สงครามตำนานแห่งรัก
ตอน 2 ความรักหรือความแค้น
ตุ๊บ.... ตุ๊บ..... เสียงฝีเท้าที่วิ่งฝ่าความมืดโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
เสื้อของเขาขาดวิ่นไปหมดแล้ว ร่างกายก็โดนกิ่งไม้และหนามเกี่ยวจนเลือดไหลซิบๆ
แต่เหมือนไม่รู้สึกตัว ลาเลียสยังวิ่งตรงไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง
สมองของเขานึกถึงแต่เหตุการณ์เมื่อครู่ ฟารูสเจ้าเด็กอ่อนแอคนนั้นทำกับเขาได้!!!!
"ท่านลาเลียส!!!" เสียงอานูตะโกนเรียกเขา
นี่เขาวิ่งมาถึงบ้านโดยไม่ทันรู้ตัวเลยหรือนี่
"เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมเสื้อถึงขาดวิ่นแบบนั้น"
อานูพูดด้วยความตกใจ
"เดี๋ยวข้าจะไปเรียกท่านโอมามาดู"
"ไม่จำเป็น" ลาเลียสห้ามไว้
ยามนี้เขาไม่อยากจะพบหรือพูดกับใครทั้งนั้น พูดจบเขาก็เดินเข้าห้องไปโดยไม่ฟังเสียงเรียกของอานูอีก
ร่างกายเขาไม่ทรมานแล้ว ยาของโซเรลได้ผล เขาสงบสติอารมณ์แล้วก้มลงสังเกตตัวเอง
สภาพของเขาตอนนี้สมควรแล้วที่อานูเห็นจะตกใจ เสื้อขาดห้อยลงมากองอยู่ที่เอว
แถมเนื้อตัวก็มีแต่รอยกิ่งไม้ เขาปัดเศษใบไม้ออก แล้วในที่สุดก็ไปสะดุดอยู่ที่รอยๆหนึ่ง
รอยจูบ! ความโกรธของลาเลียสแล่นขึ้นมาอีก ความอับอายในตอนนั้นผุดขึ้นมาในสมอง
ศักดิ์ศรีของเขาเหมือนถูกย่ำยี เขาอยากจะฆ่ามันนัก.....ไอ้คนที่ทำลายศักดิ์ศรีของเขา.......ฟารูส
แดดยามบ่ายส่องประกายกับน้ำระยิบระยับ
สะท้อนแสงไปยังปราสาทสีขาวเล็กๆกลางน้ำหลังนั้นให้ดูโดนเด่นขึ้น
ปราสาทต้องห้าม สิบปีมาแล้วที่ปราสาทหลังนี้ถูกปิดตาย ปราสาทแห่งความรักที่พ่อสร้างให้แม่
ความรักของพ่อที่ทุกคนนับถือ ฟารูสมองปราสาทหลังนี้อย่างสะท้อนใจ
เขาพยายามค้นของมีค่าทุกอย่าง แม้แต่ในห้องของพ่อ แต่เขาก็หาลูกแก้ววิเศษที่ลาเลียสพูดถึงไม่เจอ
งานศพของพระราชาแมนนอนพึ่งผ่านพ้นไป เต็มไปด้วยความเศร้าโศกของชาวเมือง
งานฉลองกลายเป็นงานศพก็น่าเสียใจอยู่หรอก ตอนนี้เขากลายเป็นว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไปแล้ว
เหลือแต่รอรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเท่านั้น แต่ที่จริงคนดูแลทุกอย่างก็คือนาไนท์
เพราะตัวเขาเองก็ยังต้องศึกษาเรื่องต่างๆอีกมาก เวลาที่เขารู้สึกไม่สบายใจเขาจะมาที่นี่
มามองดูรูปของแม่ เจ้าหญิง ออร์เดเซีย เจ้าหญิงแห่งเผ่านารูก้า ความรักต่างเผ่าพันธุ์ของพ่อกับแม่
แม่ยอมตามพ่อขึ้นมาอยู่ที่อาณาจักรมานาลอค เหมือนปลาที่ยอมเสี่ยงตายกระโดดขึ้นมาบนบก
อาศัยอยู่ในโหลแก้วแสนสวยแต่ขาดอิสรภาพ
พ่อสร้างปราสาทหลังนี้ให้แม่ ข้างในปราสาทติดกลไกพิเศษมีน้ำไหลเวียนตลอดเวลา
แต่ความรักของพ่อกับแม่ก็อยู่ได้เพียงไม่กี่ปี แม่ตายหลังจากคลอดเขาไม่นาน
ปราสาทอนุสรณ์ความรักแห่งนี้จึงถูกปิดตายลง
'แกรก' เสียงดังฝ่าความเงียบขึ้นมา ฟารูสรู้สึกถึงไอเย็นของกระบี่ที่จี้อยู่ที่หลังของเขา
นี่เขามัวปล่อยใจจนประมาทขนาดนี้เลยหรือนี่!!!
