|
คู่รสตำรับรัก
ตอนที่ 5
ผมขำกับอาการเก้ๆกังๆของบิลลี่ขณะที่กางเต็นท์
ท่าทางเต็นท์นี่บิลลี่คงจะเพิ่งซื้อมาแน่ๆเพราะเขาเหมือนคนไม่เคยกางทั้งๆที่มันเป็นเต็นท์โดมกางค่อนข้างง่าย
ผมเลยเข้าไปช่วยบิลลี่กาง พอกางเสร็จบิลลี่ก็ชมผมใหญ่
"คุณพงศ์เก่งจางเลยคร้าบ ทำด้ายทุกอย่างเลย
สงสัยจาไปเที่ยวบ่อย" บิลลี่พูดติดตลก
"อ๋อ พี่ไปค่ายอาสากับทางมหาลัยบ่อยนะ
สร้างห้องเรียนสร้างห้องน้ำให้เด็กต่างจังหวัด
ไม่ได้ไปเที่ยวหรอก" ผมให้เหตุผลไป บิลลี่พยักหน้ารับรู้
ผมหันไปตอกสมอบกลงพื้นเพื่อไม่ให้เต็นท์ปลิวเพราะริมทะเลลมจะแรง
ผมค่อนข้างประทับใจกับการมาทะเลครั้งนี้พอสมควร เพราะวิวสวยแล้วก็เงียบสงบดี
แถมได้พักผ่อนสบายๆ อ่าวไผ่นี่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติค่อนข้างมาก
มองไปทางไหนก็เห็นแต่ฝรั่งกว่าพวกเราจะจัดข้างของกันเรียบร้อยก็เกือบเย็นแล้ว
ทุกคนเลยตัดสินใจจะไปชมพระอาทิตย์ตกที่อ่าวพร้าว เพราะถามคนแถวนี้แล้วบอกว่าสวยมาก
คนนิยมไปกัน
สตีเวนเดินเข้ามาโอบไหล่ผมพร้อมชวนคุย
ที่จริงผมก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะคิดว่าคงเป็นนิสัยฝรั่ง
เพราะเห็นบิลลี่กับหลุยส์ก็เดินโอบไหล่กันอยู่
พอคิดถึงตอนนี้ผมก็นึกถึงเก่ง เก่งทำตัวเงียบซะจนผมนึกว่าไม่ได้มาด้วย
บิลลี่ก็ทำเป็นไม่สนใจเก่งหันไปคุยกับหลุยส์แทน ส่วนสตีเวนก็มาคุยกับผม
เหลือเก่งอยู่คนเดียว แถมเดินรั้งท้ายอีก พอถึงตอนนี้ผมเริ่มสงสารเก่ง
"เก่ง ทำไมเงียบจังไม่คุยเลย เดินช้าด้วย
มาเดินด้วยกันดีกว่า"
ผมยืนมือไปให้เก่งขณะปีนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง
ผมดึงมือเก่งขึ้นมา รู้สึกว่าค่อนข้างนิ่มทั้งๆที่เป็นมือผู้ชายแท้ๆ
พูดถึงหน้าตาเจ้าเก่งก็หน้าตาน่ารักกว่าผม
อาจจะเป็นเพราะยังเด็ก อายุแค่สิบเจ็ดร่างกายยังโตไม่เต็มที่ หน้าตาก็เลยยังใสๆอยู่
จุดเด่นสุดในใบหน้าของเก่งคงเป็นดวงตา
เพราะค่อนข้างโต ส่วนผมก็หน้าตาจีนๆหน่อย แต่ตาไม่ตี่ คิ้วเข้ม ผิวค่อนข้างขาว
ไว้ผมระต้นคอ สูงกว่าเก่งประมาณสองเซนต์ แต่ร่างกายดูแข็งแรงกว่า
มีกล้ามเนื้อมากกว่า อาจจะเป็นเพราะผมช่วยงานบ้านบ่อย
พระอาทิตย์ยามเย็นที่อ่าวพร้าวสวยจริงๆ
ผมยืนดูตาแทบไม่กระพริบจนลับสายตาไป หลังจากนั้นก็ชวนกันไปกินข้าวเย็นที่ร้านค้าริมอ่าว
หลุยส์กับสตีเวนสั่งเหล้ามากินพร้อมกับชวนพวกผมกินด้วย แต่เก่งนั้นไม่ยอมกิน
หลังจากกินเหล้าหมดไปสามขวด ผมก็เริ่มมึนๆ ที่จริงผมไม่ชอบกินเหล้าให้เมานะครับ
