..........................
บทที่ 10 ............................
"ขจรมีปัญหาอะไรก็พูดกับพลอยใสได้น่ะคะ
ทุกๆเรื่องเลยคะ"
พลอยใสมักจะพูดอย่างนี้อยู่เสมอๆ
เวลาเห็นขจรไม่สบายใจ
บางครั้งพลอยใส็ก็จะแอบค้นใต้โต๊ะขจรอยู่บ่อยๆเพราะรู้ว่า
ขจรมักจะเขียนระบายออกมาใส่ในกระดาษแล้วก็ยัดใส่ใต้โต๊ะไว้
มีครั้งนึงที่พลอยใสถึงกับเดินตามขจรไปตะโกนโหวกเหวก
ที่หน้าห้องน้ำผู้ชายเรียกขจรออกมาคุยกันให้รู้เรื่อง็ก็มี
การได้พูดปรึ฿กษากับใครซักคน
มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้ขจร
ไม่รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว
ยังมีคนที่อยากรับรู้ความรู้สึกของเราอยู่ด้วย
(ภาพของพลอยใสที่เอามือท้าวคางเวลาที่ขจรพูดเรื่องต่างๆให้ฟัง
พลอยใสจะนั่งนิ่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
ภาพนั้นยังติดอยู่ในหัวสมองไม่ลืม)
ซึ่งมันก็ทำให้เราสองคนสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ...
ในระยะนี้เรื่องของพลอยใสกับขจรมักจะถูกหยิบยก
ขึ้นมาพูดอยู่เสมอๆ
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนของขจร
ของพลอยใส
หรือแม้แต่เพื่อนนู๋นุยก็ตาม
ว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน
มักจะถูกเพื่อนๆ
แอบกระซิบกระซาบแล้วก็ไปแอบหัวเราะ
เวลาที่ขจรกับพลอยใสเดินไปไหนมาไหนด้วยกัน
แต่ขจรก็ไม่ได้พยายามแก้ตัว
หรือพูดอะไรมาก
เพราะตัวขจรเองก็ไม่ได้คิดอะไร
และอีกอย่างที่สำคัญ
ก็เพราะกลัวจะเป็นเรื่องใหญ่
อาจจะทำให้เข้าหน้ากับพลอยใส
ได้ไม่สนิทใจเท่าเดิม
และก็พลอยจะทำให้พลอยใส
ซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีของขจรต้องมากังวลใจไปด้วย...
"มีคนบอกว่าพลอยใสเป็น..เอ่อ
เป็นแฟนกับขจรหละ"
พลอยใสพูดขึ้นมาหลังจากนั่งเงียบในห้องอยู่เกือบตลอดวัน
"อืมม
ขจรก็ได้ยินมาเหมือนกันอะคะ"
พูดตอบไป
จะไม่รู้ได้ยังไงก็เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เค้าพูดกันแทบจะทุกวัน
แม้แต่อาจารย์ที่สนิทกับขจรบางคนยังแซวเลยว่า
ให้ขจรระวังนู๋นุยจะโกรธ
ขจรก็ทำได้แต่ยิ้มๆไม่ได้ตอบอะไร
นั่งคิดอยู่นานแล้วก็พูดกับพลอยใสไปว่า...
"ก็เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันไม่ใช่เหรอคะ"
พูดแล้วก็นิ่งฟัง
พลอยใสยิ้มมุมปากนิดๆ
ไม่ได้พูดอะไรแล้วก็เดินออกจากห้องไป
จนถึงวันนี้ขจรเองก็ยังไม่รู้เลยว่าพลอยใสคิดอะไรอยู่ตอนนั้น
ช่วง 2-3
อาทิตย์มานี้ไม่ได้เจอนู๋นุยเลยเพราะนู๋นุยไม่ค่อย
ยอมเดินมาทานข้าวที่โรงอาหารใกล้ๆตึกขจร
ส่วนขจรเอง
ก็เอาแต่เล่นฟุตบอลไม่ค่อยได้เดินไปทักทายนู๋นุยซักเท่าไหร่
จนบางทีก็รู้สึกเหมือนเราจะลืมๆกันไปพักนึง
แต่นู๋นุยรู้ใช่มั้ยคะ
ว่าขจรไม่เคยลืมนู๋นุยออกจากความทรงจำเลยไม่ว่าตอนไหนๆก็ตาม
ถึงแม้ว่าเราจะไม่ค่อยได้เจอกัน
แต่ขจรจะโทรศัพท์ไปสวัสดีนู๋นุยน่ะคะ
(รู้จักกันมาปีกว่าแต่ขจรยังไม่กล้าโทรไปหานู๋นุยเลยกลัวนู๋นุยไม่คุยด้วยนิคะ)
ว่าแล้วก็เดินไปหานู๋นุยขอเบอร์โทรศัพย์
นู๋นุยยิ้มๆ ถามกลับมาว่า
"ขจรก็มีแล้วนิคะ จะมาขอทำไม"
แต่ก็เขียนลงในกระดาษยื่นให้
(กระดาษแผ่นนั้นยังอยู่ในกล่องที่นู๋นุยทำให้น่ะคะ
ขจรเก็บมันไว้อย่างดี)
ไว้คืนนี้น่ะ
คืนนี้ขจรจะโทรศัพท์ไปคุย
คุยให้หายคิดถึง...นู๋นุย
...........................
บทที่ 11 ............................
เดินวนหมุนไปหมุนมาอยู่ที่เรื่องโทรศัพท์ในมือมีกระดาษแผ่นนึง
กระดาษที่นู๋นุยจดเบอร์โทรศัพท์ให้มาด้วยตัวเอง
ใจเต้นไม่เป็นส่ำ
ขจรไม่เคยโทรหานู๋นุยมาก่อนตั้งแต่รู้จักกันมาเลยรู้สึกตื่นเต้น...
