01      02      03      04      05      06      07      08       09       10       11       12       13       14       15       16      17
Peebee

สงครามตำนานแห่งรัก

ตอนที่ 13 คำสัญญา

เมื่อครั้งที่โลกยังถูกปกครองไปด้วยมนุษย์สามเผ่าพันธุ์ คือเผ่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่ในน้ำ เผ่ามนุษย์เดินดินธรรมดา และ เผ่ามนุษย์มีปีก เผ่ามนุษย์นั้นเป็นเผ่าที่มีประชากรมากที่สุดแต่ก็เป็นเผ่าที่อ่อนแอที่สุดพวกเขารวมกลุ่มกันขึ้นมาตั้งบ้านเมืองอาศัยอยู่ตามที่ราบ เพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ จนกระตั้งตั้งอาณาจักรของเผ่ามนุษย์ขึ้นมาเรียกว่า "อาณาจักรมานาล็อค" และด้วยความเป็นมนุษย์เดินดินผู้อ่อนแอ พวกเขาจึงยกย่องมนุษย์มีปีกเสมือนเป็นเทวดา เผ่ามนุษย์มีปีกเป็นเผ่าที่อาศัยอยู่ตามยอดเขา มีอายุยืนยาวกว่าเผ่ามนุษย์หลายเท่าและไม่ค่อยชอบปรากฎตัวออกมาให้คนอื่นเห็นเท่าไหร่ พวกเขาจึงไม่ค่อยจะมีบทบาทในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ จนกระทั่งถูกลืมเลือนไปทิ้งไว้แต่คำเรียกหาว่า "มนุษย์เผ่าเวหา" ส่วนฝ่ายเผ่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่ในน้ำนั้นจะเรียกขานตัวเองว่า "เผ่านารูก้า" ซึ่งจะกล่าวถึงรายละเอียดในเรื่องต่อไป
งานประจำปีของเผ่านารูก้ากับอาณาจักรมานาล็อคดำเนินมาได้เจ็ดปีแล้ว…..ถึงแม้เจ้าหญิงออเดรเซียเจ้าหญิงแห่งเผ่านารูก้าพระชายาของพระราชาแมนนอนจะไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็ตาม
พระราชาแมนนอนก็ยังคงติดต่อสัมพันธไมตรีกับเผ่านารูก้าเหมือนเดิม สิ่งที่เจ้าหญิงออเดรเซียทรงหลงเหลือไว้ก็คือ เด็กน้อยที่สืบเชื้อสายของสองเผ่าพันธุ์ เจ้าชายฟารูส วันนี้เป็นวันที่ขบวนของพระราชาแมนนอนกำลังจะเดินทางกลับ ทุกคนในเผ่านารูก้าต่างก็เตรียมพร้อมสำหรับงานรื่นเริงในคืนสุดท้ายเต็มที่
"ข้าอยากจะเข้าไปหาท่านพ่อนี่" เสียงเล็กๆดังขึ้นที่หน้าประตูใหญ่ของห้องโถง
"ตอนนี้ท่านพ่อของท่านลาเลียสกำลังประชุมเตรียมงานอยู่ครับ ท่านบอกให้ท่านลาเลียสออกไปเล่นข้างนอกก่อน" ทหารยามที่เฝ้าหน้าห้องบอกกับเด็กน้อยน่าตาน่ารักอายุประมาณสิบขวบข้างหน้า
"ทำไม เห็นข้าเป็นเด็กจะทำเรื่องยุ่งหรือไง" ลาเลียสตะโกนอย่างไม่พอใจ