"ถ้าข้าจะฆ่าเจ้าเจ้าตายเป็นสิบครั้งแล้ว"
เสียงทุ้มนุ่มไม่แสดงอารมณ์ไดๆพูดขึ้นมา
"แต่ข้าไม่อยากฆ่าคนข้างหลัง"
ว่าแล้วก็ชักกระบี่คืน ฟารูสหันไปสายตาทั้งสองคู่ประสานจ้องกันอยู่นาน
"เรามาคุยกันก่อนไม่ดีกว่าหรือ พ่อข้าฆ่าพ่อเจ้า
เจ้าฆ่าพ่อข้า ความแค้นของพวกเราน่าจะสิ้นสุดตรงนี้" ฟารูสพูดโดยไม่ละสายตา
"หึ ... หึ " สายตาลาเลียสวาวขึ้นมา
"ที่ข้าแค้นคือเรื่องที่เจ้าทำกับข้าต่างหาก ชักกระบี่ออกมา
ฟารูส" ลาเลียสตะคอกใส่พร้อมจู่โจมทันที บังคับให้ฟารูสต้องชักกระบี่ขึ้นป้องกัน
ในใจเขาก็นึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อวันก่อน ด้วยความโมโหทำให้เขาทำแบบนั้นกับลาเลียสรึเปล่า
ถ้าเขาไม่หยุดซะก่อนเขาก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าจะทำไปถึงไหน ความคิดของฟารูสชะงักไปแค่นั้น
เพราะกระบี่ของลาเลียสจู่โจมมาอย่างเร็ว เพลงกระบี่ของลาเลียสจะเน้นความรวดเร็วเป็นหลัก
ด้วยกระบี่ที่เรียวเล็กแหลมและเบาทำให้ใช้ท่าออกมาได้มากมายเหมาะกับผู้ชายรูปร่างผอมเพรียวแบบเขา
แต่สำหรับฟารูสร่างกายที่ค่อนข้างสูงใหญ่ทำให้ไม่ถนัดในการใช้กระบี่แบบรวดเร็ว
กระบี่ของลาเลียสเฉียดร่างกายเขาไปหลายแห่ง เขาจึงป้องกันส่วนสำคัญของร่างกายไว้ก่อน
นานๆครั้งจึงจะค่อยจู่โจมสักที ลาเลียสรู้สึกว่าเขาได้พบคู่มือที่แข็งแกร่งเข้าแล้ว
เขาจู่โจมเป็นสิบๆท่า ถึงแม้ฟารูสจะเอาแต่ป้องกัน แต่พอโจมตีกลับทีไรเขาก็แทบไม่สามารถป้องกันได้
ผ่านไปนานเกือบครึ่งชั่วโมงฝ่ายที่เสียเปรียบกลับเป็นลาเลียส เพราะเขาเอาแต่จู่โจมย่อมต้องเหนื่อยกว่าแน่นอน
"เจ้ามุ่งแต่จะเอาชนะ ยอมหักไม่ยอมงอ
แบบนี้แหละที่จะทำให้แพ้" ฟารูสพูดเตือนสติ แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนเอาน้ำมันราดเข้ากองไฟ
ลาเลียสจู่โจมเร็วขึ้น เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าเด็กอ่อนแอที่เขาเคยแกล้งเมื่อตอนเป็นเด็กจะแข็งแกร่งขนาดนี้
ตอนนั้นมันอ่อนแอจะตายข้างฝ่ายฟารูสเขารู้สึกสนุกกับการต่อสู้ครั้งนี้มากกว่า
หลังจากเขาป่วยเกือบตายเมื่อตอนเป็นเด็กเสด็จพ่อก็บังคับให้เขาฝึกวิชาต่างๆ
