01-02      03-04      05-06      07-08      09-10      11-12      13-14      15-16      17-18      19-20      21-22     
Cherry March


Ugly duckling bishonen

- 17 -

เนื่องจากมิยุกิจังต้องการใช้คอมพิวเตอร์ เลยกลายเป็นว่าพวกเราต้องมานั่งสุมหัวอยู่ในห้องของยุกิโกะ จริงๆ แล้วผมก็ไม่ค่อยได้เข้าห้องน้องสาวผมซักเท่าไหร่ เลยรู้สึกแปลกๆ อยู่ไม่น้อย แต่ไม่ได้สิ... ยัยนั่นเอาแต่เจ๊าะแจ๊ะกับมิยุกิจังตลอด ผมเลยไม่ไว้ใจ เดี๋ยวมันเผาอะไรขึ้นมาล่ะซวยเลย เลยต้องเข้ามาคุม
"มิยุกิจังเนี่ยวาดรูปเก่งจังเลยเนอะ" ยุกิโกะพูดขึ้นมา
"เฮ้ย... ยุกิโกะ ไปรื้อกระเป๋าเขาทำไม" ผมหันไปเตือน ยัยนี่นอกจากจะมืออยู่ไม่สุขแล้วยังเสียมารยาทอีก มิยุกิหันมายิ้มๆ คงพูดอะไรไม่ออกมากกว่า
"ปกติวันเสาร์อาทิตย์เธอไปบ้านเจ้ามิยาบิประจำไม่ใช่เหรอ..." ผมพูดเป็นเชิงไล่
"ใจร้าย... นี่มันห้องของใครมิทราบ อีกอย่าง วันนี้มิตจังไปงานศพญาติที่จิบะ"
"งั้นเหรอ... งานศพใครน่ะ"
"เชอะ... ปกติยูจังไม่อยากรู้เรื่องของมิตจังอยู่แล้วนี่" ยัยนั่นทำหน้ากวนโอ๊ย พลางก้มลงเปิดสมุดวาดภาพของมิยุกิจังทีละหน้า ไม่อยากรู้ก็ได้เฟ้ย... เดี๋ยวแม่กลับมาก็คงจะมาเม้าธ์ให้ฟังตอนกินข้าวอยู่ดี
"อุ๊ย... มิยุกิจัง รูปนี้สวยจังเลย ขอได้มั้ย" เฮ้อ... ยัยนี่... โตจนป่านนี้แล้วทำไมชอบทำตัวเหมือนเด็กนักนะ... ผมแอบค้อน
ทว่ามิยุกิดูเหมือนจะไม่ถือสาอะไร จากนั่งทำรายงานอยู่เมื่อครู่ไหงหันมาคุยกันอย่างจริงจังขนาดนี้ได้ล่ะเนี่ย... จะว่าไปก็น่าโล่งใจเหมือนกันแฮะ หวังว่าคราวนี้คงไม่เหมือนรายที่ผ่านๆ มา

ตอนเย็นฝนตกหนัก พ่อกับแม่ก็ยังไม่กลับมาซักที นี่ผมชักจะเริ่มเบื่อขึ้นมาแล้วสิ ยัยน้องสาวผมแย่งคุยกับมิยุกิตลอดเลย แล้วทำไมคนที่ไปยกน้ำชากับขนมมาบริการต้องเป็นผมด้วยนะ กลับเข้าห้องมาอีกที กลายเป็นห้องของเด็กผู้หญิง 2 คนไปแล้ว มิยุกิจังน่ะ...แขกของผมนะ...