แต่กินเอาสนุกละก็ผมชอบ
ผมเคยอ่านเจอปรัชญาชีวิตของนักเขียนจีนท่านหนึ่งซึ่งผมค่อนข้างประทับใจพอสมควรที่ว่า
"ข้าพเจ้าไม่ได้ชอบดื่มสุรา แต่ข้าพเจ้าชอบบรรยากาศของการร่ำสุรา"
แต่ในที่สุดนักเขียนท่านนี้ก็เป็นโรคสุราเรื่องรังตาย (แล้วมันชอบดื่มจริงหรือเปล่าฟะเนี่ย)
ผมเลยบอกว่าจะเลิกกินแล้ว สตีเวนส่งแก้วมาให้ผม
((เอ้า แก้วสุดท้ายก็ได้กินให้หมดนะ))
ผมรับแก้วนั้นมาดื่มแต่ไม่ได้สนใจสายตาแปลกๆของสตีเวน
ผมดื่มแก้วนั้นจนหมด ถึงแม้ผมจะยังมีสติอยู่แต่ก็เริ่มรู้ตัวว่าเดินไม่เป็นเส้นตรงแล้ว
ตอนนั้นเองผมรู้สึกว่าเก่งมาช่วยพยุงผม ฝ่ายบิลลี่ หลุยส์
แล้วก็สตีเวนนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะสามคนนั่นฟาดไปแยะกว่าผมซะอีก
แถมยังหิ้วเหล้าอีกครึ่งขวดที่เหลือกลับมากันด้วย
"เราปายกินกันต่อที่บ้านพักดีกกกว่าานะคร้าบบบบบ"
บิลลี่พูดพร้อมกับมือไม้ปัดไปปัดมา บิลลี่เมามากกว่าผมเสียอีก
"ได้ยังไงบิลลี่ กลับไปนอนที่เต็นท์ดีกว่าน่า"
ถึงแม้ผมจะค่อนข้างเมาแต่ก็ยังมีสติ
"ม่ายเอาคร้าบบบ คุณพงศ์.....อากาศมันร้อนมากเลย"
ยังพูดไม่ทันจบบิลลี่ก็ถอดเสื้อเชิ้ตที่ใส่อยู่ออก
"ขอตากลมหน่อยนะค้าบบบ" หลุยส์มองด้วยสายตาแปลกๆเขาเข้ามาพยุงบิลลี่ไว้
"คุณพงศ์กาบเจ้าซานนี่จากลับไปที่เต็นท์ก่อนก็ได้นาคร้าบบบบ
พ้มจาคุยกับสองคนนี้อีกสักพักหนึ่ง" พูดจบบิลลี่ก็โบกมือบ้ายบายมาทางผม
มาถึงตอนนี้ผมเองก็รู้สึกร้อนเหมือนกัน เหล้านี่พอดื่มแยะๆดีกรีความร้อนมันเผาผลาญอยู่ข้างใน
ผมไม่เคยกินเหล้าแยะขนาดนี้มาก่อน เก่งแบกผมกลับมาที่เต็นท์
"พี่จะเข้านอนเลยหรือเปล่า บิลลี่นะช่างมันเถอะ"
เก่งถาม
"อื้อ ขอพี่นั่งตากลมสักพักแล้วกัน
กินเหล้าแล้วมันร้อนนะ เก่งนอนก่อนเถอะ" ผมบอกเก่งไป แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ใกล้ๆกับเต็นท์
นั่งไปได้สักพักก็ไม่รู้สึกว่าจะเย็นขึ้นเลย ผมกลับรู้สึกร้อนมากกว่าเก่า
ผิวไวต่อสัมผัสไปหมด จนในที่สุดผมตัดสินใจจะไปปลดทุกข์สักหน่อยอาจจะทำให้เย็นลงได้
ผมเดินออกไปค่อนข้างไกลทีเดียว หลังจากทำธุระเสร็จผมก็จะเดินกลับที่พัก
แต่แล้วผมก็ชะงักเพราะได้ยินเสียงครางมาจากด้านข้าง ด้วยความอยากรู้ผมก็เลยยื่นหน้าเข้าไปดู
แล้วผมก็เห็นฝรั่งสองคนกำลังจูบกันอย่างดูดดื่ม ทั้งสองครางเสียงกระเส่า
ฝ่ายหนึ่งเสื้อผ้าหลุดรุ่ย อีกฝ่ายกำลังก้มหน้าลงใช้ปากเคลื่อนที่ไปตามหน้าอกของอีกคน
ผมเริ่มสังเกตว่าฝ่ายที่ถูกจูบนั้นไม่มีหน้าอก ทั้งสองคนเป็นผู้ชายทั้งคู่!!!
ผมเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง ความร้อนในร่างกายเหมือนไปรวมอยู่ที่จุดจุดเดียว
แล้วมันก็ดูเหมือนจะเริ่มตื่นตัวขึ้น ผมได้ยินเสียงครางอีกครั้งจากฝรั่งคู่นั้น
คราวนี้ดังกว่าเดิม เสียงค่อนข้างเป็นที่คุ้นหู สายตาผมเริ่มชินกับความมืดแล้ว
แสงเรืองๆที่ส่องจากหน้าต่างทำให้ผมมองได้ชัดเจนขึ้น
พอผมมองเห็นหน้าฝรั่งสองคนนั้นชัดๆ ผมก็ตกใจแทบช็อค
เพราะสองคนนั่นคือ บิลลี่กับหลุยส์ ผมอ้าปากแทบจะส่งเสียงร้องออกไป
แต่ทันใดนั้นเองก็มีมือมาปิดปากผมทางด้านหลัง แล้วจับผมลากออกมาจากตรงนั้นอย่างไม่ปราณี
ผมตกใจจนแทบสิ้นสติ
พลั่ก !! เจ้าของมือนั่นผลักผมไปชนกับต้นไม้อย่างแรงจนผมจุกแทบลุกไม่ขึ้น
ร่างนั้นไม่รอให้ผมตั้งตัวเข้ามาคร่อมตัวผมไว้ จับมือสองข้างของผมขึ้นไปไว้เหนือหัว
แล้วก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อผม ตอนนี้เองผมเห็นหน้าคนคนนั้นชัดเจน
"สตีเวน!!" ผมร้องออกมาอย่างตกใจ
ตอนที่ผมร้องอย่างตกใจนั้นเองสตีเวนก็เอามือข้างที่ถอดเสื้อมาบีบคางผมไว้
แล้วปากเค้าก็เข้ามาประกบปากผม ลิ้นเขาเริ่มสอดแทรกเข้ามาในปากผมอย่างจาบจ้วง
ผมพยายามจะหุบปากกับหันหน้าหนี แต่นิ้วมือที่แข็งปากคีมเหล็กนั้นทำให้ผมเบือนหน้าไปไหนไม่ได้
แถมยังไม่สามารถหุบปากได้อีก
ผมพยายามจะร้องตะโกนแต่เสียงก็ดูเหมือนจะถูกดูดเข้าไปในปากของอีกฝ่ายจนหมด
ผมเริ่มรู้สึกถึงอวัยวะบางส่วนของเขาโป่งนูนออกมาสัมผัสกับของผม
ผมเริ่มรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมดิ้นสะบัดตัวอย่างแรง ตอนนี้ความร้อนในร่างกายของผมก็เริ่มพุ่งขึ้นสูง
แต่ผมไม่ได้สนใจ ความกลัวเข้ามามีอารมณ์มากกว่า ผมพยายามดันตัวขึ้นเพื่อจะสะบัดสตีเวนให้ออกไป
แต่กลับทำให้เหตุการณ์แย่ขึ้นไปอีก ร่างกายทุกส่วนของผมแนบชิดกับร่างกายเขามากขึ้น
เขาครางออกมาอย่างมีอารมณ์ มือของเขาที่บีบคางผมเริ่มเลื่อนต่ำลงไปแต่ปากของเขาก็ยังไม่ยอมถอนออกจากปากผม
มือเขาเริ่มรูดซิปกางเกงของผม แต่มือข้างเดียวค่อนข้างจะทำลำบากจนทำให้เขาเริ่มหมดความอดทน
ปล่อยมือข้างที่จับมือผมไว้ออก ตอนนั้นเองผมก็ปล่อยหมัดสวนไปที่หน้าของเขาอย่างแรง
ผมไม่รอดูเหตุการณ์ต่อ พอเริ่มลุกขึ้นได้ก็หันหลังวิ่งหนี แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร
ความร้อนในร่างกายดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นจนขาแทบไม่มีแรงพร้อมกับอาการมึนงงเหมือนโลกหมุน
ผมเคยเมามาก่อนแต่นี่อาการเหมือนไม่ใช่เมา สติของผมเริ่มจะเบลอๆ
ผมพยายามจะลุกขึ้นแต่พอลุกขึ้นเดินได้ไม่กี่ก้าวก็ทรุดลงไปอีก
ผมรู้สึกเหมือนว่าผมโดนยาอะไรบางอย่าง
แล้วผมก็นึกถึงเหล้าแก้วสุดท้ายที่สตีเวนส่งให้ผม
สตีเวนมองผมเหมือนลูกไก่ในกำมือ รอยยิ้มเยาะๆอยู่ริมฝีปากเขา
เขาเริ่มถอดกางเกงตัวเองออกช้าๆ ส่วนผมก็พยายามดึงสติที่มีอยู่ให้กลับมา
ความร้อนเริ่มรุมเร้าผมมากขึ้น ผมเริ่มรู้สึกทรมานกับการตื่นตัวของเจ้าน้องชายของผม
สตีเวนเดินเข้ามาจับข้อมือผมไว้ ผมสะบัดออกอย่างแรงจนมือข้างนั้นไปสัมผัสใบหน้าของสตีเวนดังเพี้ยะ
((อย่าขัดขืนเลยน่า เรามาสนุกกันเถอะ))
ผมได้ยินเสียงสตีเวนพูด
ผมมองไปที่สตีเวนก็เห็นว่าตอนนี้เขาเปลือยหมดแล้ว
แถมอวัยวะส่วนนั้นก็ตั้งชูขึ้นมา มันใหญ่ซะจนผมรู้สึกว่าคงไม่มีใครรับได้แน่
แล้วยิ่งผมเป็นผู้ชายแถมยังไม่เคยมาก่อนเสียด้วย ตัวผมสั่นด้วยความกลัว
แต่ก่อนที่ผมจะทันได้ทำอะไร สตีเวนก็จับข้อมือของผมไพล่ไปข้างหลังจนผมร้องด้วยความเจ็บ
เขามัดข้อมือผมด้วยเข็มขัดหนังของผมเอง พอเสร็จเขาก็พลิกตัวผมขึ้นพร้อมกับก้มลงจูบผมอย่างตะกระตะกราม
น้ำหนักตัวทั้งของผมและของสตีเวนทับไปที่แขนทำให้ผมเจ็บมากจนผมร้องครางออกมา
สติของผมชักจะเริ่มเบลอ สตีเวนดึงกางเกงยีนส์ของผมลงพร้อมกับกางเกงใน
จนกระทั่งมันลงมากองอยู่ที่ขา อวัยวะของผมตั้งชูชันขึ้นมาเหมือนจะสู้สายตา
ลมเย็นที่เข้ามาสัมผัสผิวเปลือยทำให้ผมเริ่มมีสติ ผมพลิกตัวกระเถิบหนีอีกครั้ง
ก้อนหินกร้อนกรวดบาดขาผมจนเป็นแผลเลือดออกซิบๆ หน้าตาเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
ฝุ่นและดินทราย สตีเวนเข้ามาจับสะโพกผมพร้อมกับยกขึ้น
ดันขาผมให้อยู่ในท่าคุกเข่าคู้ตัว
มือเขาเริ่มลูบไล้บั้นท้ายของผมช้าๆ สติของผมเหมือนจะกระเจิงไป
ผมครางออกมาก่อนที่สติจะดับวูบไป
"พี่พงศ์ พี่พงศ์ เป็นยังไงบ้าง"
ผมรู้สึกถึงน้ำเย็นๆที่เช็ดหน้าผากของผม ตอนนี้มือของผมไม่ได้ถูกมัดแล้ว
ความร้อนในกายก็เหมือนลดลงไป ผมมองไปรอบตัวก็พบว่าผมยังนอนอยู่ที่เดิม
กางเกงของผมก็ถูกดึงขึ้นมา
