|
คู่รสตำรับรัก
ตอนที่ 4
เพราะความคิดประหลาดที่แล่นเข้ามาให้หัวผม
ทำให้ผมสังเกตบิลลี่กับเก่งมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว บิลลี่นั้นเป็นเด็กฝรั่งหน้าตาดี
อายุสิบเก้า สูงประมาณ 185 เซน. ผมสีทองตาสีฟ้า ไว้ผมประบ่า เรียกว่าหล่อครบสูตรเลยทีเดียว
แถมยังมนุษยสัมพันธ์ดี ส่วนเก่งนั้นเตี้ยกว่าบิลลี่ประมาณ 7 เซนได้
สูงพอๆกับผม รูปร่างค่อนข้างผอม ผมสั้น ตาโตถ้าเทียบกับหนุ่มเชื้อสายจีนทั่วๆไป
ผิวค่อนข้างขาว อาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยได้เจอแดดร้อนแบบเมืองไทยมาก
ส่วนเรื่องหน้าตาก็เข้าข่าย "น่ารัก" ทีเดียว ถึงแม้จะเป็นผู้ชายก็เถอะ
พอสองคนนี่เดินด้วยกันทีไร ก็ทำให้ผมอดคิดเรื่องความรักต้องห้ามไม่ได้สักที
"คุณพงศ์คร้าบ
มาเล่นน้ำกานดีกว่า"
เสียงบิลลี่ตะโกนแว่วมาจากชายหาด
ผมมองตามเสียงก็เห็นบิลลี่กับเก่งเดินลุยน้ำลงไปครึ่งค่อนตัวแล้ว
บิลลี่ท่าทางตื่นเต้นมากกับร้านค้าริมหาดที่ตั้งเป็นเพิงอยู่สองฟากถนน
ผู้คนค่อนข้างหนาแน่น เพราะเป็นหาดที่ค่อนข้างมีชื่อของจังหวัดระยอง
"ทาครีมกันแดดรึยังนะ แดดร้อนนะ"
ผมชูขวดครีมพร้อมเดินเข้าไปหาบิลลี่ ถึงแม้ตอนนี้ไม่ค่อยมีแดด แต่ก็เป็นตอนกลางวัน
ถ้าเผลอชะล่าใจเดินเพลินๆ ตกเย็นอาจจะแสบร้อนไปทั้งตัวก็ได้
"พ้มทาแล้วค้าบ
เจ้าซันนี่มันทาให้
แล้วคุณพงศ์ละค้าบ จะทาหรือเปล่า ผมจะทาที่หลังให้" บิลลี่พูดพร้อมยิ้มตาเป็นประกาย
ทำให้ผมเริ่มชักไม่ไว้ใจมันซะแล้วสิ ผมเลยอ้ำๆอึ้งๆอยู่ แอบชำเลืองมองไปทางเก่งหลายครั้ง
"พี่เอามานี่ ผมทาให้ดีกว่า"
เสียงห้วนๆของเก่งดังขึ้น ทำให้ผมรู้สึกโล่งอก
"ที่จริงทาตอนนี้มันจะได้ประโยชน์อะไร
เค้าต้องทาก่อนลงน้ำยี่สิบนาที พี่รู้รึเปล่า" เก่งทาครีมให้ผมแต่ไม่ได้ทาเปล่า
ทาไปก็บ่นไป จนผมรำคาญ
"เอาเถอะ ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทา พี่ขี้เกียจเล่นน้ำแล้วเดี๋ยวไปนั่งรอที่เก้าอี้ผ้าใบตรงที่เดิมแล้วกัน"
ผมหันมาดึงครีมกันแดดออกจากมือเก่งแล้วเดินออกไป
สรุปว่าวันนี้ทั้งวันที่แหลมแม่พิมพ์ผมไม่ได้ลงน้ำ
แค่นั่งๆนอนๆอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบแล้วก็สั่งอาหารทะเลมากินเล็กน้อยเท่านั้นเอง
..