ผมอยากจะตะโกนใส่ยัยตัวดีจริงๆ แต่พอคิดว่า "ก็ยังดีกว่ายัยนั่นแผลงฤทธิ์ใส่" ขึ้นมาทีไร ต้องยอมจำนนกับสภาพแบบนี้ทุกที 6 โมงเย็นแล้ว แม่โทรศัพท์มาบอกว่าจะขอค้างดูอาการคุณยายที่ชิซึโอกะ วันนี้ที่บ้านโล่งขนาดนี้ก็เพราะพ่อกับแม่พากันไปเยี่ยมคุณยายนั่นเอง ในที่สุดก็เหลือกันอยู่ที่บ้านแค่ 2 คนพี่น้องสินะ
"นี่... ฝนตกหนักอย่างนี้มิยุกิจังจะกลับบ้านได้เหรอ" ยัยยุกิโกะโพล่งขึ้นมา โอ้... พูดได้ดีมากน้องรัก พูดอีกสิ พูดอีก
"คงไม่เป็นไรมั้งคะ นั่งรถไฟไม่กี่สถานีก็ถึง"
"แต่กว่าจะเดินไปถึงสถานีนี่สิ... ถ้าไง ค้างที่นี่ซักคืนดีมั้ย เดี๋ยวฉันให้ยืมเสื้อ"
"แต่ฉันจะใส่ได้เหรอคะ ยุกิโกะจังออกจะผอม"
"ไม่ต้องห่วงน่า... ถ้าเป็นเสื้อยืดล่ะก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว" และแล้วด้วยการเกลี้ยกล่อมของยุกิโกะ มิยุกิจึงโทรไปบอกที่บ้านว่าจะค้างบ้านผม โอ้... ยุกิโกะจัง น้องรักของพี่...
"ดีจังเลย วันนี้พ่อแม่ไม่อยู่ด้วย ไปทำอาหารกันดีกว่า ยูจัง เดี๋ยวโทรเรียกมิตจังมากินข้าวด้วยนะ" ประโยคสุดท้ายหันมาบอกผมซึ่งนั่งอยู่เหมือนส่วนเกินในห้อง
แล้วทำไมต้องเรียกหมอนั่นด้วยล่ะเนี่ย...

ในที่สุด ผมก็ไม่ได้โทรเรียกเจ้ามิยาบิ เรื่องอะไรจะให้มีก้างตัวที่สองล่ะ ผมฉวยโอกาสสำรวจห้องน้องสาวตัวเองระหว่างที่พวกผู้หญิงลงไปเตรียมอาหารข้างล่างกัน
ห้องยุกิโกะมองเผินๆ ก็เหมือนห้องเด็กผู้หญิงทั่วไป แต่ก็ไม่เหมือน... ดูขัดหูขัดตายังไงพิกล... อะไรกันนะ
ผมสะดุดสายตาที่สิ่งของรูปทรงสี่เลี่ยมตรงมุมห้อง ตอนแรกก็คิดว่าเป็นกล่องอะไรซักอย่าง แต่พอเข้ามาดูใกล้ๆ ก็พบว่าเป็นกองหนังสือที่ห่อด้วยกระดาษ ดูจากสีของห่อแล้วท่าทางไม่ใช่หนังสือเก่าแน่ เป็นหนังสือที่ส่งมาจากโรงพิมพ์ ผมเปิดกองที่มีรอยแกะแล้วออกดู... หนังสือรวมภาพของผม...ที่แท้... สำนักงานใหญ่ก็คือยัยยุกิโกะเองเหรอเนี่ย ไม่จริงน่า...
ผมหยิบออกมาเปิดดูเล่มหนึ่ง ถึงกับช็อค... หน้าแรกมีรูปถ่ายตอนเด็กๆ ของผมอยู่ หน้าตาน่าเกลียดพิลึก พังๆๆๆ ป่านนี้คนที่ซื้อไปดูก็เห็นหมดแล้วสิเนี่ย แล้วผมจะเอาหน้าไปไว้ไหน
"ถือวิสาสะยังไงมารื้อห้องคนอื่นเขา" น้ำเสียงขุ่นเคืองจากด้านหลังทำให้ผมสะดุ้ง
"แล้วเธอถือวิสาสะยังไงเอารูปคนอื่นมาหากินแบบนี้ล่ะ" ผมเถียงกลับไป "แล้วดูสิ รูปแอบถ่ายเต็มไปหมดเลย"
"ยูจังไม่เข้าใจหรอก... ฉันน่ะทำเพื่อเพื่อนๆ ที่โรงเรียนนะ" ยัยนั่นรีบคว้าหนังสือในมือผมไปเก็บ
"แต่ก็น่าจะบอกกันบ้างนี่นา"
"ถ้าบอกยูจังจะให้ทำมั้ยล่ะ" ผมกำลังจะว่าต่อ แต่ทันใดนั้นผมก็เหลือบไปเห็นรูปถ่ายที่เสียบอยู่ใกล้ๆ โคมไฟบนโต๊ะเขียนหนังสือ นี่มัน.... ผมเหงื่อแตกพลั่ก... กะแล้วเชียว... เป็นรูปถ่ายตอนที่ผมตะเกียกตะกายปีนขึ้นบ้านมิยาบิ ยิ่งกว่านั้น... รูปตอนที่ผมจูบกับมัน...แล้วเมื่อกี้... มิยุกิจังนั่งตรงนี้... อย่าบอกนะว่า...
