01      02      03      04      05      06      07      08      09       10       11       12       13       14       15       16      17
Peebee

ปรารถนาแห่งหัวใจ

ตอน 1 สิ่งที่ปรารถนาที่สุด

โครม!! เสียงเปิดประตูอย่างดัง ไม่มีการเคาะมาก่อน ทำให้เจ้าของห้องที่กำลังแต่งหน้าอยู่หันมามองอย่างตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ฟ้า!!! มีเงินหรือเปล่าชั้นขอยืมหน่อย” ร่างที่เดินเข้ามาหอบเหนื่อย ในอ้อมแขนอุ้มสิ่งที่ดูเหมือนเป็นคนอยู่ในเศษผ้าเก่าๆอย่างทนุถนอม ก่อนจะวางลงที่เตียงของเจ้าของห้อง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเหอะ นายฉัตร แล้วนั่นไปเอาเด็กจรจัดที่ไหนมา” หญิงสาวที่ชื่อฟ้าถามด้วยความตกใจ ก้มลงมองเด็กบนเตียงของหล่อน
“แถวสะพานลอยไม่ไกลนี่แหละ เด็กนี่เป็นไข้หนักใกล้จะตายอยู่แล้ว ชั้นสงสารก็เลยพามา” ฉัตรตอบอย่างกังวล พร้อมกับเอามืออังที่หน้าเด็กคนนั้น ตัวร้อนจี๋ยังกับไฟ
“นี่ นายจะเอาตัวเองยังไม่รอด ยังไปทำใจบุญพาเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาอีก ไม่ใช่หมาแมวนะจะได้เก็บมาเลี้ยงได้ นี่คนทั้งคน” ฟ้าพูดอย่างกังวล
“ชั้นทนปล่อยคนทั้งคนตายเฉยๆไม่ได้หรอก...ชั้นยืมเงินเธอก่อน รับรองว่าจะใช้คืนให้น่า”
“อือ ชั้นรู้ นายพาไปที่คลีนิกปากซอยแล้วกัน ชั้นรู้จักหมอที่นั่น เป็นลูกค้าที่บาร์ที่ชั้นทำงานอยู่น่ะ เผื่อยังไงจะได้ขอเขาลดบ้าง เสียแต่ค่ายาก็ยังดี”
พูดจบฉัตรก็อุ้มร่างเล็กเดินตามฟ้าไปที่คลีนิกหน้าปากซอยตามที่บอก

“ยังดีนะครับ ที่พามาทัน ผมฉีดยาให้ไปแล้ว เด็กไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควรทำให้ร่างกายอ่อนแอ ถ้าเกิดคืนนี้แกไม่ได้สติละก็ ผมว่าพาไปโรงพยาบาลจะดีกว่า แต่ถ้าดีขึ้นละก็ก็เอายานี้ให้กิน วันพรุ่งนี้เย็นค่อยมาหาผมอีกที“ หมอหนุ่มหน้าตี๋บอกกับฟ้า ฟ้ายิ้มให้หวานจ๋อยพร้อมกับบอกขอบคุณก่อนจะออกจากคลีนิกไป
คืนนั้นฉัตรไม่ได้กลับบ้านแถมฟ้าก็ต้องโทรไปลางานที่บาร์เพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับการปฐมพยาบาล ยังดีที่เด็กคนนั้นได้สติมาตอนประมาณตีหนึ่งกว่า เมื่อเด็กคนนั้นลืมตาขึ้นมองฟ้า ฟ้าร้องขึ้นอย่างตกใจ
“ฉัตรมาดูสิ เด็กนี่เป็นลูกครึ่งนี่ ตาสีเขียวด้วย...ทีแรกชั้นนึกว่าหัวแดงเพราะผมเสียซะอีก แต่ที่ไหนได้!!!”
เมื่อฉัตรตามออกมาดู เขาเองก็อึ้งไปเหมือนกัน จ้องเด็กคนนั้นสักพักทำท่าเหมือนคิดอะไร เด็กคนนั้นเองก็จ้องตอบ อ้าปากเหมือนจะพูดแต่แล้วกลับหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
“เด็กนี่มีตาสีเขียวเหมือนแอนดริวเลย” ฉัตรพึมพำออกมา ฟ้าเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ แววตาเสียใจลึกๆ
“เฮ้อ...นายฉัตรธรรม นี่นายจะอยู่ในโลกความฝันไปถึงไหน นั่นมันนายแบบชื่อดังนะ อยู่คนละโลกกับเราเลย กลับมาสู่ความจริงได้แล้ว” ฟ้าพูดพร้อมกับถอนหายใจ