ทั้งกระบี่ ทั้งสู้มือเปล่า แทบไม่ให้เวลาเขาพักผ่อนเลย แผลจากการฝึกกระบี่ของเขาจะเรียกได้ว่ามากกว่าพวกทหารที่ออกรบประจำซะอีก
คู่มือของเขาในวังนี้ก็หาแทบไม่ได้แล้ว เมื่อมาเจอกับลาเลียสที่นับว่าเพลงกระบี่ยอดเยี่ยมเหมือนกันทำให้เขารู้สึกสนุกสนาน
เพลงกระบี่ของลาเลียสช้าลง คงเป็นเพราะโหมกำลังมาก ตอนนี้ฟารูสเริ่มเป็นฝ่ายจู่โจมบ้าง
เขาสังเกตว่าลาเลียสจะใช้กระบี่ท่าซ้ำเดิมแล้ว ถ้าเขาเดาสภาวะกระบี่ออกก็จะสามารถเอาชนะได้
สู้ไปอีกสักพักหนึ่งฟารูสก็เห็นช่องว่างที่จะจู่โจม "เคร้ง"
เขาปัดกระบี่ออกจากมือลาเลียสได้ การต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว
เขาเป็นฝ่ายชนะ!!! ฟารูสก้มลงมองลาเลียสที่คุกเข่าหอบหายใจอยู่บนพื้น
คนที่เขาเคยเห็นว่าเข้มแข็ง ตอนนี้แพ้เขาแล้ว เขาชนะ! ความรู้สึกของฟารูสเหมือนกับเด็กที่ได้ของเล่นถูกใจ
ตอนนี้ร่างกายเขาสูงใหญ่กว่าลาเลียส เมื่อเทียบกันลาเลียสเตี้ยกว่าเขาเกือบฟุตหนึ่ง
คนชนะย่อมมีสิทธิ์ในตัวคนแพ้สิ สำหรับนักรบ การพลาดพลั้งสักครั้งย่อมหมายถึงชีวิต
ถ้าไม่ตายก็กลายเป็นเชลย แน่นอนลาเลียสย่อมมีศักดิ์ศรีของนักรบ
"เจ้าแพ้........" ยังพูดไม่ทันจบลาเลียสก็ดีดตัวขึ้นมา
จับข้อมือเขาบิดไปข้างหลัง กระบี่หล่นจากมือตกไปในสระ การต่อสู้มือเปล่าเริ่มขึ้นแล้ว
เผ่านารูก้าจะมีจุดเด่นในเรื่องพลัง แต่ฟารูสก็เป็นลูกครึ่ง ดังนั้นเรื่องกำลังเขาก็ไม่ได้แพ้กันเลย
เพียงแต่ฟารูสไม่อยากทำให้หน้าสวยๆนั้นเป็นแผลเท่านั้นเอง แต่เรื่องอะไรจะยอมแพ้ละ
ทั้งสองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่นาน ฟารูสพุ่งเข้าชนลาเลียส ทั้งสองคนเซไปข้างหลัง
ลาเลียสรู้สึกเหมือนขาไม่มีที่หยั่ง ร่างเขาตกวูบลงพร้อมกับดึงฟารูสลงมาด้วย
ตูม เสียงน้ำแตกกระเซ็น การต่อสู้หยุดลงชั่วครู่
ทั้งสองคนมองหน้ากันงง
"เฮ้อ สู้เจ้าไม่ได้จริง นี่ข้าแพ้เจ้าจริงๆหรือนี่"
รอยยิ้มของลาเลียสปรากฏขึ้นครั้งแรก ฟารูสตะลึงมองอย่างหลงใหล นี่แหละที่เขาบอกว่าถ้าไม่ได้สู้กันก็ไม่ได้รู้จักกันอย่างถ่องแท้
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ ตอนนี้สารรูปทั้งสองคนดูไม่จืดเลย
เนื้อตัวมีแต่รอยฟกช้ำ ฟารูสมองหน้าลาเลียส คิดว่าจะไม่ให้มีแผลแล้วเชียว