ผมขับรถกลับมาถึงบ้านของน้าจรัลในช่วงเย็น
เก่งกับบิลลี่เดินขึ้นไปเก็บของบนห้องชั้นบนของร้านอาหาร ส่วนผมเดิมมองหาพ่ออยู่
สักพักพอเดินมาพบกับน้าจรัล น้าจรัลบอกกับผมว่า
" เจ้าปวินท์มันขอตัวกลับไปก่อนน่ะ
เห็นว่ามีธุระเรื่องงาน เมื่อกี้น้าเพิ่งจะออกไปส่งที่ท่ารถมาเอง"
น้าจรัลเป็นเพื่อนเรียนมหาลัยรุ่นเดียวกับพ่อผมแล้วก็พ่อของเก่ง
หลังจากเรียนจบน้าจรัลก็มาช่วยงานที่บ้าน ต่อมาก็เปิดร้านอาหารเอง
ชื่อร้าน "อิ่มสบาย" เป็นร้านอาหารที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงทีเดียวในจังหวัดระยอง
ส่วนตัวน้าจรัลคงเพราะเปิดร้านอาหารนี่เองก็เลยออกจะ 'สมบูรณ์' กว่าคนอื่นไปหน่อย
น้าจรัลยิ้มแก้มกระเพื่อม
ผมถอนหายใจ พ่อของผมนี่หายใจเข้าออกเป็นเรื่องงานได้ทุกทีสิน่า
น้าจรัลคงจะเห็นท่าทางซึมๆของผมก็เลยเดิมเข้ามาตบไหล่พูดขึ้นว่า
"ไม่ต้องซึมไปหรอกน่า เจ้าพงศ์ เที่ยวกันตามประสาคนหนุ่มสนุกกว่าเป็นไหนๆ
ไม่มีใครไปคอยบ่น ลองไปค้างเกาะเสม็ดสักสองสามวันดูสิ วิวสวย บรรยากาศก็ดี
จะไปดูประการังก็ได้นะ หรือว่าถ้าไม่อยากไปไกลก็ไปใกล้ ๆ ที่อนุสาวรีย์สุนทรภู่หรือไม่ก็สวนสนก็ได้"
ผมฟังน้าจรัลเล่าไปเรื่อย แต่ไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก
พอเริ่มพลบค่ำ ร้านอาหารของน้าจรัลก็เริ่มมีลูกค้าทยอยเข้ามาไม่ขาดสาย
ผม เก่ง แล้วก็บิลลี่ก็เลยต้องลงมาช่วยงาน เก่งกับบิลลี่รับหน้าที่บริกรจำเป็นไป
ส่วนผมก็ไปช่วยพ่อครัวแม่ครัวทำงานด้านหลัง
"เห็นเจ้าปวินท์โฆษณาไว้เยอะ บอกว่าพงษ์ทำอาหารเก่งมาก
อยู่เป็นลูกมือช่วยบุญถึงด้านหลังแล้วกันนะ ไว้ถ้าทำไม่ทันพงษ์ก็ทำพวกกับข้าวง่ายๆแทนไปเลยก็ได้
แต่จานหลักก็ให้บุญถึงเขาทำ"
ผมรับคำแล้วก็หันไปมองน้าจรัลสอนเก่งกับบิลลี่ให้ต้อนรับแขก
ให้จำรายชื่ออาหารจานหลัก ให้ลองจดรายชื่ออาหาร ให้จำเบอร์โต๊ะ อะไรอีกมากมาย
จนผมรู้สึกว่าโชคดีแล้วที่ได้ทำงานในครัว
น้าบุญถึงเป็นพ่อครัวใหญ่ของร้าน อายุประมาณสามสิบห้า
เป็นคนค่อนข้างเงียบขรึม พูดน้อย ตัวค่อนข้างเตี้ย จะเป็นคนรับรายการอาหารแล้วแบ่งหน้าที่ให้พ่อครัวคนอื่นไปทำต่อ
อาหารจานหลักที่คนสั่งบ่อยๆ ก็จะทำเตรียมเอาไว้ก่อน ผมเป็นเด็กใหม่ก็ได้แต่เตรียมเครื่องปรุง
ส่งจาน แล้วก็จัดเรียงให้สวยๆ