วันจันที่ 3 ส.ค. วันนี้ผมจะถามพี่พบ กับพี่ฉัตร ถึงสิ่งที่พวกเขาอยากได้ที่สุด....
ลายมือโย้เย้ขีดเขียนไปในสมุดบันทึกทำเองที่เย็บจากกระดาษเปล่าจากสมุดหลายๆเล่มมารวมกัน กว่าจะเขียนได้เท่านี้ร่างเล็กก็ใช้เวลานานพอสมควร ทั้งนึกคำและพยายามเขียนสะกดให้ถูก
“อ้าว นั่นทำอะไรอยู่น่ะ แอนดริว เขียนตั้งใจใหญ่เลยนะ” เสียงห้าวๆขัดขึ้นทำลายสมาธิร่างเล็ก แถมคนร่างสูงยังละลาบละล้วงหยิบไปอ่านอีก
“พี่ภพ ทำยังงี้ได้ไง นั่นสมุดบันทึกส่วนตัวผม” ร่างเล็กพูดด้วยความฉุน พยายามจะแย่งคืนมา แต่คนตัวใหญ่ก็ชูซะสูงจนร่างเล็กเอื้อมไม่ถึง
“อะไรกัน ชั้นเป็นคนสอนนายอ่านเขียนแท้ๆ ยังจะมีความลับปิดบังคุณครูได้หรือ แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะเก่ง แล้วนี่วันจันทร์ก็เขียนผิด แล้วชื่อชั้นนายก็เขียนผิดนะ ทีชื่อเจ้าฉัตรดันเขียนถูก....ลำเอียงนี่นา” ร่างสูงพูดแกมขำ
“ไม่ได้ลำเอียงนะ แต่ชื่อพี่ภพดันเขียนยากทำไม...” ร่างเล็กตอบอายๆ หน้านวลปรากฏสีเรื่อๆขึ้นมา ดวงตาสีเขียวไม่กล้าสบตาคนตรงหน้า ร่างใหญ่พ่นลมพรืด ตอนแรกเขาเองก็โมโหฉัตรอยู่เหมือนกันที่อยู่ๆก็พาเด็กนี่มาอยู่ด้วย เขาก็ต้องวิ่งเต้นเดินเรื่องทำสูจิบัตรใบเกิดให้เด็กคนนี้อยู่นาน เพราะเด็กคนนี้ไม่มีประวัติอะไรสักอย่าง เพียงแต่หน้าตาเป็นลูกครึ่งเท่านั้นเอง ตะล่อมถามเด็กก็ได้ความว่าหนีออกมาจากบ้านเด็กกำพร้ามาสองปีแล้ว อาศัยอยู่กับเด็กจรจัดใต้ทางด่วนในสลัม แต่ก็ไม่รู้อีกว่าอยู่แถวไหน แล้วก็เข้ากับพวกเด็กจรจัดด้วยกันเองไม่ได้เพราะหน้าตาประหลาดกว่าเค้า ภพธรคิดว่าถ้าปล่อยเด็กคนนี้ต่อไปก็คงกลับไปอยู่เหมือนเดิม คิดไปเขาก็สงสาร ไหนๆฉัตรมันก็สงเคราะห์ช่วยมาแล้วก็ขอช่วยให้ได้ดีเลยก็แล้วกัน เพียงแต่ว่าเขาเองก็ไม่มีเงินมากขนาดส่งเสียไปโรงเรียนดีๆได้ จึงได้แต่ส่งไปเรียนโรงเรียนวัดแถวบ้านที่วันๆก็ไม่ได้สอนอะไรมากมายนัก จนบางทีตัวเขาเองจึงต้องมานั่งสอนนั่งตรวจการบ้านให้ ยังดีที่แอนดริวเป็นเด็กหัวดี รับรู้ไวทำให้การสอนไม่น่าเบื่อนัก
“เออ เออ ชื่อชั้นมันเขียนยากกว่าชื่อไอ้ฉัตรมัน....แล้วนี่อยากจะรู้จริงๆหรือเปล่าจากที่เขียนน่ะ” ร่างใหญ่ที่ชื่อภพถามต่อ
ร่างเล็กเหมือนพึ่งนึกได้ว่าเขียนอะไรลงไปในสมุดบันทึกบ้าง เงยหน้ามองพี่ภพคุณครูของเขา “แล้วพี่จะบอกผมหรือเปล่าล่ะ สิ่งที่พี่ภพอยากได้ที่สุดคืออะไร”
“แล้วนายจะอยากรู้ไปทำไม.......” พี่ภพถามต่อ
“เผื่อในวันข้างหน้าผมจะทำความปรารถนาของพวกพี่ให้เป็นจริงสักวัน.....” ร่างเล็กพูดจริงจัง ร่างใหญ่หัวเราะจนน้ำตาเล็ด จนร่างเล็กโมโห พูดเคืองๆ “ไม่ใช่เรื่องตลกนะ...พี่ภพ”
“โทษที ชั้นมันอดขำไม่ได้น่ะ....นายมันเพิ่งแปดขวบแท้...กว่านายจะโตจนตอบแทนพวกชั้นได้น่ะ พวกชั้นไม่แก่ตายเสียก่อนเรอะ ชั้นน่ะจะขึ้นเลขสามแล้วนะ” พี่ภพพูดยิ้มๆ ร่างเล็กหน้าม่อยลงไป จนภพต้องเข้าไปปลอบ
“เฮ้อ...เอาน่า นายก็คงจะพอเดาได้อยู่แล้วว่าพวกชั้นสองคนอยากได้อะไรที่สุด สำหรับชั้นคงไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องงานวิจัย ส่วนเจ้าฉัตรก็คง........”