แต่วันนี้เป็นครั้งแรกในรอบปีที่ขจรรู้สึกอยากจะคุยกับนู๋นุย
จนรอที่จะไปพบนู๋นุยที่โรงเรียนไม่ไหว
ใจนึงก็อยากได้ยินเสียงนู๋นุย
แต่อีกใจก็กลัวนู๋นุยจะไม่คุยด้วย
แล้วยังคุณพ่อกับคุณแม่นู๋นุยอีกละ
พี่ชายที่นู๋นุยคุยว่าใจดี
คงไม่ใจดีกับขจรนักหรอก
เพราะยังไงพี่ชาย
คงต้องมีหวงน้องสาวอยู่บ้างเป็นธรรมดา
คิดแล้วก็ได้แต่ถอนใจ....
"ฮัลโหล ที่นี่.........ครับ"
เสียงห้าวๆทุ้มๆ
(รู้ทีหลังว่าเป็นพี่ชายของนู๋นุย)
บอกเบอร์โทรศัพท์
คิดในใจว่าถ้าไม่รู้ว่าที่นั่นที่ไหนคงไม่โทรมาหรอก
แต่ถ้าพูดไปอาจจะโดนนู๋นุย หรือ
ไม่ก็พี่ชายของนู๋นุยฆาตกรรมถึง
กับบาดเจ็บเสียชีวิตได้
พี่ชายนู๋นุยซักถามว่าเป็นใคร
โทรมาทำไม มีธุระอะไร
อยู่นานสองนานกว่าจะไปตามนู๋นุยมาให้...
(ตอนนั้นคิดจะวางโทรศัพท์ไปด้วยซ้ำ
แต่อีกใจ็ก็อยากคุยกับนู๋นุย)
คืนนั้นเราคุยกันอยู่นานประมาณชั่วโมงเศษ
แต่ขจรรู้สึกว่า
มันเป็นช่วงเวลาที่สั้นเหลือเกิน
จนนู๋นุยขอตัวไปนอนนั่นแหละ
ถึงได้รู้ว่าสี่ทุ่มกว่าๆแล้ว
ได้แต่บอกว่าพรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียน
ขอให้นู๋นุยนอนหลับฝันดี
แล้วก็วางหูไป...
นู๋นุยเดินเข้ามาหาขจรที่ห้องแต่เช้า
หน้าตาออกจะน่ากลัว
(รู้สึกได้จากตานู๋นุยอะคะ)
ต้องมีอะไรไม่ดีแน่ๆเลย
ไม่อย่างนั้นนู๋นุยไม่เดินมาหาขจรถึงตึกแน่ๆ
หวั่นใจ..
นู๋นุยทักทายตามปกติแล้วก็พูดถึงเรื่องโทรศัพท์เมื่อคืน
นู๋นุยบอกบอกว่ารู้สึกดีที่ได้คุยกัน
ดีใจได้แป๊ปเดียว
(ที่เค้าบอกกันว่าตดยังไม่ทันหายเหม็น
จิงๆ ยังไม่ทันได้ตดด้วยซ้ำ)
นู๋นุยก็พูดบอกไม่ให้ขจรโทรไปหาอีก
เพราะคุณพ่อคุณแม่จะดุเอา
ขจรก็ได้แต่พยักหน้ารับคำ
พูดอะไรไม่ออก
แล้วนู๋นุยก็กล่าวลาแล้วเดินกลับไปเข้าเรียนที่ตึก..
น่าเบื่อจริงๆวันนี้
อากาศร้อนอบอ้าว
ที่จริงอากาศไม่ผิดเลย
เพราะมันร้อนสม่ำเสมอแบบนี้ทุกๆวัน
แต่ในใจขจร
คงร้อนมากกว่าปกติด้วย
เลยทำให้อากาศพลอยโดนลูกหลงไปด้วย
เวลาขจรอยู่ที่โรงเรียนก็มีโอกาสเจอนู๋นุยน้อยเหลือเกิน
โทรไปหาก็ไม่ได้อีก
หันไปถามพลอยใสที่นั่งข้างๆว่าควรจะทำอย่างไร
(เพราะพลอยใสอาจจะให้คำแนะนำดีๆได้)
พลอยใสแนะนำให้ไปรอเจอนู๋นุยที่ที่นู๋นุยเรียนพิเศษ
หรือไม่ก็ ไปเรียนกับนู๋นุยเลย
เพราะบางทีอาจจะได้อยู่ใกล้ๆนู๋นุยมากขึ้น
ขอบคุณพลอยใสแล้วก็นั่งรอจนเลิกเรียน
สอบถามเพื่อนๆว่านู๋นุย
เรียนพิเศษที่ไหนบ้าง
พอรู้ก็รีบออกจากโรงเรียน
ไปสมัครเรียนพิเศษที่เดียวกับ...นู๋นุย
............................
บทที่ 12 ............................
เปิดเทอมอีกแล้วสิน่ะ
เวลาสองเดือนนี่มันเร็วเหลือเกิน
ถึงต้องลุกจากเตียงแต่มืด
ออกจากบ้านแต่เช้า
นั่งเรียนจนเย็น
แต่ขจรก็ไม่เคยนึกเบื่อเลย
ออกจะดีใจอยากไปโรงเรียนด้วยซ้ำ
เพราะว่าปีนี้ขจรได้กลับมาอยู่ห้องเดียวกับนู๋นุยอีกจนได้
รีบวิ่งเข้าไปบอกนู๋นุย
แสดงความดีใจจนออกนอกหน้า
เมื่อรู้ข่าว
แต่นู๋นุยก็ยังวางตัวเหมือนเดิม
ไม่ได้พูดอะไรมากนัก
ทำหน้าเฉยๆชาๆ
ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรไปกับขจรสักนิดเดียว
จนทำให้ขจรเองก็รู้สึกน้อยใจอยู่บ้างเหมือนกัน...