"อีกไม่นานข้าก็จะสิบขวบแล้วนะ" ลาเลียสโวยวายอยู่หน้าห้องแต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ จนในที่สุดเขาเดินหน้ามุ่ยกระโดดลงสระน้ำที่อยู่หน้าบ้านอย่างอารมณ์เสีย บ้านเมืองของเผ่านารูก้านั้นจะตั้งอยู่บนเกาะใจกลางทะเลสาบนานาเรเซีย ซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่มาก ชนเผ่านารูก้านั้นมีร่างกายแข็งแรงกว่ามนุษย์ธรรมดาแต่ก็มีจุดอ่อนที่สำคัญก็คือไม่สามารถจะอาศัยอยู่บนบกได้ พวกเขาจะต้องแช่น้ำวันหนึ่งๆไม่ต่ำกว่าสิบสองชั่วโมง ถ้าร่างกายไม่ถูกน้ำพวกเขาจะต้องทรมานกับการที่ร่างกายแห้งแตกเลือดไหลจากร่างจนตาย แต่ที่โชคดีก็คือเผ่านารูก้ามีของวิเศษคือ มุกวารี ซึ่งวางอยู่ใจกลางของพระราชวัง มุกวารีนี้จะถูกวางแช่น้ำไว้ตลอดเวลา อำนาจวิเศษของมุกนี้คือทำให้น้ำที่ไหลผ่านกลายเป็นน้ำบริสุทธิ์ และถ้าคนในเผ่าได้ดื่มน้ำที่ไหนผ่านมุกวารีนี้ก็จะสามารถอยู่บนบกได้นานกว่าปกติ ลาเลียสดำลึกลงไปเกือบถึงก้นทะเลสาบ เวลาที่เขาไม่มีอะไรทำหรือโมโหใครมาเขาก็มักจะดำน้ำเล่น เขาว่ายทะลุออกมาจากอาณาเขตของบ้านเขาจนเกือบจะถึงเนินดินริมทะเลสาบ ที่ตรงเนินดินแห่งนี้จะมีถ้ำเล็กๆซึ่งลาเลียสได้ซ่อนหีบสมบัติเขาเอาไว้ ในหีบนี้เขาจะใส่หินสีสวยๆที่เก็บมาจากก้นทะเลสาบและก็ของแปลกๆที่เขางมขึ้นมาได้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกเครื่องประดับ หรือเงินของพวกเผ่ามนุษย์ตอนนี้อารมณ์ของลาเลียสชักเริ่มจะดีขึ้น เพราะเขาดำน้ำลงไปพบหอยคาปรีหลายสิบตัวซึ่งน้อยครั้งนักจะได้พบ หอยเหล่านี้บางตัวข้างในจะมีหินสีสวยๆที่ลาเลียสชอบสะสมอยู่ เขาดำลงไปเก็บหอยขึ้นมาวางไว้บนหาด ขณะที่กำลังจะดำลงไปเก็บอีกสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างเล็กๆร่างหนึ่งกำลังเดินตรงมา
"กำลังทำอะไรอยู่นะ" ร่างเล็กวิ่งเข้ามาหาเขาด้วยความอยากรู้
"ว่ายน้ำอยู่" ลาเลียสตอบแบบขอไปทีเพราะรู้สึกโมโหที่ถูกขัดจังหวะ เขาสังเกตร่างเล็กๆนั้น กะดูคงอายุประมาณหกเจ็ดขวบ หน้าตาน่ารักทีเดียว ผมสีดำแบบพวกมนุษย์แต่มีนัยน์ตาสีฟ้าครามเหมือนเขา ร่างนั้นยิ้มให้
"เก่งจัง เจ้าโตกว่าข้าไม่กี่ปีเอง ว่ายน้ำยังกะปลาแนะ ข้าซะอีกว่ายไม่เห็นได้เลย" ร่างนั้นเชิดปากขึ้นน้อยๆ
"เจ้าว่ายน้ำไม่เป็นเหรอ…..ฮ่า ฮ่า ฮ่า น่าอายจะตาย" ลาเลียสหัวเราะประหลาดใจ เพราะเขาไม่เคยรู้จักคนที่บอกว่า "ว่ายน้ำไม่เป็น" มาก่อน เขาขำจนน้ำตาไหล จนกระทั่งเด็กน้อยนั่นทำท่าจะร้องไห้
"น่าอายตรงไหน…..ก็ไม่เคยมีใครสอนข้านี่…" น้ำตาเริ่มไหลลงมาตามแก้ม จนลาเลียสเริ่มรู้สึกตัว หยุดหัวเราะ "เจ้าเป็นมนุษย์งั้นเหรอ แต่ข้าไม่เคยเห็นมนุษย์ที่มีสีตาเหมือนข้ามาก่อนเลย"
"เปล่า ข้าเป็นลูกครึ่งน่ะ พ่อบอกว่าแม่ข้าเป็นคนเผ่า..นารู….นารูก้าอะไรนี่แหละ" เด็กน้อยพูดเสียงแจ้วๆ
"งั้นเจ้าน่าจะว่ายน้ำได้นะ คนเผ่านารูก้าว่ายน้ำเก่งทุกคนแหละ" ลาเลียสกวักมือชวน