"เห็นแล้วล่ะ" เสียงมิยุกิจังดังขึ้นข้างหลังทำให้ผมสะดุ้งระลอกที่ 2
"ยูคุงกับมิยาบิคุงเนี่ย สนิทกันจังเลยนะ น่าอิจฉา ฉันน่ะไม่มีเพื่อนมาตั้งแต่เด็กๆ อยู่โรงเรียนก็โดนแกล้งเป็นประจำ ทุกคนรังเกียจฉัน บอกว่าฉันหน้าตาน่าเกลียด ไม่มีใครอยากคบด้วย จะว่าไปฉันเองก็ผิดที่เข้ากับใครไม่ได้เลย ไม่มีความกล้าที่จะไปเข้ากลุ่มกับใคร"
"ไม่จริงหรอก" ผมรีบพูด นึกโล่งใจอยู่เหมือนกันที่มิยุกิจังตีความเป็นเรื่องนี้
"ยูคุงไม่เข้าใจหรอก... เพราะยูคุงมีแต่คนมารุมรัก มีแฟนคลับที่คอยให้กำลังใจ มีเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆ คงไม่เหงาหรอกจริงมั้ย" ผมทำหน้าเบ้เมื่อนึกถึงหน้าเจ้ามิยาบิ เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กงั้นเหรอ... มิยุกิจังไม่รู้อะไรซะแล้ว
"ทำไมถึงมัวแต่กลุ้มใจเรื่องของอดีตแบบนั้นอยู่ได้ น่าเบื่อจะตาย" ยุกิโกะพูดขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
"เมื่อกี้มิยุกิจังได้ดูรูปของยูจังแล้วใช่มั้ย ยูจังน่ะ ตอนเด็กๆ อ้วนก็อ้วน หัวก็ขี้เลื่อย ใส่แว่นตาหนาเตอะ เป็นหวัดน้ำมูกไหลตลอดปี นิสัยเสียสารพัด"
หนอย... ยัยยุกิโกะ.... หลอกด่ากันเรอะ
"ตอนนั้นน่ะ ที่โรงเรียนไม่มีใครเขาอยากจะคบยูจังเลย เห็นมีแต่มิตจังกับฉันเนี่ยแหละที่ทนคบด้วย" ทนคบด้วยงั้นเหรอ... ฮึ่ม... ดีแต่แกล้งเรามากกว่า
"แต่ว่า... ยุกิโกะจังเป็นน้องสาว ส่วนมิยาบิคุงเป็นเพื่อนบ้านนี่นา" มิยุกิจังอ้าปากเถียง แต่ยุกิโกะไม่สนใจชิงพูดต่อซะก่อน
"ยูจังน่ะ ตอนเข้าโรงเรียนใหม่ๆ โดนรุมแกล้งประจำ ไม่มีเพื่อนเลยซักคน จำได้มั้ยยูจัง ตอนที่เจอกับมิตจังครั้งแรกน่ะ มิตจังเข้ามาห้ามไว้นะ" ทำไมจะจำไม่ได้... หลังจากนั้นมาผมก็ไม่เคยโดนเพื่อนในโรงเรียนแกล้งอีกเลย แต่ก็ไม่มีใครคบด้วย ที่แย่กว่านั้นก็คือ โดนเจ้ามิยาบิกับยุกิโกะแกล้งสารพัดแทน