" นี่เจ้าเด็กนั่นน่ะ ถนัดทำอาหารอะไร"
น้าบุญถึงกอดอกหรี่ตามองผม "เป็นญาติคุณอ้วนเหรอ" คุณอ้วนที่คุณบุญถึงว่าก็คือ
น้าจรัลนั่นเอง
"อ๋อ ไม่ใช่ครับ พ่อผมกับคุณจรัลเป็นเพื่อนกัน
ผมแค่มาเที่ยวกับเพื่อนที่ระยองประมาณอาทิตย์นึงนะครับ"
"ทำยำได้หรือเปล่า ลองทำให้พี่ชิมหน่อย
ถ้าฝีมือดีจะได้ให้ลองทำก่อน ไปทำเตาตรงนั้นก็ได้" น้าบุญถึงชี้ไปที่เตาริมของแถว
ผมเดินไปหยิบเครื่องทำยำ ออกจะเงอะงะพอสมควร
เพราะแปลกถิ่นแล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรอยู่ที่ไหน
เสียงต้อนรับแขกดังไปทั่ว ขณะที่บริกรต่างก็พาแขกของตนไปที่ที่นั่ง
ร้านอิ่มอร่อยจะแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วนที่เป็นห้องปรับอากาศกับส่วนภายนอกที่อยู่ติดทะเล
ลมค่อนข้างพัดแรง แต่สามารถชมวิวได้ บิลลี่กับเก่งจะรับหน้าที่บริการลูกค้าต่างชาติโดยเฉพาะ
โดยเฉพาะบิลลี่ ค่อนข้างเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าสาวๆไม่ใช่น้อย
"อ๋อ ผมแค่มาช่วยงานสองสามวันครับ
ปิดเทอมมาเที่ยว ไม่ได้ทำประจำ" เป็นคำพูดที่บิลลี่กับเก่งต้องตอบคำถามของลูกค้าเสมอ
พอใกล้เวลาร้านจะปิดห้าทุ่ม ลูกค้าเริ่มทยอยกลับกันหมดแล้ว
พนักงานของร้านก็เริ่มทำความสะอาด เช็ดโต๊ะ เก็บเก้าอี้บางส่วน เก่งเดินเข้าไปหาผมที่ห้องครัว
"พี่มีอะไรเหลือให้ผมกินบ้างรึเปล่าครับ
หิวจัง"
ผมมองไปรอบๆ ดูเครื่องปรุงที่เหลือ ก็หันมาบอกเก่งว่า
"มีนะ เยอะเลย เดี๋ยวพี่ขอน้าบุญถึงก่อน"
ซึ่งน้าบุญถึงก็ไม่ได้ว่าอะไร อนุญาตให้ทำเต็มที่ ผมเลยทำผัดผักง่ายๆ
ไข่เจียวปู แล้วก็ทอดมันกุ้ง
"อ้าว แล้วบิลลี่ละ หิวรึเปล่า ชวนมากินด้วยสิ"
ผมถามถึง
"ท่าทางพี่จะเป็นห่วงบิลลี่มันเหลือเกินนะ
ผมว่าไม่ต้องไปห่วงมันหรอก โน่น คุยกับแขกอยู่โต๊ะตรงโน้นน่ะ"
เก่งพูดพร้อมกับเบือนสายตาไปมองทางบิลลี่
ผมมองตามไปก็เห็นบิลลี่กำลังนั่งคุยกับแขกชาวต่างชาติสองคนอย่างออกรส
อาหารกินเสร็จไปนานแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมลุกไปไหน
"คนประเภทเดียวกันก็อย่างนี้แหละ
คุยกันถูกคอ" เก่งพูดประชด จนผมชักงงๆ คงจะหมายถึงคนชาติเดียวกันละมั้ง
ผมยกกับข้าวออกไปวางบนโต๊ะข้างนอก เก่งตักข้าวแล้วก็นั่งลงกิน