นั่งเหม่อลอยอยู่คนเดียวในห้องนอนจนพ่อเดินเข้ามาทัก
ได้แต่ตอบไปว่าไม่มีอะไร
แต่จริงๆแล้วโทรศัพท์ที่พึ่งวาง
ไปเมื่อสักครู่ที่ผ่านมามันทำให้ขจรคิด
คิดแล้วก้อคิดอีก
น้องมลเพื่อนสนิทของแพรโทรศัพท์มาพูดสั้นๆบอกกับขจรว่า
แพรยังรู้สึกดีๆกับขจรอยู่ก็แล้วแต่ขจรจะตัดสินใจอย่างไร
บางทีการรอคอยอะไรบางอย่างนานๆมันก็เปลี่ยนความคิด
ของคนเราได้เหมือนกัน
สองปีแล้วสิน่ะที่รอนู๋นุยมา
ได้รับตอบมากที่สุดก้อแค่ในฐานะเพื่อน
ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม
แล้วเราจะรอต่อไปเพื่ออะไร
รออย่างคนที่ไม่มีความหวัง...
เช้าวันรุ่งขึ้นก็รีบออกจากบ้านแต่เช้าตรู่เพราะนัดกับแพร
ไว้ว่าจะทานข้าวเช้าด้วยกัน
น้องแพรดูน่ารักกว่าเดิมที่เคยเจอ
อาจจะเป็นเพราะขจรเริ่มจะมีความรู้สึกดีๆให้แพรแล้วก็ได้
คุยกับน้องแพรอยู่นานสองนานถึงเรื่องต่างๆ
แม้แต่เรื่องนู๋นุย
ทานข้าวเสร็จก็เดินพาน้องแพรไปส่งที่ห้องเรียน
เพื่อนๆส่วนใหญ่พากันอิจฉาที่ขจรเป็นแฟนกับน้องแพร
แต่ก็มีบางคนที่ถามถึงนู๋นุย
ขจรทำได้แต่เงียบๆไม่พูดอะไร
เพราะในใจขจรเองก็รู้ดีว่ายังไม่สามารถลืมคนคนนั้นได้...นู๋นุย
เดินไปส่งน้องแพรที่ห้องเสร็จสรรพก็กลับเข้ามาที่ห้องเรียน
นู๋นุยหันมามองขจรแล้วก็เดินออกจากห้องไปไม่พูดไม่จา
จนขจรรู้ได้เองว่านู๋นุยคงจะรู้เรื่องที่ขจรเป็นแฟนกับน้องแพรแล้ว
(ข่าวแบบนี้มักจะเป็นข่าวที่เร็วเสมอ
ไม่ว่าสังคมไหนๆ) เพื่อนๆ
ต่างแซวกันยกใหญ่ต่อว่าว่าขจรทำไมถึงไม่รอนู๋นุย
ขจรทำได้ดีที่สุดแค่หันกลับไปตอบทีเล่นทีจริงว่า
นู๋นุยให้ขจรรอมานานเกินไป
นานมากจริงๆ
แต่ความจริงแล้วไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
นู๋นุยเองก็คงรู้ใช่มั้ยคะว่าขจรยังรอนู๋นุย...รออยู่เสมอ
.........................
บทที่ 13 .........................
ช่วงเวลาที่น้องแพรเดินเข้ามาอยู่ในบทชีวิตของขจร
ถึงแม้มันจะไม่ยาวนานนักเพียงแค่ชั่วขณะแต่มันก็มีความสุข
เมื่อรู้ว่ามีใครสักคนที่เป็นห่วงเป็นใยเรามากๆจนบางที
ก็กลายเป็นเรื่องตลกไป
เพราะมีครั้งนึงที่ขจรเกโรงเรียน
อ่านหนังสืออยู่กับบ้านเพราะช่วงสอบ
Entrance ใกล้เข้ามา
น้องแพรโทรศัพท์มาเรียกแต่เช้าบอกขจรว่าขจรมีสอบวิชาเลข
แล้วก็บอกให้รีบมาโรงเรียน
น้ำเสียงตระหนกตกใจ
แต่แพรไม่รู้ว่าเพื่อนของขจรที่บอกแพรอำแพรเล่น
ขจรถึงกับเปียกฝนโทรมไปทั้งตัวเพราะมอเตอร์ไซต์คนดี
ที่ขจรเรียกให้ขับไปส่งเค้าซิ่งซะจนเกือบเสียชีวิตทั้งคนขับคนนั่ง..
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อนหลังจากจมอยู่กับหนังสือกองโต
มาอยู่เกือบทั้งอาทิตย์
นัดกับน้องแพรว่าจะไปทานข้าว
แล้วก็จะไปซื้อข้าวของจำเป็นบางอย่างให้กับพ่อด้วย
วันนี้น้องแพรดูมีความสุขมาก
ทานข้าวได้เยอะ
(ธรรมดาแพรไม่ค่อยยอมทานข้าวเลยนิคะ
อ้างจะลดความอ้วนท่าเดียว)
พออิ่มเราก็เข้าไปในห้างสรรพสินค้าไม่ไกลจากร้านอาหาร
ในร้านขายของจุกจิกของผู้หญิง
ปล่อยให้แพรเดินเลือกซื้อ
ที่คาดผมอย่างสบายใจ
ส่วนขจรก็ยืนช่วยเลือกอยู่ใกล้ๆ
น้องแพรหยิบที่คาดผมสีเลือดหมูมาส่งให้อันนึง
แล้วก็ถามความเห็นว่าขจรคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ขจรนิ่งอึ้ง
พูดอะไรไม่ออกได้แต่พยักหน้ารับบอกตามใจแพร
เพราะตอนนั้นในหัวสมองของขจร
กลับมีภาพของนู๋นุยเข้ามาแทน
ภาพของนู๋นุยที่คาดผมยาวของนู๋นุยด้วยที่คาดผมสีเลือดหมูอันนั้น
มันกลบภาพของน้องแพรที่ยืนอยู่ข้างหน้าขจร
ซะจนเลือนลางจนขจรรู้สึก
รู้สึกเหมือนกลัวใจตัวเอง....