"ไม่เอา ไม่กล้า" เด็กน้อยยืนอยู่ริมหาดแต่ไม่ยอมเดินไป ลาเลียสจึงไม่สนใจหันไปดำน้ำต่อ คราวนี้เขาดำลงไปค่อนข้างนานทีเดียว พอโผล่ขึ้นมาสองมือก็เต็มไปด้วยหอยคาปรี เขาวางลงตรงริมหาด เงยหน้ามองก็เห็นเด็กนั้นยืนอยู่ที่เดิมจ้องเขาตาเป๋งทีเดียว ทำท่าจะร้องไห้
"ข้านึกว่าเจ้าจะไม่โผล่ขึ้นมาซะแล้ว" เด็กน้อยพูดเสียงสั่นๆ แต่แป๊บเดียวก็ถูกหอยในมือเขาดึงความสนใจไป "นั่นอะไรน่ะ"
"หอยไง" ลาเลียสตอบพร้อมกับหยิบมีดที่เหน็บอยู่กับกางเกงออกมา เขาเริ่มลงมือแกะเปลือกหอย
"ทำอะไรเหรอ" เด็กน้อยเอียงคอถามเขา แต่ยังไม่กล้าเข้าใกล้ ลาเลียสยิ้มให้ พร้อมกับเปิดเปลือกหอยหยิบหินสีสวยๆออกมาโชว์ เด็กน้อยมองตาไม่กระพริบทีเดียว
"นี่ไง ดูสิสวยไหม" ลาเลียสถาม
"สวยจัง.." เด็กน้อยอยากรู้อยากเห็นตามประสา ลาเลียสจึงบอกว่า "เข้ามาดูใกล้ๆสิ" เด็กน้อยเริ่มเดินเข้าไปหาลาเลียส จนในที่สุดก็คุกเข่าลงมองลาเลียสที่กำลังแกะหอยอยู่ใกล้ๆกับริมน้ำ แต่ทันใดนั้นเอง ลาเลียสก็ฉุดแขนเด็กจนตกลงไปในน้ำ
"นี่ไง เวลาสอนเด็กว่ายน้ำไม่เป็นต้องทำอย่างนี้" ลาเลียสหัวเราะ พร้อมมองเด็กน้อยนั่นตะกายน้ำอยู่ "แกว่งแขนหน่อยสิ จะได้ไปข้างหน้า"ด้วยความตกใจที่จู่ๆก็ตกน้ำ และขาก็เหยียบไม่ถึงพื้น เขาตะเกียกตะกายได้สักพักร่างเล็กๆนั้นเริ่มจมลงใต้ทะเลสาบลาเลียสเห็นท่าชักจะไม่ดี จึงรีบดำน้ำลงไปอุ้มร่างที่ไม่ได้สตินั้นแล้วลากขึ้นมาบนฝั่ง
"เฮ้….." ลาเลียสเอามือตบหน้าเล็กเบาๆ แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าร่างนั้นจะฟื้น เขาเริ่มกังวลแล้ว เขาเองก็เป็นเด็กแค่สิบขวบ รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าพอสมควร
"จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย" ลาเลียสตะโกนในใจ "ผายปอด" วิธีที่แวบเข้ามาในหัวเขาพอดี
"พวกมนุษย์เวลาจมน้ำชอบทำกันนี่นา" ลาเลียสสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ง้างปากของร่างเล็กนั้นให้อ้าออก เขาก้มหน้าลงแล้วก็กระทำตามวิธีที่เขาเคยรู้เคยเห็นมาจนในที่สุดนั้นร่างเล็กเริ่มสำลักเอาน้ำที่ค้างอยู่ในปอดออกมา แล้วเริ่มได้สติ ลาเลียสถอนหายใจเฮือกใหญ่
"แค๊ก…แค๊ก…." ร่างเล็กนั้นไออยู่สักพัก จนเริ่มจะเป็นปรกติ เขาเงยหน้ามองเด็กที่แก่กว่า
"เจ้าแกล้งข้านี่…." ร่างเล็กอุทธรณ์พร้อมน้ำตา จนลาเลียสเริ่มรู้สึกผิด
"ขอโทษ…ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะตกใจขนาดนั้น เห็นเจ้าบอกว่าเป็นลูกครึ่งเผ่าข้าด้วยนี่ น่าจะว่ายน้ำได้"
"ร่างกายข้าไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว…..นี่เป็นปีแรกที่ข้าสามารถเดินทางมาที่นี่พร้อมกับเสด็จพ่อได้"
"…เสด็จพ่อ….หรือว่าเจ้าคือเจ้าชายฟารูส" ลาเลียสชักรู้สึกตกใจ เขาน่าจะรู้ตั้งนานแล้วเด็กลูกครึ่งเผ่ามนุษย์……..
