โฮมเพจเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของ
|
|
ความจริงแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริจะให้เลิกกิจการแบงก์สยามกัมมาจลเสีย โดยเปลี่ยนสถานะมาเป็นธนาคารแห่งชาติหรือคลังสำหรับชาติ (National Bank) เพื่อจะได้สามารถดำเนินนโยบายการเงินได้เช่นเดียวกับประเทศที่ก้าวหน้าทางเศรษฐกิจอื่น ๆ แต่ติดขัดที่ทางกระทรวงพระคลังเห็นว่ายังไม่พร้อมจะดำเนินการจัดตั้งธนาคารแห่งชาติได้ จึงทำให้จำเป็นต้องสนับสนุนแบงก์สยามกัมมาจลให้สามารถดำเนินการไปได้ก่อน จนกว่ากระทรวงพระคลังฯ พร้อมที่จะจัดตั้งธนาคารแห่งชาติขึ้นต่อไป แนวพระราชดำริเรื่องการจัดตั้ง คลังสำหรับชาติ และความขัดข้องของกระทรวงพระคลังฯ ปรากฏคำกราบบังคมทูลของเสนาบดีกระทรวงพระคลังฯ ต่อไปนี้
การที่จะช่วยกอบกู้ให้แบงก์สยามกัมมาจลได้ดำเนินการได้ต่อไปนั้น เนื่องจากแบงก์ต้องขาดทุนเป็นอันมาก จึงจำเป็นจะต้องลดจำนวนหุ้นเดิมตัดทอนลงไปตามส่วนทุนที่ขาดนั้น คือทุนเดิม 3 ล้านบาทลดลง 2,700,000 บาท คงเหลือทุนอยู่เพียง 300,000 บาท และต้องออกหุ้นใหม่เรียกทุนมาหนุนเพิ่มเติมขึ้นอีก 30,000 หุ้น หุ้นละ 100 บาท รวมเป็น 3 ล้านบาท พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รับซื้อหุ้นใหม่ไว้ตามจำนวนหุ้นส่วนพระคลังข้างที่มีอยู่ในแบงก์นี้มาแต่เดิม เป็นการพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์แก่การของแบงก์สยามกัมมาจลเพื่อให้ได้ตั้งอยู่ยืนยาวต่อไป ซึ่งจะต้องใช้เงินถึง 1,634,000 บาท เงินจำนวนมากเช่นนี้พระคลังข้างที่มีไม่เพียงพอ จึงต้องไปยืมเงินจากกระทรวงพระคลังฯ มาจ่ายไปก่อน แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจะไม่มีพระราชประสงค์จะยืมเงินจำนวนมากเช่นนี้จากกระทรวงพระคลังฯ ด้วยเกรงว่าจะมีผู้ครหา แต่เมื่อเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่หลายพระองค์ยืนยันถึงความสำคัญของการช่วยเหลือแบงก์สยามกัมมาจล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระคลังข้างที่ ยืมเงินจากกระทรวงพระคลังมหาสมบัติมาดำเนินการซื้อหุ้นเพิ่มทุนนี้ ดังปรากฏจากพระราชหัตถเลขาตอบหนังสือของกรมพระคลังข้างที่เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.2457 ความว่า
อย่างไรก็ตาม การที่พระคลังข้างที่เข้าถือหุ้นใหญ่ในแบงก์สยามกัมมาจลนี้เอง ทำให้สามารถกำหนดแนวทางของการขยายสินเชื่อเพื่อประโยชน์ของคนไทยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้กู้แก่สหกรณ์เครดิตที่จัดตั้งขึ้น เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนที่คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำแก่เกษตรกรในชนบท |