"แล้วดูสิ... ดูยูจังตอนนี้สิ มีสาวๆ และหนุ่มๆ มารุมล้อมมากมาย เป็นที่รักของทุกคน มิยุกิจังรู้มั้ยว่ากว่ายูจังจะเป็นได้ขนาดนี้น่ะ ต้องพยายามมากแค่ไหน เพื่อให้ตัวสูงต้องเล่นบาสทุกวัน เพื่อให้เรียนเก่งต้องอ่านหนังสือล่วงหน้าทุกคืน เพื่อที่จะหล่อต้องโบ๊ะทุกเช้า (อันนี้ไม่ต้องพูดได้มั้ย) เพื่อให้คนอื่นยิ้มให้ต้องยิ้มให้คนอื่นก่อน เพื่อที่จะมีคนรักต้องรักคนอื่นก่อน และเพื่อที่จะเป็นที่ชื่นชมต้องชื่นชมคนอื่นก่อน"
ผมนิ่งงันไปพักใหญ่ นี่ยัยยุกิโกะ... คิดแบบนี้เหรอเนี่ย... ไม่น่าเชื่อเลย เห็นคอยแต่หาเรื่องแกล้งผมมาตลอดแท้ๆ
"ยูจังน่ะ ไม่เคยมาสนใจว่าใครจะนินทาว่าร้าย แต่ในทางกลับกัน ให้ความสนใจกับคนที่มาชื่นชอบ ที่ยูจังดังขนาดนี้น่ะจะว่าไปก็ไม่ใช่เพราะความหล่อซะทีเดียวหรอกนะ แต่เป็นเพราะความกล้า (หน้าด้าน) ที่จะออกสู่สังคมต่างหาก ออกไปให้คนภายนอกเขายอมรับในความดีของเรา"
มิยุกิน้ำตาคลอ ยุกิโกะเข้าไปโอบเป็นเชิงปลอบ ส่วนผม... อึ้งกับคำพูดของน้องสาวเมื่อครู่ รู้สึกก้าวขาไม่ออกเลยแฮะ
"เฮ้อ... วันสุดสัปดาห์แท้ๆ กลับต้องมานั่งพูดเรื่องเครียดเป็นฉากๆ ชักเหนื่อยซะแล้วสิ ไปอาบน้ำกันเถอะมิยุกิจัง ฉันเตรียมน้ำร้อนเอาไว้แล้ว" ยัยตัวแสบที่เพิ่งทำผมซึ้งทำหน้าเหมือนไม่มีอะไร
"อ้อ... ป่านนี้กับข้าวเย็นหมดแล้ว ยูจังลงไปอุ่นซุปให้ทีนะ พวกเราสาวๆ ขออาบน้ำก่อน" ยุกิโกะหันมาใช้ผมเฉยเลย

ผมตั้งไฟอุ่นซุปในหม้อ สมองยังมึนงงกับคำพูดของยุกิโกะไม่หาย นี่ผมคงต้องมองน้องสาวตัวเองใหม่ซะแล้วสิ
เอ๊ะ... แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้อยู่ดี 2 คนนั่นอยู่ในห้องน้ำ จะแอบเผาอะไรผมรึเปล่าล่ะเนี่ย วันนี้ยัยยุกิโกะมาไม้ไหนกันแน่ ไม่ใช่ว่าต่อหน้าพูดดีลับหลังเอาไปนินทา... ขอแอบฟังซักหน่อยเถอะ... เน้น แอบฟังนะครับ ผมค่อยๆ ย่องไปยืนแนบหูที่กำแพง
"เนี่ย... ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งขายแฟนฟิคมิตจังกับยูจังไปล่ะ ขายดีมากๆ เลย"
"จริงเหรอ... อยากอ่านจังเลย"
"โชคดีจังที่มาเจอมิยุกิจัง นี่... วันหลังมาวาดการ์ตูนให้หน่อยสิ ฉันแต่งเรื่องเอาไว้แล้ว ส่วนกำไรมาหารกันครึ่งๆ นะ กรี๊ดๆ" ผมกุมขมับ มิยุกิจังของผมจะถูกล้างสมองมั้ยเนี่ย
"ยู น่าเกลียดจริง แอบดูน้องสาวอาบน้ำอยู่หรือไง" เสียงคุ้นๆ หูดังมาจากข้างหลัง ผมสะดุ้งเฮือก เจ้ามิยาบิ...