ไม่สนใจบิลลี่เลย แต่บิลลี่กลับเป็นฝ่ายเรียก
"เฮ้ ซันนี่ มาทางนี้หน่อยสิ จะแนะนำคนให้รู้จัก"
เก่งลุกขึ้นเดินเข้าไปหาบิลลี่อย่างเสียไม่ได้ ส่วนผมก็ได้แต่นั่งกินข้าวต่อไปช้าๆ
จนกระทั่งผมรู้สึกตัวว่ามีคนจ้องอยู่นั่นแหละ ถึงเงยหน้าขึ้นไปมอง
ก็เห็นว่าฝรั่งอีกคนที่นั่งโต๊ะเดียวกับบิลลี่กำลังมองผมอยู่ พอผมสบตากับเขา
เขาก็ยิ้มให้ ผมก็ได้แต่ยิ้มตอบไป แล้วก็หันกลับไปกินข้าวต่อ
หลังจากคุยกันอีกสักพัก ถึงเวลาปิดร้าน
บิลลี่กับเก่งก็พาฝรั่งสองคนนั่นเข้ามาคุยกับผม
"คุณพงศ์ค้าบ พ้มจะแนะนำให้รู้จักกับ
สตีเวน แล้วก็ หลุยส์ เค้าสองคนมาเที่ยวเมืองทายครั้งแรก เหนว่าพรุ่งนี้เค้าอยากจาไปเกาะเสม็ดกับพวกเราด้วยนาค้าบ"
((ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณพงศ์)) สตีเวนยกมือขึ้นมาจับมือกับผม
เขาก็คือฝรั่งที่ยิ้มให้ผมเมื่อกี้
หลังจากสตีเวนจับมือกับผมเขาก็หันไปคุยกับบิลลี่
แต่พูดค่อนข้างเร็วจนผมฟังไม่รู้เรื่อง แต่บิลลี่กับเก่งหน้าเปลี่ยนสี
แล้วบิลลี่ก็พูดว่า โน โน โน หลายครั้ง
แล้วคืนนั้นก่อนนอนผมรู้สึกว่าได้ยินเสียงเก่งกับบิลลี่เถียงกัน
ไม่รู้ว่าเถียงกันเรื่องอะไร แต่ฟังจากเสียงก็ค่อนข้างรุนแรงน่าดู
ผมฟังไม่ค่อยเข้าใจเพราะสองคนนั่นเถียงกันเป็นภาษาอังกฤษ
เช้าวันถัดมาอากาศแจ่มใส ลมพัดเอากลิ่นของน้ำทะเลเข้ามา
ผมเตรียมสัมภาระที่จะเอาไปเที่ยวที่เกาะเสม็ดไว้เรียบร้อยแล้ว น้าจรัลจะเป็นคนขับรถพาพวกเราไปส่งที่ท่าเรือบ้านเพ
นั่งรออยู่สักพักก็เห็นบิลลี่กับเก่งเดินลงมา ผมก็สังเกตเห็นความเงียบระหว่างสองคนนั้นได้
"เอ้า เตรียมของกันเรียบร้อยแล้วนะ
เดี๋ยวน้าไปส่งที่ท่าเรือ แถวนั้นของค้าของขายแยะ ไปดูอะไรกันก่อนก็ได้
หิวก็หาอะไรแถวนั้นทาน" น้าจรัลบอกกับพวกเราสามคน แล้วก็เดินไปสตาร์ทรถกระบะคันเก่ง
พวกเรามาถึงบ้านเพประมาณสิบโมงกว่าๆ แถวนั้นมีของขายมากมาย
นักท่องเที่ยวก็เยอะ ผมพาบิลลี่กับเก่งไปเดินซื้อผลไม้ แต่รู้สึกกร่อยๆเพราะสองคนนั้นไม่ยอมพูดจากัน
"Hello" เสียงตะโกนดังมาจากอีกฟากของร้านค้า
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นสตีเวนกับหลุยส์ ฝรั่งที่รู้จักกันเมื่อคืนเดินเข้ามาทัก
บิลลี่หน้าเจื่อนไปนิดหนึ่งแต่ไม่มีใครสังเกต หลุยส์ดีใจมากที่พบกับบิลลี่เข้าไปกอดทักทาย