เผลอต่อยไปจนได้ แต่ลาเลียสเหมือนไม่รู้สึก เมื่ออยู่ในน้ำเขารู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ
ความโกรธหายไปเมื่อเห็นว่ามีคู่มือที่พอสูสี
"จะ...เจ้าจะทำอะไรน่ะ" ฟารูสตกใจที่อยู่ๆก็เห็นลาเลียสถอดเสื้อออก
ผิวเนื้อที่ปรากฏต่อสายตาทำให้เขารู้สึกแปลกๆ
"ข้าจะล้างเนื้อล้างตัวสักหน่อย ใส่เสื้อผ้ามันเกะกะนี่นา
เหนื่อยจะตาย" พูดจบลาเลียสก็เดินไปตรงน้ำลึกโดยไม่แคร์สายตาของฟารูส
นี่เขาเป็นอะไรไป!!!
นั่นผู้ชายนะ !! ฟารูสพูดกับตัวเอง เขาพยายามหาข้อแก้ต่างที่บังคับจูบกับลาเลียสเมื่อวันก่อนว่าเป็นเพราะอารมณ์โมโหขาดสติ
ลาเลียสก็คงคิดอย่างนั้น แต่ตอนนี้สิ เขามีสติสมบูรณ์แต่เขากำลังจะเกิดอารมณ์นั้นอีกแล้ว
อยากสัมผัสอยากจูบ เขามองตามร่างของลาเลียส สวยจริงๆ เขาหลงรักผู้ชายเหรอเนี่ย!!!
"เจ้ามาอยู่ที่ปราสาทนี่กับข้าไหม"
ฟารูสหลุดปากพูดออกมา ลาเลียสหันขวับมามอง
"เอ่อ.....ข้าหมายถึงให้มาอยู่หาลูกแก้ววิเศษอะไรของเจ้าให้เจอก่อนน่ะ"
ฟารูสรีบพูดกลบเกลื่อน
"ถ้าจะมาข้าก็มาเอง แต่ข้อเสนอของเจ้าก็ดีเหมือนกัน"
ลาเลียสนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง
"ข้ายอมรับว่าแพ้เจ้า แต่ถ้าเจ้าทำกับข้าแบบวันก่อนอีกละก็......ข้าฆ่าเจ้าแน่"
ลาเลียสพูดอย่างเหี้ยมเกรียม ตอนนี้เองที่ฟารูสรู้สึกว่า ความรักของเขามันมีอุปสรรคแน่แล้ว
"เจ้าชายฟารูส เจ้าชายฟารูส"
เสียงเรียกของทหารดังเข้ามา
"อยู่ข้างในนั้นหรือเปล่าครับ ท่านนาไนท์เรียกตัวไปพบด่วน"
'อีกแล้ว ทำไมถึงใส่ใจกับข้านักนะ ปล่อยให้เป็นอิสระสักวันก็ไม่ได้'
ฟารูสบ่นอยู่ในใจ พอหันกลับไปอีกทีลาเลียสก็หายไปซะแล้ว ฟารูสจึงต้องจำใจเดินออกจากปราสาทไปตามเสียงเรียกนั้น
"มาแล้วหรือพะย่ะค่ะ เชิญนั่ง"
นาไนท์ผายมือไปทางเก้าอี้ตัวใหญ่ที่อยู่หัวโต๊ะ
"เรากำลังประชุมอยู่ ในฐานะที่เจ้าชายฟารูสทรงเป็นผู้นำ
เราจึงอยากให้ท่านรับรู้ด้วย" งานประชุมคราวนี้ตึงเครียดเป็นอย่างมาก
ฟารูสนั่งที่โต๊ะผู้นำก็จริง แต่ก็เหมือนไม้ประดับ นาไนท์ต่างหากคือผู้นำประชุมที่แท้จริง
พวกนายพลคนอื่นๆก็คงเห็นว่าฟารูสเป็นเพียงเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง
เขาไม่ชอบบรรยากาศ แบบนี้เลยจริงๆ