"พี่ขจรคะ แพรเข้าใจคะ
ว่าพี่ขจรยังคิดถึงพี่นู๋นุยอยู่"
แพรพูดขึ้นในเย็นวันนึง
ขอให้เราเป็นแค่เพื่อนพี่น้องที่ดีต่อกัน
แพรยังพูดต่ออีกว่าถ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจ
โดยเฉพาะเรื่องนู๋นุยก็ขอให้ขจรมาปรึษากับแพรได้ทุกเวลา
แพรดูเข้าใจเรื่องราวต่างๆดีมาก
ถึงแม้จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกัน
แค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ
แต่ก็ทำให้ขจรรู้สึกประทับใจในตัวแพร
ประทับใจกับความเป็นห่วงเป็นใยที่น้องแพรมอบให้มากมาย
ตอนนั้นถ้าถามตัวเองว่ารู้สึกอย่างไร....มันมีสองความรู้สึกที่เข้ามาในสมอง
...เสียใจที่ไม่สามารถทำให้คนที่รู้สึกดีกับเรามีความสุขได้
แต่ก็รู้สึกสบายใจที่ตัวเองจะได้รอคนที่เรารัก
รอคนคนนั้น ...รอนู๋นุย
.........................
บทที่ 14 .........................
ช่วงการสอบ Entrance
ขจรแทบไม่ได้เจอกับนู๋นุยเลย
เป็นเวลาเกือบสองเดือนเต็ม
(แต่ก็คิดถึงนู๋นุยน่ะคะ)
เพราะขจรเองก็ต้องคร่ำเคร่งอ่านตำรามากมาย
ไม่มีเวลาไปหานู๋นุยด้วยตัวเอง
จะมีบ้างก็แค่โทรศัพท์
ไปไต่ถามทุกข์สุข
คอยเตือนให้นู๋นุยพักผ่อนบ้าง
เพราะนู๋นุยตั้งใจมากที่จะสอบเข้าให้ได้
บางทีถึงกับต้องอดหลับอดนอนอ่านหนังสือข้ามวันข้ามคืนก็มี...
หลังจากการสอบ "เอ็นสะท้าน"
ผ่านพ้นไป ก็เป็นไปดังที่คาด
ขจรสอบติดที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งแถวรังสิต
ส่วนนู๋นุย
สอบเข้าได้ที่มหาวิทยาลัยของรัฐใกล้ๆ
ท่าพระจันทร์
(คิดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ด กับ
ร้านขนมปังหน้าหมูแถวนั้นจัง)
ปีแรกนู๋นุยจะต้องไปเรียนไกลถึงศูนย์รังสิต
(ยังจำได้ว่ามีดอกอัญชัญ
ที่ขจรชอบมาก ปลูกอยู่เยอะเชียว)
ซึ่งจริงๆแล้ว
ก็เป็นผลดีกับขจรอย่างมาก
เพราะสามารถไปหานู๋นุยได้บ่อยๆ
ไม่ต้องขับรถไปไกลถึงท่าพระจันทร์
(ยังจำกลิ่นของกระดูกเหม็นอบอวลแถวนั้นได้ดี
เพราะรู้สึกว่าจะเป็นโรงฆ่าสัตว์)
คืนนั้น
เพื่อนๆมาทานข้าวเฮอากันอยู่ที่บ้าน
(ตามปกติ) จู่ๆ
ก็มีเพื่อนคนนึงพูดถึงนู๋นุย
แล้วก็ให้แนะนำให้ขจร
ทำความตกลงกับนู๋นุยอย่างจริงๆจังๆซักที
เพราะเพื่อนๆ รอลุ้นมานานมาก
แล้วความจริงนู๋นุยก็คงรู้สึกดีๆกับขจรอยู่บ้าง
คิดคำพูดอยู่นานจนในที่สุดก็คว้าหูโทรศัพท์
หมุนเบอร์นู๋นุยทันที
รออยู่ประมาณอึดใจ
คุณพ่อนู๋นุยก็มารับสาย แล้วก็
ไปตามนู๋นุยมาให้
ทักทายสวัสดีกับนู๋นุยอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วก็เริ่มพูด....
"นู๋นุยจ๋า
นู๋นุยรู้มั้ยว่าขจรรอนู๋นุยมานานแค่ไหนแล้วคะ"
เอ่ยถาม
นู๋นุยเงียบอยู่นานจนขจรต้องเรียก
(คิดว่านู๋นุย
คงคำนวนอยู่เหมือนกัน) "
นู๋นุยไม่รู้คะ
รู้แต่ว่านานมากแล้ว "
นู๋นุยตอบเบาๆ " 3 ปี 2
เดือนกับอีก 15 วันคะ "
ขจรบอกอย่างแม่นยำ
(ก็ขจรจดบันทึกไว้นิคะ
ว่าเราเจอกันตั้งแต่เมื่อไหร่)
" แล้วนู๋นุย
จะให้ขจรรอไปอีกนานแค่ไหนคะ "
ถามเสียงเครียด
รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังพยายามไล่นู๋นุยให้จนมุม
เพราะอ้างว่าขจรกำลังจะโทรไปนัดเพื่อนผู้หญิงอีกคน
โดยที่จะไม่รอนู๋นุยต่อไปอีกแล้ว....
(แห่ะๆ แผนเพื่อนอะคะ
ขจรไม่เกี่ยวด้วยจริงๆ)
นู๋นุยพูดตัดบทให้ขจรไปหาที่มหาวิทยาลัยวันรุ่งขึ้น
เพราะคุณพ่อของนู๋นุยมาดุแล้ว
กล่าวสวัสดี
แล้วก็วางหูไปโดยไม่ฟังเสียงของขจร......
..........................
บทที่ 15 ...........................