ผมมองไปทางเก่งก็เห็นไม่ทำไม่สนใจเหมือนเดิม แต่สีหน้าเปลี่ยนไปเหมือนอารมณ์เสียยิ่งขึ้น
ผมเลยได้แต่ถอนหายใจ
"สตีเวนกับหลุยส์เขาก้อจาไปเรือเที่ยวเดียวกาบพวกราวด้วยนาค้าบ
คุณพงศ์" บิลลี่บอกกับผม
ผมยิ้มแล้วก็พูดเชิญตามระเบียบ
((พวกคุณพักกันที่ไหนเหรอครับ)) สตีเวนถามผม
ผมกำลังอ้ำๆอึ้งๆอยู่ เก่งก็พูดแทรกขึ้นมา
((ก็พักบนเกาะนั่นแหละ อยากรู้ไปทำไม))
เก่งตอบแบบตัดไมตรี แต่สตีเวนก็เหมือนไม่รู้สึกยังพูดต่อว่า
((ผมพักที่อ่าวไผ่นะครับ ที่จริงผมมีโครงการจะไปวันมะรืนนี้
แต่เมื่อคืนคุยกับบิลลีแล้วถูกคอผมก็เลยเลื่อนให้ไปพร้อมกับพวกคุณ
เพื่อนผมเคยพักแล้วบอกว่าดี วิวสวยมาก)) สตีเวนบอกพร้อมกับหันมาคุยทางผม
((จริงๆคุณก็เที่ยวของคุณไป ไม่เห็นต้องตามเราเลยนี่))
เก่งพูดขัดขึ้นมา
(( อ๋อ พวกเราไม่ได้จองบังกาโลครับ กะจะไปกางเต็นท์นอน
ผมเอาเต็นท์มาด้วย)) บิลลี่พูดแทรกเก่งเข้ามา เขายกมือทำท่าเหมือนขอโทษพวกสตีเวนกับหลุยส์
หลังจากนั้นพวกเราสี่คนก็นั่งเรือจากท่าไปที่เกาะเสม็ด
เรือจอดเทียบท่าที่อ่าววงเดือนซึ่งเป็นอ่าวที่ค่อนข้างเจริญ มีร้านค้า
ที่พักเต็มไปหมด หลังจากนั้นพวกเราก็เดินเท้าไปหาทำเลเหมาะที่จะตั้งเต็นท์นอน
โชคดีที่ช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงท่องเที่ยวเท่าไหร่ เลยยังมีคนไม่ค่อยมาก
สตีเวนเสนอให้พวกผมตั้งเต็นท์ใกล้ๆกับที่พักของพวกเขา ซึ่งผมก็เห็นว่าไม่มีปัญหาเพราะจะได้มีเพื่อนคุยมากๆ
เที่ยวหลายๆคนถึงจะสนุกก็เลยไม่ได้ค้านอะไร พวกเราจึงออกเดินไปที่อ่าวไผ่
ผมสังเกตเห็นเก่งเดินรั้งท้ายจึงเดินเข้าไปหา
พอเดินเข้าไปผมก็ได้ยินเสียงเก่งพูดขึ้นมาซึ่งเป็นประโยคแรกตั้งแต่ที่มาถึงเกาะ
"พี่พงศ์ พี่ระวังตัวหน่อยแล้วกันนะ"
ผมไม่ค่อยเข้าใจที่เก่งพูดเท่าไหร่ อยู่ๆมาบอกให้ระวังตัว
ธรรมดาผมก็ค่อนข้างเป็นคนรอบคอบอยู่แล้ว
"อืม พี่แข็งแรงอยู่แล้ว ไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก
สุขภาพพี่ก็ดี" ผมตอบอย่างที่ผมเข้าใจ
เก่งถอนหายใจ
"ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น เฮ้อ
ที่จริงเมื่อวานผมไม่เข้าไปขอข้าวพี่กินคงจะดีกว่า พี่จะได้ไม่ต้องออกจากครัว"
ยิ่งเก่งพูดยิ่งทำให้ผมงง
|
|
|