The pandragon แกลอรี่ไม่เล็กไม่ใหญ่แห่งหนึ่งใจกลางเมืองติดถนนใหญ่ บนถนนรอบข้างเสียงยวดยานพาหนะดังกระหึ่มพร้อมฝุ่นคลุ้งตามถนน อากาศร้อนอบอ้าว รูปสวยๆที่ติดหลังกระจกโชว์ดึงความสนใจของคนตามถนนให้หันมามองพักสายตาได้บ้าง
“ขอบคุณครับ พี่ชม ที่อุตส่าห์เรียกผมมา” ร่างสูงผมยาวมัดไว้ลวกๆในเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ตัวเก่งพูดขอบคุณ ร่างอ้วนของชายวัยกลางคนที่นั่งบนโซฟาตรงข้าม
“เอาน่า เอาน่า นายฉัตร คนกันเอง ชั้นขายงานนายได้เรียกมาเอาเงินก็ถูกแล้วนี่นา” พูดจบก็หยิบเช็คใส่ซองส่งให้ ฉัตรรับมาอย่างยินดี
พี่ชม หนุ่มใหญ่เจ้าของแกลอรี่ผู้นี้ รับงานวาดภาพของศิลปินชื่อดัง หรือนักเรียนที่ทำงานด้านศิลปะมาขาย ถึงแม้จะหักค่านายหน้าสูงสักหน่อย แต่ก็เป็นคนที่เชื่อถือได้พอสมควร
“แล้วเมื่อไหร่จะวาดภาพมาส่งพี่อีก..ฉัตร” พี่ชมถามฉัตรที่กำลังยิ้มแฉ่ง
“ก็คงจะเดือนหน้าแหละครับ ตอนนี้ผมก็เขียนๆอยู่” ฉัตรตอบอารมณ์ดี แต่พี่ชมกลับถอนหายใจ
“นี่ ฉัตรไม่ลองเปลี่ยนแนวเขียนบ้างเหรอ เห็นเขียนแต่ภาพแอบสแตรก หันมาลองเขียนภาพเหมือนหรือภาพวิวดูบ้างไหม ฝีมือฉัตรก็ดี” ชมลองพูดหยั่งเชิงดู
“ไม่เอาหรอกครับพี่ ผมชอบของผมแบบนี้ ที่ผมทำงานด้านนี้ก็เพราะอยากเป็นศิลปิน ผมไม่อยากเขียนอะไรที่ไม่อยากเขียนครับ” ฉัตรตอบปฏิเสธอย่างสุภาพ
“เฮ้อ ที่พี่พูดนี่ไม่ได้หมายถึงให้ฉัตรเปลี่ยนแนวไปเลย แต่ภาพแอ็บสแตร็กน่ะ มันขายยาก ฉัตรเองก็ไม่ได้โด่งดังเข้าขันศิลปินใหญ่ แล้วเศรษฐกิจช่วงนี้มันก็ฝืดเคืองน่ะ สองสามเดือนฉัตรถึงขายภาพได้ภาพหนึ่ง แล้วอย่างนี้จะเอาอะไรกิน พี่เลยลองถามดู พี่มีลูกค้าหลายคนที่อยากได้ภาพวิวสวยๆไปประดับบ้านหรือห้องทำงาน ส่วนใหญ่บางทีเป็นพวกนักธุรกิจที่ถือหลักฮวงจุ้ย อยากให้ห้องทำงานมีภาพน้ำภาพภูเขาหรือพระอาทิตย์อะไรทำนองนี้ การงานจะได้เจริญ...” พี่ชมพูดต่อ ฉัตรได้แต่ส่ายหน้า
“โห พี่ แบบนั้นผมยิ่งไม่ค่อยอยากเขียนใหญ่ คนพวกนั้นไม่ได้รักศิลปะจริงๆนี่นา แค่ถือโชคลาง แต่ถ้าเป็นพวกภาพเหมือนหรือภาพพอทเทรต ผมอาจจะรับก็ได้ แต่ผมถือหลักไม่วาดจากรูปถ่ายนะครับ ผมวาดจากของจริง” ฉัตรพูดต่อ ตอนแรกพี่ชมก็ยิ้มเมื่อได้ยินฉัตรว่าจะวาดภาพเหมือน แต่พอฟังประโยคต่อไปยิ้มก็หุบ แหงล่ะ คนที่มาจ้างวาดที่ไหนจะมีเวลามานั่งเป็นแบบให้วาดเล่า ส่วนใหญ่ก็วาดจากรูปถ่ายทั้งนั้น แล้วก็มักจะบอกให้วาดสวยหล่อกว่าตัวจริงด้วย
“เอาเถอะ...ถ้ามีงานอย่างว่ามาแล้วพี่จะติดต่อฉัตรไปก็แล้วกันน่ะ เดี๋ยวพี่มีนัดกับคนอื่นต่อ ขอบใจมากสำหรับวันนี้”
ฉัตรก้มหัวให้พี่ชมแล้วหันเดินออกไปจากแกลอรี่
“เฮ้อ...นี่แหละน้าเด็กสมัยใหม่ ศิลปินไส้แห้ง ทิฐิแรง อยากทำงานเพื่อฝัน...แล้วของพวกนี้มันกินได้ซะทีไหนเล่า” พี่ชมได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ

