เรื่องสั้น
เรื่องของขิง
เดี๋ยวนี้ใครต่อใครก็ผ่านเมืองนอกเมืองนากันมาทั้งนั้นแหละ
ไม่ว่าจะจบโท จบตรี จบไฮสคูล
หรือเซอร์ติฟิเคท
นี่ยังไม่รวมพวกที่จบภาษางูๆปลาๆ
หรือจบทัวร์ต่างประเทศ
ที่ได้ปริญญาเป็นถุงซอปปิ้งร้านยี่ห้อดังๆ
ที่ขิงเกิดอีก
ห้าร้อยชาติก็ยังไม่มีปัญญาซื้อมาใส่
ถ้าจะสู้กันด้วยความรู้ความสามารถล่ะก็
คนอย่างขิงไม่เคยน้อยหน้าใคร
ขิงเรียนจบปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ไม่ใช่ว่าขิงเอ็นท์ไม่ติดหรอกนะถึงต้องมาเรียนที่นี่
แต่ขิงอยากมีเวลาว่างสำหรับงานพิเศษ
เพื่อจะได้เอาเม็ดเงินเหล่านั้นมาเป็นทุนเรียนตะหาก
ความจริงขิงสอบเทียบม.6
ได้ตั้งแต่ ชั้นม.4
แล้วจะมาว่าขิงเก่งน้อยกว่าคนอื่นได้ยังไง
แต่ว่างานสมัยนี้เค้าไม่ได้ดูกันแค่ความรู้ความสามารถในการทำงานอย่างเดียวซะแล้ว
เค้าวัดกันด้วยความสามารถทางด้านภาษาต่างประเทศด้วย
ยิ่งใครพ่นได้เหมือนฝรั่งเท่าไหร่ยิ่งดูมีภาษีดีกว่าคนอื่นๆ
ยิ่งถ้าพูดไทยคำ
อังกฤษคำได้ล่ะก็ยิ่งดูน่าเชื่อถือ
แล้วคนอย่างขิงที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมา
ไม่เคย ออกนอกประเทศ
แม้แต่แผ่นดินลาว พม่า เขมร
หรือประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ
เท้าของขิงก็ไม่เคยไปเหยียบ
จะไปพูดฝรั่งสู้พวกนักเรียนนอกพวกนั้นได้ยังไง
"นี่ประเทศไทยของเราเป็นเมืองขึ้นฝรั่งตั้งแต่เมื่อไหร่กันหว่า"
ขิงคิดในใจ
จดหมายสมัครงานที่ขิงเพียรส่งไปเป็นสิบๆฉบับ
ไม่เคยได้รับคำตอบ
ไม่ว่าจะเป็นตอบรับหรือปฏิเสธ
เค้าจะบอกให้รู้หน่อยไม่ได้รึไงนะ
ว่าไม่รับเพราะ อะไร
หรือไม่มีปัญญาจะหาเหตุผลดีๆมาอ้าง
ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็
บอกมาตามตรงว่าขิงไม่อินเตอร์พอ
หรือไทยแท้เกินไป
ขิงว่าก็ยังพยายามยอมรับได้
หรืออาจจะเป็นเพราะ
จดหมายของขิงไม่ได้พิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์โปรแกรมไมโครซอฟ
หรือไม่ได้สแกนรูปติดเข้าไปด้วยเทคนิคสมัยใหม่
หรือไม่มีอีเมลแอดเดรสให้ติดต่อกลับก็ยากจะเดา
แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม
ขิงก็ยังหางานทำไม่ได้อยู่ดี
วันนี้ขิงออกตระเวนสมัครงานตามปกติ
แต่งตัวเรียบร้อยพอแก่ฐานะด้วย
เสื้อผ้าที่หาซื้อได้ตามตลาดขายของถูกเฉลิมพระชนมพรรษาครบ
5 รอบที่เค้า
ตระเวนจัดขายกันทั่วกรุงเทพฯ
ขิงว่าของที่เค้าเอามาขายก็ไม่ได้ต่างจากเสื้อผ้า
ตามห้างตัวละเป็นพันซักเท่าไหร่
เสื้อผ้ายี่ห้อ PUCCI ของขิง
อาจจะตัดเย็บได้ดีพอๆกับยี่ห้อ
GUCCI ตามห้างใหญ่ๆ เพียงแต่ PUCCI
ไม่ได้นำเข้า ไม่เคยจัด
แฟชั่นโชว์โดยนางแบบชั้นนำของฟ้าเมืองไทย
และของโลกก็เลยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณา
ที่สุดท้ายต้องผลักภาระให้แก่ผู้ซื้อก็เท่านั้นเอง
เฮ้อ...ไปๆ มาๆ
นอกจากเราจะตกเป็นทาส
"ภาษานอก"แล้ว
เรายังตกเป็นทาส "ของนอก" อีก
จนได้ ขิงล่ะเบื่อ