"กรี๊ด..... ยูจังทะลึ่ง ลามก วิปริต" เสียงอันแสบแก้วหูของยัยยุกิโกะลอยมาทันที ผมอุดหูวิ่งเข้าห้องครัว
"มิยาบิ... นายเข้ามาได้ไง"
"ฉันเอามะเขือเทศมาฝาก เห็นประตูบ้านไม่ได้ล็อกเลยเดินเข้ามา ไม่คิดว่านายจะมีงานอดิเรกชอบถ้ำมองสาวๆ อาบน้ำแบบนี้" โธ่... หมดกัน หันซ้ายก็ยัยยุกิโกะ หันขวาก็เจ้ามิยาบิ แล้วแบบนี้ความรักของผมกับมิยุกิจะไปตลอดรอดฝั่งรึเปล่านะ... (บอกได้เลยว่าไม่แหงๆ)

- 18 -

ในที่สุดผลการตัดสินนักกีฬาก็ออกมา อย่างที่รุ่นพี่ซากาอิบอก ผมได้เป็นตัวจริงในการแข่งขัน นอกจากนี้เจ้ามิยาบิก็ยังเข้าตากรรมการอีกด้วย ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึงวันแข่งจริง เจ้ามิยาบิกับผมจึงต้องฝึกซ้อมอย่างหนักจนถึงมืด
อย่างไรก็ตามแม้การฝึกซ้อมจะทำให้ผมไม่ค่อยได้เจอมิยุกินอกเวลาเรียน แต่ก็มีเรื่องดีๆ ทุกครั้งที่กลับถึงบ้าน ตอนนี้มิยุกิกลายเป็นแขกของยุกิโกะไปเสียแล้ว ทั้งคู่พอเลิกเรียนก็ไปหมกตัววาดการ์ตูนบ้างล่ะ เขียนนิยายบ้างล่ะ อยู่ที่บ้านผม การ์ตูนและนิยายที่ว่าผมคงจะไม่ต้องอธิบายต่อกระมัง ทั้งคู่ดูเข้ากันได้ดีมากจนแม่รู้จักมิยุกิในฐานะเพื่อนของยุกิโกะ แทนที่จะเป็นเพื่อนหญิงของผมไปแล้ว
กลับมาที่เรื่องของการแข่งบาส เนื่องจากทางชมรมจำเป็นต้องใช้โรงยิมในการฝึกซ้อมดึกกว่าแต่ก่อน พวกเราในชมรมจึงต้องรับภาระเพิ่มนั่นก็คือทำความสะอาดและปิดโรงยิมแทนเจ้าหน้าที่ที่ดูแล ดังนั้นพวกเราจึงต้องแบ่งเวรทำความสะอาดและเก็บโรงยิมครั้งละ 2 คน การแบ่งเวรทำโดยการจับฉลาก น่าดีใจที่เจ้ามิยาบิจับฉลากได้คู่กับสมาชิกคนอื่นในชมรม ส่วนผมคู่กับรุ่นพี่ซากาอิ แต่กระนั้นเจ้ามิยาบิก็ยังตามรังควาญผมอยู่โดยการคอยจนพวกผมปิดประตู แต่พอคอยนานๆ เข้าคงเบื่อ เลยเข้ามาช่วยทำความสะอาดด้วยซะเลย จะได้เสร็จเร็วๆ
"ชักช้าจริง ยู ฉันหิวข้าวแล้วนะ" มันบ่นขณะที่คว้าผ้าขี้ริ้วมาช่วยผมเช็ดลูกบอล
"ใครใช้ให้รอ หิวก็กลับไปก่อนสิ" ผมเถียง ทำไมมันจะต้องทำตัวติดผมแจจนคนอื่นพากันเข้าใจผิดอย่างนี้ด้วยนะ
"ไม่รู้ล่ะ ฉันจะกลับพร้อมยู นายรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อซะ เดี๋ยวฉันจะเช็ดลูกบอลต่อให้เสร็จเอง"
"เรื่องอะไร นี่มันหน้าที่ฉัน ถ้าฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็เท่ากับเอาเปรียบรุ่นพี่ซากาอิน่ะสิ"
"พวกเธอทะเลาะกันแบบนี้ประจำเลยหรือไงนะ" รุ่นพี่ซึ่งกำลังถูพื้นโรงยิมอยู่หันมาแซว
"กรุณาอย่ายุ่งเรื่องของเราได้มั้ยครับ" เจ้ามิยาบิปากเสีย... นั่นน่ะรุ่นพี่นะเฟ้ย
