยว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรและจะทำอะไรได้บ้างเมื่อฝึกสำเร็จ เรื่องนั้นต้องรอให้เจ้าฝึกสำเร็จถึงขั้นต่อไปก่อนจึงจะสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ อย่างไรก็ตามวิชาฤทธิ์ก็เหมือนวิชาอื่นๆที่มักจะยากในตอนแรกและค่อยๆง่ายขึ้นในลำดับต่อไป เมื่อเจ้าสำเร็จขั้นที่หนึ่งแล้ว ขั้นที่สองคิดว่าจะสามารถสำเร็จได้โดยเร็ว ซึ่งมันก็เป็นจริงตามที่พระฤๅษีบอก หลังจากนั้นการฝึกของสนผ่านไปอย่างง่ายขึ้นมาก เขาสามารถนั่งเพ่งอยู่ในนิมิตนานๆได้อย่างไม่เบื่อไม่เมื่อยเหมือนก่อน กลับยังรู้สึกปลอดโปร่งอย่างประหลาดเสียด้วยซ้ำ วันที่สองนับจากพบนิมิต จิตของสนนิ่งขึ้น เขาสามารถเข้าไปอยู่ในนิมิตได้นานเท่าที่เขาต้องการโดยไม่มีอาการใจลอยหรือวอกแวกอีก ความรู้สึกบางประการที่สนได้มาระหว่างการฝึกฝนคือเขารู้สึกปลาบปลื้มยินดีและเป็นสุขอยู่ตลอด นอกจากนั้นยังสามารถควบคุมนิมิตนั้นให้เป็นแสงสว่างมากหรือน้อย หรืออยู่เฉพาะจุดไหนๆได้ตามใจปรารถนา วันที่ ๖ นับจากพบนิมิต ภาพแห่งแสงของสนกลับสู่สภาพกลางๆที่ไม่มืดหรือสว่างเกินไป และสนก็ไม่สนใจจะไปควบคุมมันอีก เขาคงเหลือแต่ความปลาบปลื้มและเป็นสุขกับสภาพของตน วันที่ ๘ ความรู้สึกปลื้มปิติหายไป สนยังรู้สึกเป็นสุขจากความนิ่งสงบอันไม่เคยปรากฏมาก่อนในชีวิต วันที่ ๑๕ แม้แต่ความสุขก็หายไปจากจิตของสน บัดนี้เขาเหลือเพียงอารมณ์แห่งจิตอันตั้งมั่นเป็นพื้นฐาน ไม่ต่ำไม่สูง ไม่ดีไม่ร้ายอีกต่อไป ...........................(อ่านต่อ) หมายเหตุที่เขียนมาทั้งหมดนี่เป็นการปูพื้นฐานเรื่องฤทธิ์หรือเวทมนต์ของเรื่องนี้ครับพื้นฐานเรื่องฤทธิ์ของพวกแฟนตาซีฝรั่งรู้สึกจะเป็นการใช้ภาษาที่เก่าแก่ที่สุด บงการธรรมชาติ หรือใช้พลังจิต พื้นฐานเรื่องฤทธิ์ของพวกกำลังภายในหรือแฟนตาซีจีน เป็นการโคจรลมปราณ ไปที่จุดต่างๆของร่างกาย บวกกับการใช้กระบวนท่า (ส่วนแฟนตาซีญี่ปุ่นนั้น ไดแห่งดรากอนเควสท์ ร้องว่า "เมร่า" แล้วจู่ๆไฟมันก็ ลุกพรึ่บขึ้นมาเองแบบไม่ค่อยมีที่มาที่ไป เลยทำให้งงๆอยู่เล็กน้อย แต่ผมไม่ว่าอะไรเขา เพราะเขาไปเน้นความสนุกเอาตรงจุดอื่น และเกมส์rpgก็เล่นสนุกดี) อีทีนี้ ผมกำลังแต่งแฟนตาซีแบบไทยเลยมาค้นดูว่าฤทธิ์ของไทยนั้น มันควรจะมีหลักการและพื้นฐานอย่างไรบ้าง มันถึงยิงแสงออกมาเป็นลูกๆได้ ก็ค้นอยู่พอสมควรครับ แล้วก็จินตนาการเสริมเข้าไปเองบ้าง จึงสรุปออกมาเป็นที่เขียนในตอนนี้และตอนต่อไป คือฤทธิ์จริงๆก็ไม่ใช่อย่างนี้ครับ ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องลองฝึกกันเอาเอง (ถ้าผมฝึกสำเร็จ... คงลอยได้ไปแล้วครับ เหอเหอ) ป.ล. เรื่องฤทธิ์นี้ไม่เกี่ยวกับธรรมะนะครับ ศาสนาพุทธไม่เคยสนับสนุนให้ใครฝึกฤทธิ์ มันเป็นเพียงผลพลอยได้จากการทำสมถกรรมฐานเท่านั้น (น่าน เล่นศัพท์พุทธ) คนมีฤทธิ์ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดี ไม่งั้นพวกเหล่าร้ายก็แย่สิครับ เชษฐา |