ตีห้ากว่าๆเอง
ฟ้ายังมืดมีแค่แสงจันทร์บางๆส่องพอเห็นทาง
นอนไม่หลับตั้งแต่เมื่อคืน
ความคิดสับสนวุ่นวายไปหมด
ถ้าคำตอบของนู๋นุยเป็นไปในทางที่ดี
ก็คงมีความสุขมาก แต่ถ้าไม่หละ
เรายังจะรอนู๋นุยต่อไปอีกมั้ย
หรือควรจะตัดใจ
ถามตัวเองอยู่ซ้ำไปซ้ำมา
ไม่มีคำตอบใดๆหลุดออกมา...
เข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟันจนเรียบร้อย
แต่งตัวเสร็จ
ก็กะว่าจะลงมาทานอะไรนิดหน่อยรองท้อง
แต่ทานไม่ลง
ก่อนออกจากบ้านไม่ลืมลงมาสวัสดีรูปของแม่ขอพรก่อนไปหานู๋นุย
(ก็ต้องมีเอาฤกษ์เอาชัย
ใช้ไสยศาสตร์บ้างเหมือนกัน)
ไปถึงมหาวิทยาลัยของนู๋นุยตั้งแต่ยังไม่หกโมงด้วยซ้ำ
มหาวิทยาลัยดูเงียบๆ
(ก็เช้ามืดอยู่นิ
ใครจะมาแต่เช้าแบบนี้)
ระหว่างที่นั่งรอก็มองอะไรไปเรื่อยๆ
คนเดินไปเดินมา
แต่ในหัวของขจรมีแต่เรื่องของนู๋นุยวนเวียนเข้ามา
ผลที่ได้จะเป็นอย่างไร
ขจรไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว
ยังไงจะออกหัว หรือ ออกก้อย
วันนี้ต้องรู้ให้ได้
ทุกอย่างระหว่างขจรกับนู๋นุยจะเริ่มต้นกันวันนี้
หรือไม่ก็
..จะจบลงที่วันนี้เหมือนกัน...
ผลอยหลับไปเนื่องจากความอ่อนเพลียเพราะอดนอนทั้งคืน
จนกระทั่งนู๋นุยเข้ามาสะกิดปลุกให้ตื่น
ขจรได้แต่ยิ้มเขินๆ
เรานั่งมองหน้าไม่ได้พูดอะไรกันอยู่ครู่หนึ่งเหมือนพยายาม
ที่จะสื่ออะไรกันทางดวงตา
(แต่ทำไม่ได้
เพราะขจรไม่ใช่หมอดูนิคะ)
"นู๋นุยได้คำตอบรึยังคะ"
ขจรถามขึ้นก่อนแล้วก็ลุ้นรอคำตอบ
นู๋นุยพนักหน้าเบาๆเชิงตอบรับมองเห็นรอยยิ้มออกทางดวงตาคู่นั้น
"ขจรจ๋า
ขจรอย่าทำให้นู๋นุยเสียใจน่ะคะ"
นู๋นุยพูด
แล้วก็เขี่ยนิ้วของขจรเล่นเบาๆ
เหมือนขอร้อง ไม่มีวันหรอกคะ
ขจรจะไม่ทำให้นู๋นุยเสียใจ
ถึงไม่ได้พูดออกมา
แต่ก็มั่นใจว่านู๋นุยคงรับรู้ความรู้สึกมั่นใจของขจรได้....
อยากจะตะโกนร้องออกมาดังๆ
รู้แต่ว่าตัวเองยิ้มแก้มปริแทบจะถึงหู
ในที่สุดความพยายามของขจรก้อไม่เสียเปล่าแล้ว
สามปีกว่าๆที่ผ่านมา
มันคุ้มค่ากับการรอคอยครั้งนี้จริงๆ
(ถึงขจรจะมีเผลอใจอยู่บ้าง)
ทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนั้นมันดูสวยงามไปหมด
เรานั่งพูดคุยกันอยู่อีกพักใหญ่ๆ
ทานข้าวกันจนอิ่ม
(ขอโทษร้านข้าวที่นั่นด้วยน่ะครับ
เพราะแอบเก็บช้อนมาเป็นที่ระลึก)
พอได้เวลาที่นู๋นุยจะต้องเข้าเรียนวิชาแรกแล้ว
ขจรเดินไปส่งนู๋นุยที่ตึกเรียน
แล้วก็ขอตัวกลับไปมหาวิทยาลัย
ต่อไปนี้ขจรไม่จะเหงาอีกแล้ว
เพราะมีคนคนนึง คนที่ขจรรัก
เค้าคงจะคอยคิดถึงขจรอยู่เสมอ
ใช่มั้ยคะ...นู๋นุย
.............................
บทที่ 16 .............................
บางทีเพราะความที่คุณพ่อกับคุณแม่นู๋นุยเป็นคนค่อนข้างดุ
แล้วนู๋นุยก็ต้องเชื่อฟัง
(ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีน่ะคะ แห่ะๆ
ไม่ได้ว่าจริงๆน่ะ)
ก็ทำให้ขจรรู้สึกไม่แน่ใจในตัวนู๋นุยอยู่บ้างเหมือนกัน
นู๋นุยไม่เคยบอกรักขจร
ไม่ค่อยจะมีทีท่าเป็นห่วงเป็นใยขจร
โทรศัพท์มาหาบ้างก็แค่อาทิตย์ละครั้งสองครั้ง..
แล้วที่ขจรคิดว่าการรอคอยของขจรคุ้มค่า
มันคุ้มจริงๆรึเปล่า
น้อยใจถึงขนาดเขียนจดหมายไปฝากเพื่อนนู๋นุยให้มอบให้นู๋นุย
ว่าถ้านู๋นุยไม่ได้รู้สึกดีๆกับขจรจริงๆ
ที่รับขจรเข้ามาเพราะ
วันนั้นขจรไปบังคับให้ต้องรับ
อยู่แบบนี้คงไม่ดีทั้งสองฝ่าย
เราหยุดที่ตรงนี้
แล้วขจรก็พร้อมที่จะรอ รอต่อไป...