ระหว่างที่กำลังถอนหายใจอยู่นั้น
สายตาของขิงก็เหลือบไปเห็นสาวสวย
คนนึงกำลังเดินอย่างเร่งรีบมาตรงป้ายรถเมล์ที่ขิงยืนอยู่
ขิงมองสาวคนนั้นตั้ง
แต่ทรงผมซอยสั้นย้อมสีนำสมัย
ใส่แว่นตาดำเหมือนกำลังซ่อนเร้นอะไรอยู่
มองดูคล้ายๆกับแฟชั่นนอกรีตแถวๆปทุมธานี
ลงมาที่ตุ้มหูและสร้อยคอ
ทองคำขาวแปะเพชร
ที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่นักศึกโส
เอ๊ยนักศึกษาที่หน้าตาและรูปร่างดี
แต่ทำตัวให้ยากจน
สายตาของขิงยังคงมองไล่ลงมาที่เสื้อผ้าดูเรียบง่ายสไตล์ผู้หญิงปี
2000
(แต่สงสัยว่าราคาของมันคงต้องเกินสองพันแหงๆ)
มองลงมาเรื่อยๆพลันสายตาก็ไปสะดุดที่กระเป๋าสะพายสีฟ้ามีลิงตัวเล็กๆห้อย
ต่องแต่งอยู่ข้างๆ
ขิงว่าน่าจะแนะนำการท่องเที่ยวของจังหวัดลพบุรี
ให้ทำเป็น
ของที่ระลึกขายหน้าศาลเจ้าพ่อพระกาฬ
นำเงินรายได้ไปเลี้ยงโต๊ะจีนลิงประจำปี
เป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวในปีอะเมซซิ่งไทยแลนด์1999
ที่จริงขิงไม่เห็นว่า
มันจะดีกว่ากระเป๋าหนังเมดอินไทยแลนด์ใบละ
199 บาทของขิงที่ตรงไหน
ของขิงยังดูสุภาพ
และส่งเสริมวุฒิภาวะของคนถือมากกว่าอีก
ขิงเมินสายตาออกมาจากหญิงสาวคนนั้นหลังจากไล่สายตาไปสุดที่รองเท้าส้นหนาราวกับ
ยืนอยู่บนแท่นกายกรรมที่พร้อมจะเสียการทรงตัวได้ทุกเมื่อ
ไม่ทันถึง 3
วินาทีที่ขิงละสายตาจากหล่อน...
"ขิง ขิง ยัยขิง นั่นยายขิง
จอมครึใช่มั๊ยนั่น"
เสียงของสาวคนนั้นนั่นเองแต่เอ๊ะ...
หล่อนรู้จักขิงได้ยังไงกัน
แล้วขิงก็ได้คำตอบเมื่อมือขาวเนียนราวกับไม่เคยทำงานใดๆมาก่อน
ยกขึ้นดึงแว่นตากันแดดออกจากใบหน้า
ขิงต้องมองฝ่าเครื่องสำอาง
และร่องรอยการศัลยกรรมใบหน้าอยู่สักครู่ถึงจำ
"มี่"
เพื่อนสมัยเรียนมัธยมของตัวเองได้
"เฮ้ย มี่ ไปไงมาไงกันเนี่ย
มาทำอะไรอยู่แถวนี้จ๊ะ"
มี่ดึงขิมไปที่ร้านฟาสต์ฟู้ด
ใกล้ๆและใช้เวลาตอบคำถามง่ายๆของขิมอยู่ถึง
2ชั่วโมง มี่เล่าว่าหลังจากจบ
มัธยมปลายแล้วมี่ก็ไม่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
พ่อแม่ของมี่ใช้เส้นก๋วยจั๊บที่มีอยู่
ยัดมี่เข้าไปในมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งแต่มี่ก็พิสูจน์ให้พ่อแม่
เห็นว่ามี่มีเส้นใหญ่แต่สมองเล็ก
โดยการโดนรีไทร์ออกจากสถาบันถึง
2 ครั้ง
ในที่สุดก็สรุปลงที่พ่อกับแม่ส่งมี่ไปเรียนคอร์สระยะสั้นที่ประเทศอเมริกาเพื่อเป็นการ
"ชุบตัว" มี่ใช้เวลาเพียง 2
ปีก็ได้เซอร์ติฟิเคทกลับมาฝากพ่อกับแม่หนึ่งใบ
แถมด้วยอาการ "ฝรั่งจ๋า"
พูดไทยคำอังกฤษคำและการตกเป็นทาสสินค้านอกประเทศอย่างบ้าคลั่ง
สองอย่างหลังนี่ขิงประมวลเอาเองจากการสังเกตระหว่างการสนทนา
"แล้วตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่ล่ะ
หางานทำอยู่รึเปล่าจ๊ะ" ขิงถาม
"มายก้อด ยัยขิมเอ๊ย
คนอย่างฉันต้องหาด้วยเหรองานน่ะ
วุ้ย
อิมพอสซิเบิ้ลย่ะมีแต่คนจะมาเชิญให้ไปทำล่ะก็ไม่ว่า
ตอนนี้ฉันทำงานเป็นผู้จัดการฝ่าย
PR อยู่ที่ ....."