"เจ้าบ้า... อยากกลับก็รีบกลับไปเลยเฟ้ย ถ้าอยู่แล้วพูดจาไม่เข้าหูคนอื่นแบบนี้น่ะ" ผมรีบต่อว่า "ขอโทษแทนมันด้วยนะครับ" ผมหันไปทางรุ่นพี่ซากาอิ
รุ่นพี่ยิ้มอย่างเข้าใจ
"ฉันไม่ถือสาหรอก แล้วยามากุจิคุงไม่จำเป็นต้องของโทษหรอก เพราะเธอไม่ได้ทำอะไรผิด" ช่างสมเป็นผู้ใหญ่จริงๆ น่านับถือ ไม่เหมือนใครบางคน ตัวโตซะเปล่าทำตัวเหมือนเด็กเล็กๆ ผมหันไปมองเจ้ามิยาบิอย่างโกรธๆ

"ฉันไปก่อนนะ" รุ่นพี่ซากาอิโบกมือลาก่อนเดินออกจากห้องแต่งตัว
"เหนื่อยหน่อยนะครับ" ผมก้มหัวให้อย่างไม่เป็นทางการนักเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ มีแต่กางเกงสวมข้างในขาสั้น กับผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ที่คลุมไหล่เอาไว้ ทันทีที่ประตูปิดผมก็เหลือบเห็นเจ้ามิยาบินั่งรออยู่ที่หน้าล็อกเกอร์
แย่ล่ะสิ... ผมนึกถึงสารรูปตัวเองขึ้นมา จู่ๆ เหตุการณ์ในห้องนอนของมันก็แว่บเข้ามาในหัว นี่ถ้าเจ้านั่นมันเกิดนึกพิเรนทร์ขึ้นมาจะแย่
"นาย... ออกไปก่อนได้มั้ย" เจ้านั่นเลิกคิ้วอย่างงงๆ
"ทำไมล่ะ" แน่ะ ยังจะมีหน้ามาถามอีก ฉันไม่ไว้ใจแกเฟ้ย ไม่ไว้ใจ... อยากตะโกนใส่หน้ามันแต่ก็ทำไม่ได้
"เถอะน่า... ฉันบอกให้ออกไปก่อนไงเล่า ฉันจะแต่งตัว" เจ้านั่นยิ้มกวนๆ
"อะไรกัน... อย่าบอกนะว่านายอายฉันน่ะ" พูดจบมันก็หัวเราะร่วน ไม่ได้อายเฟ้ย แต่ไม่ไว้ใจ "รีบใส่เสื้อเร็วๆ เถอะน่า รูปร่างนายน่ะ ฉันเห็นตอนอาบน้ำจนชินแล้ว ก็ผู้ชายเหมือนกันไม่เห็นจะมีอะไรน่าตื่นเต้น" ผู้ชายก็จริง แต่ไม่เหมือนกันเฟ้ย... ผมมองค้อนนิ่ง ไม่พูดอะไร
"ก็ได้ๆ งั้นฉันออกไปรอข้างนอกแล้วกันนะ" กระทั่งเสียงประตูปิดดังขึ้น ผมจึงรีบไขล็อกเกอร์ หยิบเสื้อผ้ามาสวมอย่างรวดเร็ว ทว่า...ไน*จัง (ชื่อยี่ห้อหนึ่งของรองเท้าผ้าใบ) รุ่นใหม่ล่าสุดของเมื่อ 3 เดือนก่อน...
"ไม่มี..." เหตุการณ์เมื่อ 8 ปีก่อนย้อนเข้ามาในหัว วิธีแกล้งแบบนี้... มีแต่เจ้ามิยาบิคนเดียว ตอนประถมเจ้านี่มันชอบเอารองเท้าผมไปซ่อน ทำให้ตอนเย็นต้องเดินเท้าเปล่ากลับบ้าน ทำให้ผมโดนแม่ดุบ่อยๆ ว่าไม่รักษาของ รองเท้าคู่นึงไม่ใช่ถูกๆ พอแม่ซื้อรองเท้าใหม่ให้ผม อีก 2-3 วันต่อมามันก็เอารองเท้าผมมาคืน ทำให้แม่ว่าผมอีกว่าอยากได้ของใหม่จนต้องโกหกผู้ใหญ่ ผมพยายามอธิบาย แต่ก็ไม่มีใครฟัง ยิ่งบอกว่าเจ้ามิยาบิเป็นตัวการ ทุกคนก็หาว่าผมใส่ร้ายเพื่อน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเดือดปุดๆ ขึ้นมา คราวนี้ฉันจะไม่ปล่อยให้แกใช้วิธีเด็กๆ มาแกล้งฉันอีกแล้ว
ผมเปิดประตูอย่างแรง