เย็นวันนั้นไปรับนู๋นุยที่มหาวิทยาลัยตามปกติ
ขจรค่อนข้างเงียบ
เพราะยังไม่แน่ใจว่านู๋นุยจะตอบจดหมายฉบับนั้นว่าอย่างไร
นั่งเงียบๆกันอยู่พักนึง
นู๋นุยล้วงเข้าไปในกระเป๋าหยิบช๊อคโกแล๊ต
ออกมากล่องนึง(นู๋นุยจ๋า
กล่องช๊อคโกแล๊ตกล่องนั้นยังอยู่เลยน่ะคะ)
แล้วก็เขยิบมาใกล้ๆขจร
ส่งให้แล้วก็กระซิบข้างๆหูขจรว่า
"นู๋นุย
เอ่อ..นู๋นุยรักขจรน่ะคะ" .....
แว่ปจอดรถข้างทางแทบจะทันที
"นู๋นุยมั่นใจว่า
นู๋นุยเลือกคนไม่ผิดคะ"
นู๋นุยพูดต่อ
ขจรได้แต่มองหน้านู๋นุย
พอคิดได้ว่าจะพูดอะไรหันไปกำลังจะพูดตอบ
แต่นู๋นุยก็อมยิ้มหลับตานอนหลับไปไม่สนใจขจรเลย...
หลังจากที่ผ่านพ้นการปรับความเข้าใจในครั้งนั้นกันได้
เราสองคนก็รักกันมากขึ้นทุกๆวัน
มากจนเพื่อนๆหลายๆคู่อิจฉา
แต่นู๋นุยเป็นคนที่ขี้หึงอย่างร้ายกาจ
(นู่นุยจ๋า ยอมรับมาซะดีๆ)
จนบางครั้งก็มากเกินไป
อย่างเช่น
มีครั้งนึงที่เราสองคนเดิน
กันอยู่ที่ฟุตบาทหน้ามหาวิทยาลัย
มีนักศึกษาผู้หญิงสองคน
กำลังเข็นเลื่อนรถกันอยู่เพราะออกไม่ได้
พอขจรลงไปช่วย
จนนักศึกษาสองคนนั้นขับรถออกไปได้
กลับมาหานู๋นุย
นู๋นุยหน้าบึ้งใส่ขจรไปทั้งวัน
ตามง้ออยู่เป็นนานสองนาน...
อีกครั้งที่เป็นเรื่องขำขันล้อเลียนกันอยู่บ่อยๆในหมู่เพื่อนๆ
ตอนที่ขจรนั่งรถประจำทางไปมหาวิทยาลัยกับนู๋นุย
เราสองคน
โชคดีได้นั่งเพราะขึ้นที่ต้นสาย
คนบนรถแน่นมากเพราะเป็นเวลาเช้า
สักพักนึง เสียงเบรค เอี๊ยดดด
เนื่องจากมีมอเตอร์ไซต์วิ่งตัดหน้า
ดังขึ้น
ตามมาด้วยคนบนรถที่ล้มกันระเนระนาด
ใกล้ๆขจรผู้หญิงสาววัยรุ่นคนนึงซวนเซจะล้ม
ไม่ทันได้นึกอะไร
ขจรคว้าหมับเข้าที่ข้อมือผู้หญิงคนนั้น
จนมั่นใจว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ล้ม
แล้วก็ปล่อยมือ
ได้รับคำขอบคุณตอบมา
ขจรยิ้มรับไม่เอะใจ
"เป็นญาตตตตตตตติ กะเค้าเหรอ"
เสียงเบาๆ
แต่เย็นเฉียบของนู๋นุยนั่นเอง
ขจรหันไปยิ้มแหยๆ
แล้วก็นั่งทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ต่อจนถึงมหาวิทยาลัย....
........................
บทที่ 17 ...........................
นู๋นุยไม่มีปัญหากับที่บ้านของขจรเลย
พ่อแม่พี่ป้าน้าอาของขจรทุกคน
ชอบนู๋นุยกันหมดก็เพราะด้วยความสุภาพเรียบร้อยของนู๋นุย
เวลานู๋นุยมาที่บ้านพวกป้าๆของขจรก็จะสรรหาขนมนมเนยมาให้นู๋นุย
ทานกันจนอิ่ม
หนำซ้ำบางทียังห่อใส่กล่องให้เอากลับไปทานที่บ้านก็มี
นู๋นุยจะเกรงๆอยู่บ้าง
ก็คุณพ่อของขจรเพราะเป็นคนค่อนข้างเงียบ
แต่จริงๆแล้วพ่อเอ่ยชมนู๋นุยให้ขจรฟังอยู่บ่อยๆว่านู๋นุยเป็นเด็กเรียบร้อย
แต่คนที่ชอบนู๋นุยมากๆกลับกลายเป็นพี่ทอง
พี่เลี้ยงของขจร
ถึงขนาดไม่ยอมให้ขจรรับโทรศัพท์เพื่อนผู้หญิงที่พี่ทองไม่รู้จัก
บางทีก็ทำให้ขจรหัวเสียต้องเรียกมาต่อว่าอยู่บ่อยๆเหมือนกัน...
แต่ที่ทำให้ขจรหนักใจก็เพราะที่บ้านของนู๋นุยนั่นเอง
ใช่ว่าคุณพ่อคุณแม่ของนู๋นุยจะรังเกียจรังงอนอะไรขจรก็เปล่า
เพียงแต่ท่านเห็นว่าเราสองคนยังเด็ก
(จนกระทั่ง อายุ 23-24
ท่านยังว่าเด็กเลย)
ทำให้การคบกันของขจรกับนู๋นุ่ยค่อนข้างที่จะเป็นไปอย่างยากลำบาก
บางครั้งขจรก้อต้องไปแอบจอดรถอยู่ที่หน้าปากซอยบ้านนู๋นุย
แล้วก็รอให้นู๋นุยเดินออกมาเอง
เวลาไปส่งบางทีก็ต้องปล่อยให้นู๋นุย
เดินตากแดดตากฝนเข้าไปก็มี
เพราะนู๋นุยกลัวจะถูกคุณพ่อคุณแม่ดุเอา
ยิ่งเรื่องจะกลับบ้านเกินหกโมงเย็นยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยนอกจากจะมีงานที่สำคัญ
อาจจะเป็นเลี้ยงรุ่น
หรืองานฟุตบอลประเพณี
ก็ต้องขออนุญาต
ก่อนล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ๆ
คุณพ่อคุณแม่ของนู๋นุยถึงจะอนุญาตให้นู๋นุยไป....
