|
สงครามตำนานแห่งรัก
ตอนที่ 13 คำสัญญา
เมื่อครั้งที่โลกยังถูกปกครองไปด้วยมนุษย์สามเผ่าพันธุ์
คือเผ่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่ในน้ำ เผ่ามนุษย์เดินดินธรรมดา และ เผ่ามนุษย์มีปีก
เผ่ามนุษย์นั้นเป็นเผ่าที่มีประชากรมากที่สุดแต่ก็เป็นเผ่าที่อ่อนแอที่สุดพวกเขารวมกลุ่มกันขึ้นมาตั้งบ้านเมืองอาศัยอยู่ตามที่ราบ
เพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ จนกระตั้งตั้งอาณาจักรของเผ่ามนุษย์ขึ้นมาเรียกว่า
"อาณาจักรมานาล็อค" และด้วยความเป็นมนุษย์เดินดินผู้อ่อนแอ
พวกเขาจึงยกย่องมนุษย์มีปีกเสมือนเป็นเทวดา เผ่ามนุษย์มีปีกเป็นเผ่าที่อาศัยอยู่ตามยอดเขา
มีอายุยืนยาวกว่าเผ่ามนุษย์หลายเท่าและไม่ค่อยชอบปรากฎตัวออกมาให้คนอื่นเห็นเท่าไหร่
พวกเขาจึงไม่ค่อยจะมีบทบาทในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ จนกระทั่งถูกลืมเลือนไปทิ้งไว้แต่คำเรียกหาว่า
"มนุษย์เผ่าเวหา" ส่วนฝ่ายเผ่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่ในน้ำนั้นจะเรียกขานตัวเองว่า
"เผ่านารูก้า" ซึ่งจะกล่าวถึงรายละเอียดในเรื่องต่อไป
งานประจำปีของเผ่านารูก้ากับอาณาจักรมานาล็อคดำเนินมาได้เจ็ดปีแล้ว
..ถึงแม้เจ้าหญิงออเดรเซียเจ้าหญิงแห่งเผ่านารูก้าพระชายาของพระราชาแมนนอนจะไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็ตาม
พระราชาแมนนอนก็ยังคงติดต่อสัมพันธไมตรีกับเผ่านารูก้าเหมือนเดิม
สิ่งที่เจ้าหญิงออเดรเซียทรงหลงเหลือไว้ก็คือ เด็กน้อยที่สืบเชื้อสายของสองเผ่าพันธุ์
เจ้าชายฟารูส วันนี้เป็นวันที่ขบวนของพระราชาแมนนอนกำลังจะเดินทางกลับ
ทุกคนในเผ่านารูก้าต่างก็เตรียมพร้อมสำหรับงานรื่นเริงในคืนสุดท้ายเต็มที่
"ข้าอยากจะเข้าไปหาท่านพ่อนี่"
เสียงเล็กๆดังขึ้นที่หน้าประตูใหญ่ของห้องโถง
"ตอนนี้ท่านพ่อของท่านลาเลียสกำลังประชุมเตรียมงานอยู่ครับ
ท่านบอกให้ท่านลาเลียสออกไปเล่นข้างนอกก่อน" ทหารยามที่เฝ้าหน้าห้องบอกกับเด็กน้อยน่าตาน่ารักอายุประมาณสิบขวบข้างหน้า
"ทำไม เห็นข้าเป็นเด็กจะทำเรื่องยุ่งหรือไง"
ลาเลียสตะโกนอย่างไม่พอใจ
"อีกไม่นานข้าก็จะสิบขวบแล้วนะ"
ลาเลียสโวยวายอยู่หน้าห้องแต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ จนในที่สุดเขาเดินหน้ามุ่ยกระโดดลงสระน้ำที่อยู่หน้าบ้านอย่างอารมณ์เสีย
บ้านเมืองของเผ่านารูก้านั้นจะตั้งอยู่บนเกาะใจกลางทะเลสาบนานาเรเซีย
ซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่มาก ชนเผ่านารูก้านั้นมีร่างกายแข็งแรงกว่ามนุษย์ธรรมดาแต่ก็มีจุดอ่อนที่สำคัญก็คือไม่สามารถจะอาศัยอยู่บนบกได้