ฉัตรธรรม หรือฉัตร เป็นหนุ่มศิลปินไฟแรง เขาเองเรียนจบจากมหาวิทยาลัยทางด้านศิลปะมาประมาณสองสามปีแล้ว ปัจจุบันเขียนภาพส่งแกลอรี่ The pandragon ของพี่ชมอยู่ ภาพบางภาพของเขาก็ขายได้เร็ว บางภาพต้องรอสามสี่เดือนถึงขายได้ บางเดือนก็แทบไม่มีจะกิน ยังดีที่เขาอาศัยอยู่กับภพธร น้องชายของบิดาที่อายุไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่ จึงได้อาศัยมีที่หลับที่นอนหลังจากที่บิดามารดาของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
“นายซื้อโปสเตอร์มาอีกแล้วเหรอ ฉัตร” ภพธรเอ่ยถามหลานชายหลังจากเห็นรูปโปสเตอร์นายแบบที่ฉัตรธรรมซื้อมา
“เอาน่าพี่...ผมชอบของผมนี่ แล้วมันก็ไม่ได้แพงเท่าไหร่” ฉัตรตอบ
“ชั้นรู้น่า ว่ามันไม่แพง แต่ว่ามันรกบ้าน รู้ไหม” ภพทำท่าระอา “แล้วนายก็ซื้อแต่โปสเตอร์ของแอนดริวนี่แหละ โปสเตอร์นางแบบสวยๆ หรือปฏิทินแม่โขงก็มี ไม่เห็นซื้อบ้าง เพื่อนชั้นมาที่บ้านมีหวังได้คิดว่าชั้นเป็นเกย์แน่ๆ” ภพธรถอนหายใจ
“นี่ จะถามว่าผมเป็นเกย์หรือเปล่าก็บอกมาเถอะ...ผมปรกติน่า แค่ผมชอบของสวยงามผิดตรงไหน แล้วอีกอย่างพี่ก็ไม่เห็นมีเพื่อนมาที่บ้านสักคน เห็นเอาแต่หมกอยู่ในห้องทดลองอย่างเดียว” ฉัตรธรรมย้อนกลับไปบ้าง
บ้านหลังนี้เป็นบ้านของภพธร เป็นทาวเฮาส์สามชั้นขนาดกลางที่เขาซื้อจากเงินมรดก พี่ชายของเขาหรืออีกนัยหนึ่งคือพ่อของฉัตรธรรมถูกตัดออกจากกองมรดกเนื่องจากไปแต่งงานกับผู้หญิงที่บิดาไม่ชอบ พอเมื่อพ่อตาย พ่อก็ยกมรดกทั้งหมดให้เขากับพี่สาวแค่สองคน บิดาของฉัตรธรรมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะตอนนั้นเขาเองก็มีงานทำและก็มีครอบครัวที่น่ารัก แต่เพราะเคราะห์กรรมหรืออะไรก็ไม่ทราบ หลังจากนั้นไม่กี่ปีพี่ชายกับภรรยาก็เสียชีวิต