"มิยาบิ... ฉันไม่ตกหลุมลูกไม่ตื้นๆ ของแกอีกต่อไปแล้ว" มันทำหน้างง... เหมือนเมื่อ 8 ปีที่แล้วไม่มีผิดเพี้ยน "มีอะไรเหรอ... อ้าว แล้วทำไมนายเดินเท้าปล่าออกมาล่ะ"
ประโยคเดียวกันเปี๊ยบเลยครับ.... แล้วแบบนี้จะให้ผมไปสงสัยสุนัขที่ไหนล่ะเนี่ย
"ไม่ต้องมาทำไก๋เลย คืนรองเท้าของฉันมาเดี๋ยวนี้นะ" มันนิ่งไป 5 นาทีได้ ขณะที่ผมโกรธจนหน้าเขียวพูดอะไรต่อไม่ออก
"หมายความว่า.... รองเท้านาย... หาย" ไม่ต้องมาพูดเลย แกนั่นแหละรู้ดีกว่าฉันซะอีก ผมสะบัดหน้าเดินผ่านมันไปอย่างเย็นชา ถ้าไม่คืนก็ไม่ต้องมาพูดกันอีกเลย แม้จะแค่รองเท้าคู่เดียว แม้จะแค่วิธีเด็กๆ แต่ผมหมดสิ้นความอดทนที่จะคบกับมันอีกแล้ว ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมันถึงจองเวรจองกรรมกับผมนักหนา
ผมเดินจ้ำๆๆๆ ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้ปิดโรงยิม วันพรุ่งนี้ต้องโดนรุ่นพี่ว่าแน่ๆ แต่ ช่างมันเถอะ ขืนหันหลังกลับไปต้องไปเจอหมอนั่นอยู่ดี เกลียดที่สุด อุตส่าห์คิดว่ามันจะนิสัยดีขึ้นแล้วแท้ๆ อุตส่าห์วางใจไปไหนมาไหนด้วยแท้ๆ ไม่น่าเลย เสียความรู้สึกชะมัด
"ยู..." เสียงเจ้ามิยาบิไล่หลังมา ผมหันกลับไปมอง เห็นมันกำลังวิ่งเข้ามาหาอย่างกระหืดกระหอบ
"ไปให้พ้นนะ จะมาเยาะเย้ยกันล่ะสิ สะใจแกแล้วใช่มั้ย เอ้า... ดูสิ ดูให้เต็มตาเลยว่าฉันเดินเท้าเปล่ากลับบ้าน" ผมตะโกนกลับไปอย่างเดือดดาล มิน่าล่ะ... ถึงรอกลับบ้านพร้อมผม ที่แท้ก็อยากเห็นผมทำหน้าจ๋อยกลับบ้านเท้าเปล่านี่เอง
ผมยืนตัวสั่นกัดฟันกรอด มันเดินเข้ามาใกล้แล้วยื่นบางอย่างให้ผม ไน*จัง... ไน*จังของผมนี่นา ทว่ารูปทรงของมันไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว มีรอยกรีดเต็มไปหมด หนำซ้ำยังเปื้อนสีและมีกลิ่นสเปรย์โชยคลุ้ง รู้ได้เลยว่าเพิ่งถูกพ่นไม่นาน
ผมขมวดคิ้ว มองเจ้ามิยาบิหน้าเครียด นี่ยังไม่พอใช่มั้ย... ต้องแค่ไหนถึงจะสะใจแก... ผมไม่พูดอะไร ไม่รู้จะพูดอะไร ต่อให้ด่าว่ามันเท่าไหร่ คนอย่างมันก็คงไม่สำนึกขึ้นมาหรอก ผมรีบเดินหนีมัน พอกันที ไม่อยากเห็นหน้าคนอย่างมันอีกแล้ว
"เดี๋ยวสิยู" มันเดินตามแล้วคว้าแขนผม
"ปล่อย" ผมสะบัดเต็มแรง ทว่ายิ่งสะบัดมันก็ยิ่งจับแน่นจนผมเจ็บไปหมด
"ฟังฉันหน่อยได้มั้ย"
"ไม่ฟัง ไม่อยากฟังคำพูดของเด็กเหลือขออย่างแกอีกแล้ว"
"ก็ได้... ฉันจะไม่แก้ตัวอะไร แต่ฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็นว่าฉันไม่ได้ทำ รอเดี๋ยวได้มั้ย" ว่าแล้วมันก็ถอดรองเท้าตัวเอง
ผมยืนนิ่งดูซิว่ามันจะทำอะไร มันผูกรองเท้าไว้กับเป้ตัวเอง