พวกเขาจะต้องแช่น้ำวันหนึ่งๆไม่ต่ำกว่าสิบสองชั่วโมง ถ้าร่างกายไม่ถูกน้ำพวกเขาจะต้องทรมานกับการที่ร่างกายแห้งแตกเลือดไหลจากร่างจนตาย
แต่ที่โชคดีก็คือเผ่านารูก้ามีของวิเศษคือ มุกวารี ซึ่งวางอยู่ใจกลางของพระราชวัง
มุกวารีนี้จะถูกวางแช่น้ำไว้ตลอดเวลา อำนาจวิเศษของมุกนี้คือทำให้น้ำที่ไหลผ่านกลายเป็นน้ำบริสุทธิ์
และถ้าคนในเผ่าได้ดื่มน้ำที่ไหนผ่านมุกวารีนี้ก็จะสามารถอยู่บนบกได้นานกว่าปกติ
ลาเลียสดำลึกลงไปเกือบถึงก้นทะเลสาบ เวลาที่เขาไม่มีอะไรทำหรือโมโหใครมาเขาก็มักจะดำน้ำเล่น
เขาว่ายทะลุออกมาจากอาณาเขตของบ้านเขาจนเกือบจะถึงเนินดินริมทะเลสาบ
ที่ตรงเนินดินแห่งนี้จะมีถ้ำเล็กๆซึ่งลาเลียสได้ซ่อนหีบสมบัติเขาเอาไว้
ในหีบนี้เขาจะใส่หินสีสวยๆที่เก็บมาจากก้นทะเลสาบและก็ของแปลกๆที่เขางมขึ้นมาได้
ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกเครื่องประดับ หรือเงินของพวกเผ่ามนุษย์ตอนนี้อารมณ์ของลาเลียสชักเริ่มจะดีขึ้น
เพราะเขาดำน้ำลงไปพบหอยคาปรีหลายสิบตัวซึ่งน้อยครั้งนักจะได้พบ หอยเหล่านี้บางตัวข้างในจะมีหินสีสวยๆที่ลาเลียสชอบสะสมอยู่
เขาดำลงไปเก็บหอยขึ้นมาวางไว้บนหาด ขณะที่กำลังจะดำลงไปเก็บอีกสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างเล็กๆร่างหนึ่งกำลังเดินตรงมา
"กำลังทำอะไรอยู่นะ" ร่างเล็กวิ่งเข้ามาหาเขาด้วยความอยากรู้
"ว่ายน้ำอยู่" ลาเลียสตอบแบบขอไปทีเพราะรู้สึกโมโหที่ถูกขัดจังหวะ
เขาสังเกตร่างเล็กๆนั้น กะดูคงอายุประมาณหกเจ็ดขวบ หน้าตาน่ารักทีเดียว
ผมสีดำแบบพวกมนุษย์แต่มีนัยน์ตาสีฟ้าครามเหมือนเขา ร่างนั้นยิ้มให้
"เก่งจัง เจ้าโตกว่าข้าไม่กี่ปีเอง
ว่ายน้ำยังกะปลาแนะ ข้าซะอีกว่ายไม่เห็นได้เลย" ร่างนั้นเชิดปากขึ้นน้อยๆ
"เจ้าว่ายน้ำไม่เป็นเหรอ
..ฮ่า ฮ่า
ฮ่า น่าอายจะตาย" ลาเลียสหัวเราะประหลาดใจ เพราะเขาไม่เคยรู้จักคนที่บอกว่า
"ว่ายน้ำไม่เป็น" มาก่อน เขาขำจนน้ำตาไหล จนกระทั่งเด็กน้อยนั่นทำท่าจะร้องไห้
"น่าอายตรงไหน
..ก็ไม่เคยมีใครสอนข้านี่
"
น้ำตาเริ่มไหลลงมาตามแก้ม จนลาเลียสเริ่มรู้สึกตัว หยุดหัวเราะ "เจ้าเป็นมนุษย์งั้นเหรอ
แต่ข้าไม่เคยเห็นมนุษย์ที่มีสีตาเหมือนข้ามาก่อนเลย"
"เปล่า ข้าเป็นลูกครึ่งน่ะ พ่อบอกว่าแม่ข้าเป็นคนเผ่า..นารู
.นารูก้าอะไรนี่แหละ"
เด็กน้อยพูดเสียงแจ้วๆ
"งั้นเจ้าน่าจะว่ายน้ำได้นะ คนเผ่านารูก้าว่ายน้ำเก่งทุกคนแหละ"
ลาเลียสกวักมือชวน
"ไม่เอา ไม่กล้า" เด็กน้อยยืนอยู่ริมหาดแต่ไม่ยอมเดินไป
ลาเลียสจึงไม่สนใจหันไปดำน้ำต่อ คราวนี้เขาดำลงไปค่อนข้างนานทีเดียว