ทิ้งหลานชายอายุยี่สิบปีที่กำลังเรียนมหาลัยไว้หนึ่งคน บ้านที่ต้องผ่อนก็ถูกยึดคืน ภพธรจึงตัดสินใจส่งเสียฉัตรธรรมเรียนต่อ พร้อมกับชวนให้มาอยู่ด้วยกันที่ทาวเฮาส์ของเขา เนื่องจากภพธรเป็นนักวิทยาศาสตร์นักประดิษฐ์ ชั้นบนของบ้าน ภพธรดัดแปลงเป็นห้องทดลองทั้งชั้น ดังนั้นจึงเหลือแค่เพียงสองชั้นที่สามารถใช้งานได้เต็มที่ ฉัตรธรรมเองก็เรียนด้านศิลปะ ต้องการเนื้อที่ในการเขียนภาพเช่นเดียวกัน บ้านจึงดูเล็กไปถนัดตา แล้วยิ่งอยู่ๆ ฉัตรธรรมไปเก็บเด็กฝรั่งข้างรั้วที่ไหนมาเลี้ยงอีก บ้านเลยยิ่งแคบเข้าไปใหญ่
“เออ ชั้นมันคนไม่ค่อยมีใครคบ ยังดีนายยังมีแฟนกับเขา ไม่งั้นต่อให้ปฏิเสธแทบตายชั้นก็คิดว่านายเป็นเกย์” ภพธรตอบ
“ฟ้าไม่ใช่แฟนผมสักหน่อย เป็นเพื่อนสนิทต่างหากเล่า” ฉัตรธรรมเถียง เมื่อนึกถึงคนที่ภพธรบอกว่าเป็นแฟน ฟ้าหรือดุจนภาเป็นหญิงสาวมาจากต่างจังหวัดที่เรียนชั้นมัธยมปลายมาด้วยกัน เธอไม่ได้เรียนมหาลัยต่อเพราะต้องทำงานส่งเงินที่บ้าน ห้องเช่าของเธอไม่ไกลจากบ้านของภพธรเท่าไหร่ ทำให้ไปมาหาสู่กันบ่อย ภพธรเองจึงสนิทกับเธอไปด้วย
“งั้นนายก็เป็นเกย์สิ...วันๆเอาแต่มองรูปนายแบบผู้ชายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ได้ ถึงจะสวยยังไงก็เถอะ แต่นั่นมันผู้ชายนะเฟ้ย” ภพธรพูดต่อ
“พี่ก็รู้ ผมชอบก็เหมือนกับชอบดาราแหละน่า ไม่มีอะไรมาก ผมเองก็แค่อยากวาดรูปแอนดริวตัวจริงๆสักครั้งเท่านั้นเอง” ฉัตรธรรมพูดความฝันเขาออกมา
“เออ ยังไงก็อย่ามัวแต่คิดถึงแอนดริวนายแบบมันมากกว่าเจ้าแอนดริวตัวเล็กที่นายเก็บมาก็แล้วกัน” ภพธรพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนเดินออกจากห้องไป
 
 

แนะนำติชมได้ที่บอร์ดนิยายนะคะ ...............................
1