"ถ้านายเดินเท้าเปล่า ฉันก็จะเดินเป็นเพื่อน" ผมอึ้งๆ นี่มันกำลังเล่นละครอะไรตบตาผมอยู่รึเปล่า
"ฉันรู้ว่านายคงไม่เชื่อ แต่ขอร้องล่ะ ให้โอกาสฉันแก้ตัวบ้างได้มั้ย" อยู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าตาร้อนผ่าวขึ้นมาราวกับว่าตัวเองจะร้องไห้อย่างงั้นแหละ แต่ร้องไห้ทำไมไม่รู้ รู้แต่ความโกรธสุดๆ เมื่อกี้ทำผมช็อค
เราสองคนเดินเท้าเปล่ากันไปเรื่อยๆ จนถึงสถานี
"ยู... อย่าเพิ่งกลับได้มั้ย มาทางนี้หน่อย" เจ้ามิยาบิลากผมเข้าห้างสรรพสินค้าข้างใน
"อะไรอีกเล่า นี่ก็ดึกแล้วนะ เดี๋ยวแม่เป็นห่วง" ผมรีบยกแม่ขึ้นมาอ้าง จริงๆ แล้วไม่อยากอยู่กับมันนานนัก อยากรีบกลับให้ถึงบ้านแล้วแยกย้ายเข้าบ้านตัวเองซักที
ผมจึงได้รู้ว่ามันลากผมเข้าร้านรองเท้า
"ฉันกลับล่ะ" ผมรีบเดินออกมา
"อ้าว... ทำไมล่ะยู กว่าจะถึงบ้านต้องเดินอีกนะ"
"จะบ้าหรือไง ฉันไม่ได้เอาเงินมามากมายขนาดนั้น" ผมแอบกระซิบโวยวาย ก็แต่ละคู่ในนั้นน่ะ เป็นหมื่น (เยน) ขึ้นไปทั้งนั้นเลยนี่ครับ
"ไม่เป็นไร ฉันออกเอง" มันรีบพูดอย่างอารมณ์ดี
"ฉันยิ่งไม่เอาใหญ่" ผมรีบปฏิเสธเช่นกัน "นายอยากใส่รองเท้าเดินกลับก็ใส่ไปเถอะ ฉันไม่โกรธแล้ว" จริงๆ ประโยคหลังผมพูดไปอย่างงั้นเองแหละ
"ทำไมล่ะ" ดูมันถามเข้า
"ฉันไม่มีเงินใช้ให้นายทีหลังน่ะสิ" ก็เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมเพิ่งซื้อครีมพอกหน้ากับวิตามินบำรุงผิวแบบยกชุด หมดเงินจนนึกว่าตัวเองจะล้มละลายซะแล้ว
"ไม่มีก็ไม่ต้องคืน" มันพูดเสียงเรียบๆ "อาทิตย์หน้าวันเกิดนายพอดี ฉันซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดแล้วกัน" ผมนิ่ง... ไม่รู้จะเถียงอะไรดี จริงๆ ก็มีเหตุผลให้เถียงต่อล่ะครับ แต่ว่าตอนนี้เกิดอยากได้ขึ้นมาเหมือนกันแฮะ
"แหม... ในเมื่อนายอุตส่าห์พูดถึงขนาดนี้ล่ะก็ ฉันจะรับไว้ให้แล้วกันนะ" ผมหัวเราะเยาะมันในใจ ดีล่ะ ขอเอาคืนบ้างโดยการเลือกคู่ที่แพงที่สุดก็แล้วกัน มันจ่ายเงินเพื่อซื้อรองเท้าให้ผมอย่างไม่สะทกสะท้าน จนผมนึกแปลกใจ
"นายไปเอาเงินมาจากไหนตั้งเยอะ" ผมถามขึ้นในที่สุด ก็เห็นวันๆ มันเอาแต่เดินตามผมต้อยๆ ไม่เห็นจะทำการทำงานอะไรเลย
"ก็ค่าจ้างที่ทำงานห้องธุรการกับนายไง" หา... นี่ได้เยอะขนาดนี้เลยเหรอ... ทำไมผมไม่เห็นรู้สึกอย่างนั้นเลย หรือว่ามันไปยักยอกเงินเขามารึเปล่าเนี่ย... อึ๋ย
"ฉันไม่ใช่พวกทำเพื่อความงามจนหมดตัวเหมือนนายนี่" มันพูดยิ้มๆ ผมสะอึก... เห็นจะเรื่องนี้เรื่องเดียวกระมัง ที่เถียงใครไม่ออกเลย

แนะนำติชมได้ที่บอร์ดนิยายนะคะ...................
1