พอโผล่ขึ้นมาสองมือก็เต็มไปด้วยหอยคาปรี เขาวางลงตรงริมหาด เงยหน้ามองก็เห็นเด็กนั้นยืนอยู่ที่เดิมจ้องเขาตาเป๋งทีเดียว
ทำท่าจะร้องไห้
"ข้านึกว่าเจ้าจะไม่โผล่ขึ้นมาซะแล้ว"
เด็กน้อยพูดเสียงสั่นๆ แต่แป๊บเดียวก็ถูกหอยในมือเขาดึงความสนใจไป
"นั่นอะไรน่ะ"
"หอยไง" ลาเลียสตอบพร้อมกับหยิบมีดที่เหน็บอยู่กับกางเกงออกมา
เขาเริ่มลงมือแกะเปลือกหอย
"ทำอะไรเหรอ" เด็กน้อยเอียงคอถามเขา
แต่ยังไม่กล้าเข้าใกล้ ลาเลียสยิ้มให้ พร้อมกับเปิดเปลือกหอยหยิบหินสีสวยๆออกมาโชว์
เด็กน้อยมองตาไม่กระพริบทีเดียว
"นี่ไง ดูสิสวยไหม" ลาเลียสถาม
"สวยจัง.." เด็กน้อยอยากรู้อยากเห็นตามประสา
ลาเลียสจึงบอกว่า "เข้ามาดูใกล้ๆสิ" เด็กน้อยเริ่มเดินเข้าไปหาลาเลียส
จนในที่สุดก็คุกเข่าลงมองลาเลียสที่กำลังแกะหอยอยู่ใกล้ๆกับริมน้ำ
แต่ทันใดนั้นเอง ลาเลียสก็ฉุดแขนเด็กจนตกลงไปในน้ำ
"นี่ไง เวลาสอนเด็กว่ายน้ำไม่เป็นต้องทำอย่างนี้"
ลาเลียสหัวเราะ พร้อมมองเด็กน้อยนั่นตะกายน้ำอยู่ "แกว่งแขนหน่อยสิ
จะได้ไปข้างหน้า"ด้วยความตกใจที่จู่ๆก็ตกน้ำ และขาก็เหยียบไม่ถึงพื้น
เขาตะเกียกตะกายได้สักพักร่างเล็กๆนั้นเริ่มจมลงใต้ทะเลสาบลาเลียสเห็นท่าชักจะไม่ดี
จึงรีบดำน้ำลงไปอุ้มร่างที่ไม่ได้สตินั้นแล้วลากขึ้นมาบนฝั่ง
"เฮ้
.." ลาเลียสเอามือตบหน้าเล็กเบาๆ
แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าร่างนั้นจะฟื้น เขาเริ่มกังวลแล้ว เขาเองก็เป็นเด็กแค่สิบขวบ
รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าพอสมควร
"จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย" ลาเลียสตะโกนในใจ
"ผายปอด" วิธีที่แวบเข้ามาในหัวเขาพอดี
"พวกมนุษย์เวลาจมน้ำชอบทำกันนี่นา"
ลาเลียสสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ง้างปากของร่างเล็กนั้นให้อ้าออก เขาก้มหน้าลงแล้วก็กระทำตามวิธีที่เขาเคยรู้เคยเห็นมาจนในที่สุดนั้นร่างเล็กเริ่มสำลักเอาน้ำที่ค้างอยู่ในปอดออกมา
แล้วเริ่มได้สติ ลาเลียสถอนหายใจเฮือกใหญ่
"แค๊ก
แค๊ก
." ร่างเล็กนั้นไออยู่สักพัก
จนเริ่มจะเป็นปรกติ เขาเงยหน้ามองเด็กที่แก่กว่า
"เจ้าแกล้งข้านี่
." ร่างเล็กอุทธรณ์พร้อมน้ำตา
จนลาเลียสเริ่มรู้สึกผิด
"ขอโทษ
ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะตกใจขนาดนั้น
เห็นเจ้าบอกว่าเป็นลูกครึ่งเผ่าข้าด้วยนี่ น่าจะว่ายน้ำได้"
"ร่างกายข้าไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว
..นี่เป็นปีแรกที่ข้าสามารถเดินทางมาที่นี่พร้อมกับเสด็จพ่อได้"
"
เสด็จพ่อ
.หรือว่าเจ้าคือเจ้าชายฟารูส"
ลาเลียสชักรู้สึกตกใจ เขาน่าจะรู้ตั้งนานแล้วเด็กลูกครึ่งเผ่ามนุษย์
..