ผมลุกขึ้นมานั่งแล้วผมก็เห็นสตีเวนในสภาพที่ถูกอัดน่วม
แถมถูกปล่อยทิ้งไว้ในสภาพเปลือยไม่มีใครสนใจ
"พี่พงศ์อย่าเพิ่งขยับครับ พี่โดนยาผสมเหล้าเข้าไป
อีกสักพักมันถึงจะหมดฤทธิ์" เก่งพูดพร้อมกับดันหัวผมให้หนุนตักเขา
พร้อมกับเอามือลูบหน้าผากเบาๆ
"คุณพงศ์ค้าบ คุณพงศ์ฟื้นแล้วเหรอ"
บิลลี่วิ่งเข้ามาหาผมด้วยสีหน้าเป็นห่วง พอผมเห็นบิลลี่ ผมก็รู้สึกแปลกๆ
"เอ่อ บิลลี่ ไม่ได้อยู่กับหลุยส์เหรอ"
บิลลี่หน้าเปลี่ยนสี เขายิ้มเลี่ยนๆ เหมือนกับอายที่ผมรู้ความลับของเขาอย่างนั้นแหละ
"เอ่อ...คือหลุยส์ขาวกลัวเจ้าซันนี่โจนวิ่งหนีปายแล้วค้าบ
มานเล่นถือไม้ท่อนเท่าแขนไล่ฟาดขาว"
ผมมองท่อนไม้ที่อยู่ข้างตัวแล้วก็มองสตีเวนสลับกันไป
"เอ่อ เจ้าสตีเวนนี่ผมเปนคนต่อยมานเองค้าบ
อ่อ...พ้มบังเอิญด้ายยินเสียงคุณพงศ์ตอนอยู่กับหลุยส์นาค้าบ พ้มเลยวิ่งเข้ามาต่อยเจ้านี่
ส่วนเจ้าซันนี่มันคงได้ยินเสียงก็เลยวิ่งออกมาดู เลยมาร่วมวงอัดเจ้านี่กัน"
ผมถอนหายใจ "แล้วนี่จะไม่มีปัญหาเหรอ
อัดเขาซะน่วมแบบนี้ ระวังเขาจะไปแจ้งความนะ" ผมรู้สึกกังวลว่าจะต้องขึ้นโรงขึ้นศาลแล้วตัวผมเองต้องมาแจกแจงเรื่องที่จะถูกฝรั่งผู้ชายด้วยกันข่มขืนนี่สิ
ถ้าเรื่องเป็นข่าวละก็ผมคงต้องเอาหน้ามุดดินหนีแน่ๆ
"ถ้ากลัวขาวแจ้งฟามเราก็แจ้งฟามไปก่อนมานสิค้าบ
พ้มเองก้อฝรั่งเหมือนกัน เรื่องฝรั่งตีกานยางไงมันคงไม่เสียชื่อประเทศทายเท่าไหร่
ไปแจ้งฟามเลยบอกว่าฝรั่งโรคจิตหลอกจะอาวเงินมอมเหล้าแต่รู้ตัวก่อนเลยป้องกันตัว"
บิลลี่พูดฉอดๆ พอถึงตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกดีขึ้นมาก
เริ่มลุกขึ้นเดินได้ อาการมึนๆหายไปแล้ว สำรวจดูร่างกายตัวเองก็ไม่ค่อยมีแผลใหญ่โตอะไรมาก
ส่วนใหญ่เป็นแค่แผลถลอกกับรอยช้ำไม่กี่รอย นอกจากนั้นก็ไม่รู้สึกถึงร่องรอยอะไรสงสัยบิลลี่คงเข้ามาช่วยผมไว้ทันพอดี
แต่ผมกลับรู้สึกว่าไม่ค่อยอยากลุกออกจากตักที่หนุนอยู่เท่าไหร่
คืนนั้นผมหลับเป็นตายโดยไม่รู้ว่าบิลลี่กับเก่งผลัดกันเป็นยามเฝ้าอยู่นอกเต้นท์ด้วยความเป็นห่วงผม
พอรุ่งเช้าพวกเราสามคนก็นั่งเรือกลับไปยังฝั่งระยอง บิลลี่เข้าไปแจ้งความจริงๆ
เขาเล่าให้ตำรวจฟังโดยไม่ได้กล่าวถึงผมเลย
อย่างมากก็บอกเพียงแต่ว่าผมเป็นผู้เสียหายที่บังเอิญถูกลูกหลงในการต่อสู้เท่านั้น
|
|
|