มี่เอ่ยชื่อบริษัทตัวแทนขายเสื้อผ้ายี่ห้อดังชั้นนำจากต่างประเทศ
ก็บริษัทนี้แหละที่ขิงเคยไปสมัครและไม่เคยได้ผ่านขั้นตอนใดๆอีกเลยนอกเหนือจากการกรอกใบสมัครในวันนั้น
"แหมทำไมมี่เก่งจัง ขิงก็เคยไป
สมัครทิ้งไว้นะ
แต่เค้าไม่ยักเรียก"
"โธ่เอ๊ยยัยขิง
ก็เธอเชยซะขนาดนี้ เค้าจะรับ
เธอได้ยังไง้
เสียเครดิตเสื้อผ้าเค้าหมด
แล้วคนที่ทำงานที่นี่นะ
เค้าต้องมี connection
ต้องรู้จักคนในสังคมชั้นสูง
ที่จะมาเป็น target market ของเค้าไงล่ะ
ต้องมีรถยนต์ส่วนตัวจะได้ไปไหนมาไหนสะดวก
ไม่ใช่โหนรถเมล์ร่องแร่งอย่างหล่อน
ต้องมีมือถือด้วย
เอาไว้ติดต่อได้ทุกเวลา
ขืนต้องวิ่งไป public phone
ทุกครั้งอย่างเธอ
มีหวังปวดหัวตายกันพอดี"
มี่จบการสาธยายด้วยรอยยิ้มที่
มุมปาก
อีกครั้งที่ขิงกลับมานั่งอย่างหมดเรี่ยวแรงที่ป้ายรถเมล์ที่เดิมถ้าการได้งานหมายถึงการที่ขิง
ต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็นเหมือนมี่ล่ะก็
ชาตินี้ขิงก็คงต้องเดินเตะฝุ่นหางานไปทั้งชาติ
ที่แย่ไปกว่าก็คือขิงไม่มีกำลังทรัพย์เหลือเฟือ
พอที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ว่า
ยิ่งคิดขิงก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าคนที่เห็นการเอาลิงมาห้อยที่กระเป๋า
ตั้งชื่อแล้วแปะยี่ห้อที่ไม่ใช่ภาษาพ่อภาษาแม่
ของเรา
แล้วเอามาขายเราใบละเกือบครึ่งหมื่น
ทั้งๆที่คนไทยทำออกมาได้
เหมือนเปี๊ยบ
ขายมีกำไรได้ในราคาใบละ 199
เป็นสิ่งโก้เก๋
และสำคัญขนาดบางคนต้องเสียเนื้อเสียตัวเพื่อให้ได้มา
คนเหล่านั้นเค้ามีสมองที่มีรอยหยัก
หรือมีขนาดใหญ่กว่าสมองของขิงงั้นเหรอ
สมองที่คิดถึงแต่คุณภาพและ
ความสมเหตุสมผลทางด้านราคา
โดยไม่ใส่ใจกับภาษาต่างประเทศที่แปะไว้บนสินค้านั้นๆ
สมองของคนเหล่านั้นสามารถคิดและทำงานได้ผลดีและมีประสิทธิภาพสูงกว่าสมองของขิงหรือยังไง
ยิ่งคิดขิงก็ยิ่งงง
และหาคำตอบไม่ได้
รถเมล์มาแล้ว
ขิงคงต้องไปต่อซักที
ลองไปสมัครงานดูอีกซักสองสามแห่ง
ตามที่วงไว้ในหนังสือพิมพ์
บางทีถ้าเสร็จเร็วก่อนกลับบ้าน
ขิงอาจจะแวะที่
ตลาดนัดสินค้าราคาถูกใกล้บ้าน
หาซื้อกระเป๋าลิงห้อยซักใบสำหรับไปสมัครงานวันพรุ่งนี้......
โดย E-Om
กรุงเทพฯ |