"ใช่แล้ว เจ้ารู้ได้ไงนะ" เด็กน้อยพูดอย่างประหลาดใจ
"ข้าชื่อฟารูส"
"เจ้าอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครนะ"
ลาเลียสขอร้อง ถ้าเกิดเรื่องนี้รู้ถึงหูพ่อเขาละก็ เขาต้องโดนพ่อทำโทษอย่างแรงแน่
แกล้งใครไม่แกล้งไปแกล้งเจ้าชายซะได้ พ่อเขาก็เป็นแค่เพียงนายพลเท่านั้น
ถึงตำแหน่งจะใหญ่แต่ยังไงก็ต้องยังเกรงใจ
.
"อือ
.ไม่บอกหรอก เพราะถ้าบอกทุกคนก็รู้ว่าข้าแอบหนีออกมาเที่ยวเล่นสิ"
เด็กน้อยยิ้มร่าเริง ป่านนี้แม่นมเฟรเซียคงตามหาเขาให้วุ่นแล้ว
"เจ้าชื่ออะไรน่ะ" จู่ๆเจ้าชายฟารูสก็ถามขึ้นมา
เขาเริ่มอยากทำความรู้จักกับเด็กผิวสีคล้ำอายุมากกว่าตรงหน้าแล้ว
"ลาเลียส
.ข้าเป็นลูกชายของนายพลแกมไมท์แห่งเผ่านารู้ก้า"
"เจ้าดูสวยมากเลย
." เสียงใสๆนั้นพูดออกมา
ลาเลียสชักตกใจ อย่าเขานะหรือ 'สวย'
"ข้าน่ะ ไม่เคยได้วิ่งเล่นหรือได้ว่ายน้ำเหมือนเจ้าเลย
พอจะวิ่งทีไรก็มีแต่คนมาห้าม บอกว่าเดี๋ยวจะไม่สบาย เดี๋ยวจะเป็นลม"
ร่างเล็กพูดอย่างอิจฉา ลาเลียสชักรู้สึกขำ ที่บอกว่าเขาสวยนี่คงหมายความว่าเขาดูน่าอิจฉาที่ได้วิ่งเล่นตามใจชอบใช่ไหมเนี่ย
ลาเลียสสังเกตร่างเล็กตรงหน้า ร่างกายค่อนข้างบอบบาง ตัวค่อนข้างเล็กกว่าเด็กวัยเดียวกัน
ลาเลียสซะอีกสูงใหญ่เกินอายุ เมื่อยืนเทียบกันทั้งสองคนดูเหมือนอายุห่างกันหลายปี
"นี่ เจ้ารอตรงนี้เดี๋ยวนะ"
พูดไม่ทันจบลาเลียสก็กระโดดลงน้ำ วิ่งอ้อมไปที่เนินดิน อีกสักพักก็กลับมาพร้อมกับหีบเล็กๆใบหนึ่ง
เขาเปิดหีบเล็กๆที่ข้างในใส่ของมีค่าของเขาให้กับฟารูสดู
"สวยไหมละ นี่ข้าเก็บสะสมมาเองทั้งหมดเลยนะ
ข้าให้เจ้า" ลาเลียสยื่นหีบนั้นให้ฟารูส
"เจ้าจะให้ข้าจริงๆเหรอ
" ฟารูสถามอย่างแปลกใจ
เขาเองก็ชอบหินสีสวยๆนี่เหมือนกัน หินแบบนี้พ่อของเขาก็มี แต่เสด็จพ่อไม่ใช่ได้มาฟรีๆต้องใช้เงินไปแลกถึงได้มันมา
"ข้าไม่มีเงินให้เจ้าหรอกนะ"
"ก็ข้าไม่ได้บอกจะเอาเงินเจ้านี่
..ข้าให้เจ้าเพราะเจ้าเป็นเพื่อนข้าต่างหาก"
ลาเลียสฉุนนิดๆ
"จริงเหรอ" เด็กน้อยยิ้มอย่างดีใจ
เขากระโดดขึ้นไปหอมแก้มลาเลียส พร้อมบอกว่า
"ขอบคุณนะ"
"เฮ้ย.!!!" ลาเลียสอุทานอย่างตกใจ
ที่อยู่ๆร่างเล็กก็หอมแก้มเขา
"งั้นข้าจะกลับก่อนนะ เดี๋ยวแม่นมจะตามหาข้าให้วุ่น"
ร่างเล็กวิ่งออกไปพร้อมกับอุ้มหีบเล็กๆที่ลาเลียสให้ไปด้วย ปล่อยให้ลาเลียสยืนตะลึงอยู่คนเดียวริมหาด
"ไว้พบกันใหม่ปีหน้านะ" ลาเลียสได้ยินเสียงตะโกนแว่วๆดังมา