อาจจะเป็นเพราะความสม่ำเสมอของขจร
หรือไม่คุณพ่อคุณแม่ของนู๋นุย
ก็เห็นว่าเราสองคนโตเป็นผู้ใหญ่พอสมควรแล้ว
หลังๆท่านก็อนุญาต
ให้นู๋นุยไปเที่ยวไหนต่อไหนกับขจรได้บ้างแต่ก็ต้องกลับไม่เย็นมากนัก
บางทีก็ชวนขจรไปทานข้าวที่บ้าน
ทำขนมให้ทาน พูดคุยด้วยมากขึ้น
(ยังจำได้ว่า...ขนมเค๊กช๊อคโกแล๊ตฝีมือคุณแม่นู๋นุยอร่อยมากๆ)
ไม่ค่อยบ่นว่าขจรเวลาโทรศัพท์มาคุยกับนู๋นุยอยู่ดึกดื่นทุกๆคืน
แต่ยังไงก็ตาม
ในสายตาของคุณพ่อคุณแม่ของนู๋นุยแล้ว
เราสองคนก็ยังเป็นแค่เพื่อนสนิทกันเท่านั้นเอง.....
มีครั้งนึงที่นู๋นุยตื่นเต้นมากๆ
เมื่อคุณแม่ของนู๋นุยฝากบอกนู๋นุย
ให้ชวนขจรไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งที่อยุธยา
ซึ่งขจรจะต้องเป็นคนขับรถ
พาคุณแม่นู๋นุยกับนู๋นุยไปที่วัดด้วยตัวเอง
รีบมาซักซ้อมห้ามไม่ให้ขจร
ขับรถเสียวใส้
เพราะกลัวว่าคุณแม่เสียคะแนนนิยมในตัวขจร
ถึงวัดโดยสวัสดิภาพ
(ก็ขจรขับเร็วประมาณเต่าเดินไปเดินมาเองนิคะ)
ทำบุญรับพรกันจนเสร็จ
คุณแม่นู๋นุยก็รบกวนให้หลวงพี่ที่วัดแห่งนั้น
ดูดวงให้ขจรกับนู๋นุย
หลวงพี่ดูดวงให้นู๋นุย
แล้วก็หันมาดูให้ขจร ท่านบอกว่า
ดีทั้งสองคน ขจรเป็นเทวดา
นู๋นุยก็เป็นเทวดา
เทวดาอยู่กับใครก็ได้ยกเว้น.....เทวดาด้วยกันเอง....
............................
บทที่ 18 ..............................
ชีวิตคนเราต้องมีทั้งด้านสุข
และด้านทุกข์ปะปนกันไป
ขจรมักจะเถียงคำพูดที่เกี่ยวกับความรักแนวนี้อยู่เสมอ
ก็เพราะนู๋นุยกับขจรไม่เคยมีด้านเศร้าเลย
เราไม่เคย มีปากเสียง
ไม่เคยทะเลาะกัน
เมื่อคนไหนร้อนอีกคนก็
จะเป็นน้ำเย็นคอยปลอบประโลม
ถึงนู๋นุยจะขี้งอนอยู่บ้าง
ก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย จุกจิก
พอถึงเรื่องสำคัญจริงๆ เมื่อใด
นู๋นุยก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้เหตุใช้ผลเข้ามาตัดสินปัญหา
เราต่างค่อยๆพูดจาเมื่อมีความไม่เข้าใจเกิดขึ้นระหว่างเรา..
"ขจร พ่อมีเรื่องจะพูดด้วย
ก็แล้วแต่เราจะตัดสินใจน่ะลูก"
พ่อพูดขึ้นเย็นวันหนึ่งระหว่างทานข้าวด้วยกัน
ด้วยความมั่นใจในตัวนู๋นุย
บวกกับความรักที่มีอยู่มากมาย
ขจรจึงไม่อิดเอื้อนเมื่อพ่อให้คำแนะนำให้ขจรเดินทาง
ไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ
เพื่อประโยชน์ของตัวขจรเอง
ถึงขจรและนู๋นุยจะเสียใจมากมายแค่ไหน
ที่เราต้องห่างไกลกัน
แต่เราทั้งสองคนก้อมีสิ่งยึดเหนี่ยวหัวใจ
ของเราทั้งสองคนไว้
ความรักของเรา...