"ใช่แล้ว เจ้ารู้ได้ไงนะ" เด็กน้อยพูดอย่างประหลาดใจ "ข้าชื่อฟารูส"
"เจ้าอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครนะ" ลาเลียสขอร้อง ถ้าเกิดเรื่องนี้รู้ถึงหูพ่อเขาละก็ เขาต้องโดนพ่อทำโทษอย่างแรงแน่ แกล้งใครไม่แกล้งไปแกล้งเจ้าชายซะได้ พ่อเขาก็เป็นแค่เพียงนายพลเท่านั้น ถึงตำแหน่งจะใหญ่แต่ยังไงก็ต้องยังเกรงใจ….
"อือ….ไม่บอกหรอก เพราะถ้าบอกทุกคนก็รู้ว่าข้าแอบหนีออกมาเที่ยวเล่นสิ" เด็กน้อยยิ้มร่าเริง ป่านนี้แม่นมเฟรเซียคงตามหาเขาให้วุ่นแล้ว
"เจ้าชื่ออะไรน่ะ" จู่ๆเจ้าชายฟารูสก็ถามขึ้นมา เขาเริ่มอยากทำความรู้จักกับเด็กผิวสีคล้ำอายุมากกว่าตรงหน้าแล้ว
"ลาเลียส….ข้าเป็นลูกชายของนายพลแกมไมท์แห่งเผ่านารู้ก้า"
"เจ้าดูสวยมากเลย…." เสียงใสๆนั้นพูดออกมา ลาเลียสชักตกใจ อย่าเขานะหรือ 'สวย'
"ข้าน่ะ ไม่เคยได้วิ่งเล่นหรือได้ว่ายน้ำเหมือนเจ้าเลย พอจะวิ่งทีไรก็มีแต่คนมาห้าม บอกว่าเดี๋ยวจะไม่สบาย เดี๋ยวจะเป็นลม" ร่างเล็กพูดอย่างอิจฉา ลาเลียสชักรู้สึกขำ ที่บอกว่าเขาสวยนี่คงหมายความว่าเขาดูน่าอิจฉาที่ได้วิ่งเล่นตามใจชอบใช่ไหมเนี่ย ลาเลียสสังเกตร่างเล็กตรงหน้า ร่างกายค่อนข้างบอบบาง ตัวค่อนข้างเล็กกว่าเด็กวัยเดียวกัน ลาเลียสซะอีกสูงใหญ่เกินอายุ เมื่อยืนเทียบกันทั้งสองคนดูเหมือนอายุห่างกันหลายปี
"นี่ เจ้ารอตรงนี้เดี๋ยวนะ" พูดไม่ทันจบลาเลียสก็กระโดดลงน้ำ วิ่งอ้อมไปที่เนินดิน อีกสักพักก็กลับมาพร้อมกับหีบเล็กๆใบหนึ่ง เขาเปิดหีบเล็กๆที่ข้างในใส่ของมีค่าของเขาให้กับฟารูสดู
"สวยไหมละ นี่ข้าเก็บสะสมมาเองทั้งหมดเลยนะ ข้าให้เจ้า" ลาเลียสยื่นหีบนั้นให้ฟารูส
"เจ้าจะให้ข้าจริงๆเหรอ…" ฟารูสถามอย่างแปลกใจ เขาเองก็ชอบหินสีสวยๆนี่เหมือนกัน หินแบบนี้พ่อของเขาก็มี แต่เสด็จพ่อไม่ใช่ได้มาฟรีๆต้องใช้เงินไปแลกถึงได้มันมา
"ข้าไม่มีเงินให้เจ้าหรอกนะ"
"ก็ข้าไม่ได้บอกจะเอาเงินเจ้านี่…..ข้าให้เจ้าเพราะเจ้าเป็นเพื่อนข้าต่างหาก" ลาเลียสฉุนนิดๆ
"จริงเหรอ" เด็กน้อยยิ้มอย่างดีใจ เขากระโดดขึ้นไปหอมแก้มลาเลียส พร้อมบอกว่า
"ขอบคุณนะ"
"เฮ้ย.!!!" ลาเลียสอุทานอย่างตกใจ ที่อยู่ๆร่างเล็กก็หอมแก้มเขา
"งั้นข้าจะกลับก่อนนะ เดี๋ยวแม่นมจะตามหาข้าให้วุ่น" ร่างเล็กวิ่งออกไปพร้อมกับอุ้มหีบเล็กๆที่ลาเลียสให้ไปด้วย ปล่อยให้ลาเลียสยืนตะลึงอยู่คนเดียวริมหาด
"ไว้พบกันใหม่ปีหน้านะ" ลาเลียสได้ยินเสียงตะโกนแว่วๆดังมา แต่ปีหน้าที่รอคอยนั้นกลับเกิดเหตุการณ์ที่ใครๆก็ไม่คาดคิดขึ้นมา………