แต่ปีหน้าที่รอคอยนั้นกลับเกิดเหตุการณ์ที่ใครๆก็ไม่คาดคิดขึ้นมา
ฟารูสก้มลงมองหีบที่เขาได้มาเมื่อตอนเป็นเด็ก
.แสงจันทร์ส่องกระทบหินที่อยู่ข้างในเป็นประกายระยิบระยับ
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าหินสีสวยๆที่อยู่ข้างในนี่ก็คือ ไข่มุก สำหรับลาเลียสที่มอบหินนี่ให้เขาในตอนนั้น
คงไม่เคยรู้มาก่อนว่าหินนี่สำหรับเผ่ามนุษย์แล้วนับเป็นของมีค่ามาก
แต่ถึงแม้มันจะไม่มีค่าอะไรเลย กับฟารูสมันคือ "ค่าแห่งมิตรภาพ"
ที่ได้รับมาในตอนเด็กต่างหาก
"อืม
.." ร่างของคนที่อยู่ข้างๆพลิกตัวขึ้นมา
เขาอาจจะทำเสียงดังจนร่างข้างๆตื่นขึ้นมาก็ได้ "ทำอะไรนะ"
ร่างนั้นลุกขึ้นมาถาม
"ข้ากำลังดูหินที่เจ้าให้มาไงล่ะ"
ฟารูสตอบพร้อมก้มลงไปจูบร่างนั้นเบา
"เจ้ายังเก็บไว้อีกเหรอเนี่ย.."
ลาเลียสถามอย่างแปลกใจ ตอนนี้เขาเริ่มตาสว่างแล้ว เขาเริ่มนึกไปถึงเจ้าเด็กตัวกระเปี๊ยกที่ทำอะไรก็ไม่เป็น
แถมถูกเขาแกล้งจนตกน้ำอีก
.หลังจากวันที่ลาเลียสเดินทางกลับเผ่านารูก้าเพื่อนำมุกวารีกลับไปที่เดิม
เขาพยายามจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกคนฟังแต่ถึงกระนั้นก็ตาม
ความบาดหมางที่เคยมีต่อกันมาหลายสิบปีก็ไม่ใช่จะสลายลงไปภายในวันเดียวได้
เขาต้องจัดการสะสางเรื่องทั้งหมดเป็นเวลาหลายปี จนกว่าทั้งสองเผ่าค่อนข้างจะมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน
ตอนนี้ลาเลียสเดินทางมาอาณาจักรมานาล็อคในฐานะ ฑูตเจริญสัมพันธไมตรี
เพราะทั้งเผ่ามีแต่เขาคนเดียวที่สามารถอยู่บนบกได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
"ข้าดีใจที่มีวันนี้นะ ดีใจที่เจ้ากลับมา"
ฟารูสพึมพำขึ้น
"ฮึ ข้าไม่เห็นดีใจเลย เจ้าเด็กตัวเล็กๆน่ารักไหงกลายเป็นเด็กตัวเบ้อเริ่มเทิ่มก็ไม่รู้
ความน่ารักไม่รู้หายไปไหนหมดแล้ว"
"แต่สำหรับข้าเจ้ายังสวยอยู่เหมือนเดิมนะ"
ฟารูสพูดพร้อมกับพลิกตัวทับร่างเล็กกว่า เขาซุกไซร้ใบหน้าลงไปที่ซอกคอ
"ฮะ..ๆ จักกะจี้น่า เจ้าอย่าเล่นพิเรนสิ"
ลาเลียสหัวเราะอย่างหยุดไม่ได้
"ข้ารักเจ้านะ ลาเลียส"
"ข้าก็รักเจ้า
.." ฟารูสตอบพร้อมกับอ้าปากรับจูบอันดูดดื่ม
ร่างทั้งสองกอดก่ายกันอยู่ในความมืด จนกระทั่งรุ่งเช้า แถมระหว่างที่กำลังเคลิ้มลาเลียสได้ยินเสียงฟารูสกระซิบใกล้ๆหูว่า
"ถ้าคราวนี้เจ้าหมดสติไปละก็ข้าจะเป็นฝ่ายผายปอดให้เจ้าเอง
"
- จบบริบูรณ์ -
|
|
|