"สงคราม มันต้องทำสงครามเท่านั้น
ไม่มีการยอมกันอีกแล้ว" อัลเมอร์นายพลหัวรุนแรงตะโกนขึ้น "มันเข้ามาทำลายบรรยากาศงานฉลองของเรา
ลอบฆ่าพระราชาของเรา พวกเผ่านารูก้ามันไม่ควรอยู่แล้ว" เสียงฮือฮาดังขึ้นกลางที่ประชุม
ตอนนี้ทุกคนกำลังโกรธแค้นลาเลียสที่เข้ามาลอบปลงพระชนม์พระราชาแมนนอนผู้เป็นที่รัก
แต่บุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์จริงๆก็คือเขา แม่นมแฟรเซียก็เป็นลมล้มพับไปเสียก่อน
เขาเหมือนพูดไม่ได้ ถึงพูดไปก็ไม่มีใครยอมเชื่อ พระราชาแมนนอนเป็นคนก่อปัญหาทั้งหมดแล้วฆ่าตัวตายเอง
บอกแบบนี้ทุกคนได้หาว่าเขาบ้า ตอนที่พวกทหารเข้ามาในเหตุการณ์ กระบี่ของลาเลียสก็เปื้อนเลือดเห็นได้ชัด
"ข้าไม่เห็นด้วยหรอกนะเรื่องทำสงคราม
มีแต่การเสียเลือดเนื้อ คนของเราก็ต้องบาดเจ็บล้มตาย" ฟารูสขัดขึ้นมา
"ก็พวกเผ่านารูก้านั่นแหละที่ยกทัพมาโจมตีเราก่อน
ทั้งๆที่เราก็เป็นเพื่อนกันแท้ๆ" นายพลอัลเมอร์พูดขึ้นมา "อย่างเจ้าชายก็พูดได้สิ
เพราะท่านก็มีเชื้อสายเผ่านารูก้านี่นา ย่อมต้องเข้าข้างกันอยู่แล้ว"
ฟารูสรู้สึกปวดใจกับคำพูดนั้น ใช่สิ เขามีเชื้อสายเผ่านารูก้า
ตอนเขาเกิดทุกคนก็มีแต่ความยินดีที่มี เด็กที่มีสายเลือดสองเผ่าพันธุ์ในตัว
แต่เมื่อเวลาที่ขัดแย้งกันเขาก็กลายเป็นคนที่เข้ากับฝ่ายใดไม่ได้
เขารู้สึกเหมือนทุกคนรังเกียจเขาที่มีเชื้อสายเผ่านารูก้า ทั้งๆที่ลักษณะของเผ่านารู้ก้าที่อยู่ในตัวของเขาก็คือนัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลอย่างเดียว
โดยเฉพาะนายพลอัลเมอร์ดูจะไม่ชอบหน้าเขาเป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะลูกชายของเขาเสียชีวิตในการรบกับเผ่านารูก้าเมื่อปีก่อนก็ได้
"มีใครจะเสนอแนะความคิดอะไรอื่นๆอีกบ้าง"
เสียงนาไนท์ขัดขึ้นมา
"ที่จริงข้าเห็นด้วยกับท่านอัลเมอร์นะ
ถ้าเราไม่ทำอะไรซะบ้างเผ่านารูก้ามันก็ได้ใจใหญ่ ถึงขนาดปลงพระชนม์พระราชาเรายังเฉย
ประชาชนจะคิดยังไง" ท่านเสนาบดีฝ่ายๆอื่นต่างก็เห็นพ้องด้วย
"ใช่ ใช่"
"แต่ข้าไม่เห็นด้วยเด็ดขาด ถ้าท่านยังเห็นว่าข้าจะเป็นพระราชาองค์ต่อไป
ก็ควรฟังข้าบ้าง" ฟารูสพูดขึ้นมา
"แต่ความเห็นของที่ประชุม..........."