ฟารูสก้มลงมองหีบที่เขาได้มาเมื่อตอนเป็นเด็ก…….แสงจันทร์ส่องกระทบหินที่อยู่ข้างในเป็นประกายระยิบระยับ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าหินสีสวยๆที่อยู่ข้างในนี่ก็คือ ไข่มุก สำหรับลาเลียสที่มอบหินนี่ให้เขาในตอนนั้น คงไม่เคยรู้มาก่อนว่าหินนี่สำหรับเผ่ามนุษย์แล้วนับเป็นของมีค่ามาก แต่ถึงแม้มันจะไม่มีค่าอะไรเลย กับฟารูสมันคือ "ค่าแห่งมิตรภาพ" ที่ได้รับมาในตอนเด็กต่างหาก

"อืม….." ร่างของคนที่อยู่ข้างๆพลิกตัวขึ้นมา เขาอาจจะทำเสียงดังจนร่างข้างๆตื่นขึ้นมาก็ได้ "ทำอะไรนะ" ร่างนั้นลุกขึ้นมาถาม
"ข้ากำลังดูหินที่เจ้าให้มาไงล่ะ" ฟารูสตอบพร้อมก้มลงไปจูบร่างนั้นเบา
"เจ้ายังเก็บไว้อีกเหรอเนี่ย.." ลาเลียสถามอย่างแปลกใจ ตอนนี้เขาเริ่มตาสว่างแล้ว เขาเริ่มนึกไปถึงเจ้าเด็กตัวกระเปี๊ยกที่ทำอะไรก็ไม่เป็น แถมถูกเขาแกล้งจนตกน้ำอีก….หลังจากวันที่ลาเลียสเดินทางกลับเผ่านารูก้าเพื่อนำมุกวารีกลับไปที่เดิม เขาพยายามจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกคนฟังแต่ถึงกระนั้นก็ตาม ความบาดหมางที่เคยมีต่อกันมาหลายสิบปีก็ไม่ใช่จะสลายลงไปภายในวันเดียวได้ เขาต้องจัดการสะสางเรื่องทั้งหมดเป็นเวลาหลายปี จนกว่าทั้งสองเผ่าค่อนข้างจะมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน ตอนนี้ลาเลียสเดินทางมาอาณาจักรมานาล็อคในฐานะ ฑูตเจริญสัมพันธไมตรี เพราะทั้งเผ่ามีแต่เขาคนเดียวที่สามารถอยู่บนบกได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
"ข้าดีใจที่มีวันนี้นะ ดีใจที่เจ้ากลับมา" ฟารูสพึมพำขึ้น
"ฮึ ข้าไม่เห็นดีใจเลย เจ้าเด็กตัวเล็กๆน่ารักไหงกลายเป็นเด็กตัวเบ้อเริ่มเทิ่มก็ไม่รู้ ความน่ารักไม่รู้หายไปไหนหมดแล้ว"
"แต่สำหรับข้าเจ้ายังสวยอยู่เหมือนเดิมนะ" ฟารูสพูดพร้อมกับพลิกตัวทับร่างเล็กกว่า เขาซุกไซร้ใบหน้าลงไปที่ซอกคอ
"ฮะ..ๆ จักกะจี้น่า เจ้าอย่าเล่นพิเรนสิ" ลาเลียสหัวเราะอย่างหยุดไม่ได้
"ข้ารักเจ้านะ ลาเลียส"
"ข้าก็รักเจ้า…….." ฟารูสตอบพร้อมกับอ้าปากรับจูบอันดูดดื่ม ร่างทั้งสองกอดก่ายกันอยู่ในความมืด จนกระทั่งรุ่งเช้า แถมระหว่างที่กำลังเคลิ้มลาเลียสได้ยินเสียงฟารูสกระซิบใกล้ๆหูว่า
"ถ้าคราวนี้เจ้าหมดสติไปละก็ข้าจะเป็นฝ่ายผายปอดให้เจ้าเอง……"

- จบบริบูรณ์ -

แนะนำติชมได้ที่บอร์ดนิยายนะคะ...................
1