วันออกเดินทางนู๋นุยขอร้องขจรว่าไม่ขอไปส่งขจรที่สนามบิน
เพราะกลัวว่าจะอดใจร้องไห้ไม่ได้
และก็คงทำให้ขจรรู้สึกใจไม่ดีไปด้วย
ซึ่งขจรเองก็เข้าใจ
เพราะเราสองคนแทบจะไม่เคยห่างกัน
ไปไหนไกลๆเลย
แต่ยังไงก่อนออกจากบ้านเราก็คุยโทรศัพท์
และสัญญาว่าเรา
จะรักษาความรักของเราไว้เป็นอย่างดี
พี่เลี้ยงของขจรเดินมาบอกว่านู๋นุยขับรถเอาของมาฝากไว้ให้ขจร
เป็นกำไลเงินอันเล็กๆ
ห้อยจี้รูปไม้กางเขน
และกำชับอย่างหนักแน่น
ว่าให้ขจรใส่มันไว้อยู่เสมอ
เพื่อที่จะได้ระลึกถึงคนที่ให้...นู๋นุย
จดหมายไม่ต่ำกว่าสองร้อยถึงสามร้อยฉบับถูกส่งไปมาระหว่าง
ไทยและอเมริกา
ในช่วงเวลาสองปีที่ขจรมาศึกษาต่อที่นี่
เราต่างเขียนเล่าความเป็นไปในชีวิตประจำวันให้กันและกัน
ขจรจะอ้วนขึ้นหรือผอมลงแค่ไหน
(จริงๆขจรไม่อ้วนขึ้นหรือผอมลงเลยน่ะคะ)
นู๋นุยเรียนต่อที่ไหน
แล้วเพื่อนที่เรียนด้วยกันเป็นอย่างไร
ใครมีเรื่องไม่สบายใจอะไรต่างก็ถูกถ่ายทอดบอกออกมาเป็น
ตัวหนังสือให้อีกฝ่ายได้รับรู้
ช่วยกันปรึกษาแก้ไขให้เรื่องต่างๆ
ให้ผ่านไป
หรืออย่างน้อยก็ปลอบใจให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจ
เหมือนกับว่าเราสองคนไม่ได้ห่างกันเลยแม้แต่สักนิดเดียว....
............................
บทสุดท้าย ..............................
ไม่ว่าเราทั้งสองคนจะมีความรักความผูกพันที่มากมายซักเพียงใด
แต่ความห่างไกล ความเหงา
มันก็สามารถเข้ามาแทรกซึม
และก็ทำให้เกิดรอยร้าวในหัวใจของเราได้ตลอดเวลา...
ข่าวคราวเรื่องเพื่อนๆของขจรไปเจอนู๋นุยเดินเที่ยวกับผู้ชายคนอื่น
ถูกปิดไว้ระยะนึงเพราะกลัวขจรจะเสียใจ
หรือไม่ก็กลัวว่าขจรจะไม่เชื่อ
แต่ในที่สุดเพื่อนๆก็อดรนทนไม่ได้
ต้องบอกออกมาให้ขจรฟัง (ตอนนั้น
บอกเพื่อนๆกลับไปอย่างมั่นใจว่า
นู๋นุยไม่มีทางทำแบบนั้น)
"ฟังหู ไว้หู
ก็ได้ถ้าจะไม่เชื่อ
แค่ไม่อยากให้เสียใจทีหลัง"
เพื่อนขจรพูด....
ครั้งแรก...ครั้งที่สอง...ครั้งที่สาม
จนถึงครั้งที่สี่
ที่เพื่อนขจรเอาเรื่องของนู๋นุยไปกับคนอื่นมาบอกกับขจร
แต่ขจรไม่เคยถามนู๋นุยเลย
ว่านู๋นุยทำจริงหรือไม่
ไม่มีเหตุผลที่จะต้องถาม
เพราะขจรเชื่อใจในตัวนู๋นุย
และคิดว่านู๋นุยคงจะรู้ว่า
ความรักของขจรที่ให้นู๋นุยมันมากแค่ไหน
แต่ในที่สุด
ขจรก็เริ่มไม่แน่ใจเมื่อเพื่อนหลายคนมาบอกว่า
"คงไม่ใช่แค่เพื่อนแล้วละ
เพื่อนกันไม่ต้องจับมือกันเดินก็ได้มั้ง"
เพื่อนมาบอกพูดติดตลก
(ไม่ตลกเลยในความรู้สึกขณะนั้น)
แล้วปลอบใจไม่ให้ขจรคิดมาก
เพราะรู้ว่าขจรรักนู๋นุยมากเหลือเกิน
"ขจรจะเก็บความรู้สึกดีๆไว้ในใจน่ะคะ
ขอให้คนนั้นของนู๋นุยเป็นคนที่ดี"
พูดได้เพียงแค่นี้ก้อวางหูโทรศัพท์ไป
เวลานี้มองอะไรแทบจะไม่เห็น
น้ำตาจากไหนไม่รู้มาเอ่อที่เบ้าตาเต็มไปหมด
จนต้องปล่อยให้มันหยดลงมาบ้าง
จบแล้วน่ะ แปดปีที่ผ่านมา
แต่ขจรไม่เคยรู้สึกเสียดายเวลาเลย
เพราะมันเป็นเวลาที่ดี
เป็นช่วงที่เรียกได้ว่ามีความสุขมากที่สุด
ถึงตอนนี้เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ไม่ได้รักกัน
แต่สิ่งหนึ่งที่ขจร
อยากให้นู๋นุยรับรู้
ก็คือถ้านู๋นุยมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ
เรื่องทุกข์ใจ
ขจรก็พร้อมที่จะช่วยเหลือ
เป็นกำลังใจให้นู๋นุยตลอดเวลา
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
นู๋นุยก็ยังเป็นคนดีของขจรอยู่เสมอ....
มุมหนึ่งในห้องมืดๆ
มีแต่แสงจันทร์เลือนลางสาดเข้ามาทางหน้าต่าง
แค่พอดูออกว่า
มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งเหม่อลอย
ก้มหน้า
ในมือถือรูปถ่ายเคลือบพลาสติค
ใบเล็กๆใบนึง เป็นรูป
ของเด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชายในชุดนักเรียน
หน้าตาสดใสยิ้มแย้ม
เป็นรูปของเรา
ถ่ายตั้งแต่ตอนที่เรายังเป็นนักเรียน
ยังเป็นเพื่อนกัน ในรูปใบนั้น
ขจรไม่กล้านั่งใกล้กับนู๋นุยมากนักด้วยความที่ยังเขิน
จนเพื่อนที่เป็นคนถ่ายรูปให้
ต้องสั่งให้เขยิบมานั่งติดๆกัน
แต่เวลานี้
ขณะนี้รูปใบนั้นกำลังเปื้อนจากหยดน้ำ
...น้ำตาของขจร
.........................................
จบ (อย่าง ไม่) บริบูรณ์
..................................................
กลับ
หน้าหนึ่ง |