"ที่ประชุมก็ที่ประชุมสิ พวกท่านเห็นข้าเป็นหัวหลักหัวตอจัดการกันเองอยู่แล้ว
มีข้าไปเพื่ออะไรล่ะ" เจ้าชายฟารูสลุกขึ้นยืน "ข้าไม่ให้ทำสงคราม
" พูดจบฟารูสก็เดินปึงปังออกไป
" เฮ้อ นี่แหละน้าที่เขาว่ายังเด็ก
ไร้เหตุผล เรามาฟังความเห็นของท่านดีกว่า ท่านนาไนท์" นายพลอัลเมอร์
พูดขึ้นมา
"เริ่มการประชุมต่อ" นาไนท์กล่าวขึ้นมา
การประชุมดำเนินต่อไป แต่ใครจะเห็นรอยยิ้มประหลาด ที่ปรากฏบนมุมปากของนาไนท์บ้าง
"ท่านลาเลียสครับ ท่านลาเลียส ดูนี่สิ"
อานูพูดพร้อมหยิบป้ายประกาศที่ยับยู่ยี่ใบหนึ่งขึ้นมา ลาเลียสมองดูกระดาษแผ่นนั้น
ประกาศจับบุคคลผู้ลอบปลงพระชนม์พระราชาแมนนอน
รูปวาดในใบประกาศมีส่วนคล้ายเขาอยู่มาก
ตอนนี้ถูกแปะไปทั่วเมืองแล้ว พวกทหารคงต้องคุมเข้มตรงด่านตรวจแน่
เขาอาจหมดโอกาสที่จะหนีออกนอกเมือง ดวงตาสีเขียวผิวสีเข้มก็เป็นจุดเด่นพออยู่แล้ว
เขาจะต้องหาที่ซ่อนตัวที่ลึกลับกว่านี้ พวกทหารต้องค้นบ้านแน่ๆ
'ที่ที่อันตรายที่สุด คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด'
ลาเลียสนึกถึงปราสาทน้ำสีขาวที่ปิดตายในพระราชวังขึ้นมา ที่นั่นดูท่าจะเหมาะกับเขาที่สุด
ยาของโซเรลก็เหลืออีกไม่กี่เม็ด ถ้าเลือกได้ก็คงต้องเก็บยาไว้ก่อน
ในเมื่อตัดสินใจได้แล้ว ลาเลียสจึงเดินเข้าไปในบ้าน
"ข้าทนไม่ไหวแล้ว" นายพลอัลเมอร์ตะโกนออกมา
เดินไปเดินมาในห้องเหมือนหนูติดจั่น
"ทนไม่ไหวเรื่องอะไรงั้นรึ"
"ทำไมเจ้าชายฟารูสไม่ทำสงครามสักที
ปล่อยให้มันฆ่าแกงเราทำไม ในเมื่อพวกนายทหารเกือบทั้งหมดก็เห็นด้วยอยู่แล้ว"
"เจ้าชายฟารูสยังเด็กเกินไปกระมัง....บางทีการตัดสินใจอะไรให้เด็ดขาดอาจจะขึ้นอยู่กับท่านอัลเมอร์ก็ได้"
"ท่านจะบ้าหรือไง ข้าไม่ใช่ผู้นำซะหน่อย
จะมีสิทธิ์ตัดสินใจอย่างนั้นได้อย่างไร ท่านนาไนท์" นายพลอัลเมอร์พูดด้วยความสงสัย
"ท่านก็ทำตัวให้เป็นผู้นำซะสิ........................"
สายตาเจ้าเล่ห์ของนาไนท์มองขึ้นมา
"ท่านหมายความว่า.....!!"