|
สงครามตำนานแห่งรัก
ตอนที่ 5 ซาเรส คนพเนจร
เสียงขลุ่ยใบไม้ดังแว่วมาเป็นทำนองที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ลาเลียสเดินตามเสียงขลุ่ยอย่างเลื่อนลอย กลางป่าแบบนี้ทำไมมีคนมานั่งเป่าขลุ่ยนะ
หรือว่าเป็นพวกเทวดานางไม้ออกมาร้องรำทำเพลง เขาเดินไปจนพบที่มาของเสียงขลุ่ย
ร่างเล็กบางร่างหนึ่งนั่งหันหลังให้เขา เสื้อคลุมที่ค่อนยาวปกคลุมร่างกายจนลาเลียสดูไม่ออกว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย
แต่จากเสียงเดินของเขาร่างนั่นชะงักการเป่าขลุ่ยลงพร้อมกับหันมามอง
"ขะ....ขอโทษนะ ที่เข้ามาขัดจังหวะ"
ลาเลียสตะลึงไปพักหนึ่งเมื่อเห็นหน้าเจ้าของร่างนั้นชัดตา ใบหน้าเล็กๆภายใต้การล้อมกรอบของเส้นผมสีน้ำตาลแกมทองนั้นดูช่างเหมาะเจาะงดงามราวกับเทพธิดา
เขาไม่แน่ใจว่าที่เขาพบนี่เป็นมนุษย์แน่หรือเปล่า
"ไม่เป็นไรหรอก ที่ข้าเป่าขลุ่ยเพราะไม่มีคนจะคุยด้วยต่างหาก
ท่านมาขัดจังหวะข้าก็ดีอยู่แล้ว" ร่างนั้นยิ้มอย่างสดใส "ข้าชื่อซาเรส
ยินดีที่ได้รู้จักนะ"
"เอ่อ....ข้าชื่อลาเลียส ยินดีที่รู้จักเจ้าเหมือนกัน"
ลาเลียสตอบอย่างกระอักกระอ่วนเพราะเขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับการทำความรู้จักกับคนอื่นสักเท่าไหร่
"ท่านบาดเจ็บนี่นา เลือดเต็มไปหมดเลย"
ร่างเล็กตรงหน้าพูดอย่างตกใจ
"อ๋อ....นี่ไม่ใช่เลือดข้าหรอก"
ลาเลียสก้มมองรอยเลือดที่แห้งกรังบนหน้าอก
"ดูเหมือนท่านจะผ่านการต่อสู้มาใช่ไหมเนี่ย"
ลาเลียสอึ้งไปพักหนึ่ง แย่แล้ว เขากำลังถูกทหารไล่ตามจับนี่นา แล้วยิ่งถ้าเด็กนี่รู้ว่าเขาคือผู้ร้ายแล้ววิ่งไปบอกพวกทหารเขาจะทำยังไงล่ะ
"เจ้าอย่าถามอะไรซอกแซกน่า"
" อ้าว....ข้าแค่พูดตามที่เห็นเอง
ช่างเถอะ ข้าไม่ชอบยุ่งเรื่องใครอยู่แล้ว" พูดจบก็กวาดสายตาสำรวจลาเลียสหลายตลบ
"ดูจากสีผม สีตา และลักษณะร่างกายท่านไม่ใช่มนุษย์นี่ ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ"
คำถามที่ออกมาตรงข้ามกับคำพูดแรกสิ้นเชิง แต่ตัวคนถามดูเหมือนจะไม่รู้ตัว
แถมยังถามต่ออีก "ท่านเป็นคนเผ่านารูก้าใช่ไหมเนี่ย"
"ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ" ลาเลียสชักกระบี่ออกมา
"เจ้ารู้มากไปซะแล้ว"
"ดะ....เดี๋ยวก่อน" ร่างเล็กตกใจกระโดดถอยไปหลายเมตร
"....ข้าพูดความจริงไม่เห็นน่าจะโกรธอะไรเลยนี่
ท่านอย่าใจร้ายกับเด็กตัวเล็กๆอย่างข้าเลยน่า...." ซาเรสพูดอย่างน้อยใจ
แต่ไม่มีท่าทีเกรงกลัวลาเลียส "ท่านเป็นผู้ชายจะรังแกผู้หญิงเหรอ"
"ผู้หญิง" เจอคำคำนี้เข้าไปก็ทำเอาลาเลียสงงไปพักใหญ่
เขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับผู้หญิงเท่าไหร่นัก แต่ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษเขาควรจะอดทนมากกว่านี้
"งั้นเจ้าก็ไปซะก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ"
ลาเลียสลดดาบลง
"อ้าว ท่านเป็นบ้าเหรอ ข้าอยู่ที่นี่ก่อนท่านนะ
ทำไมข้าจะต้องไปล่ะ ท่านมาทีหลังสมควรไปซีจึงถูก" ซาเรสย้อนกลับมา
"เอ๊ะ เจ้านี่ไม่รู้สถานการณ์ของตัวเองเลยหรือไง
ข้าปล่อยเจ้า เจ้าก็น่าจะรีบไปๆซะ"
"ท่านจับข้าไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ
แขนขาข้าก็ยังอยู่กับตัวนี่" ลาเลียสรู้สึกปวดหัวตุ๊บๆ นี่มันโง่หรือแกล้งโง่กันนี่
เขาไปเองก็ได้ เขาไม่เคยพูดกับใครยืดยาวขนาดนี้มาก่อนเลย เจ้าเด็กยียวนนี่เป็นคนแรก
เขาเก็บดาบพร้อมกับหันหลังเดินออก
"นี่ นี่ อย่าเพิ่งไปสิ ข้าไปด้วยนะ
ลาเลียส" เสียงเล็กๆตะโกนไล่หลัง
"เจ้านี่!!!....... " ลาเลียสพูดไม่ออก
" เมื่อกี้ท่านยินดีที่ได้รู้จักข้าไม่ใช่เหรอ
เดินทางไปด้วยกันหน่อยจะเป็นไรไปล่ะ" ซาเรสวิ่งตามเข้ามาใกล้
"ตอนนี้ข้าไม่ยินดีแล้ว เจ้าทำข้าโคตรปวดหัวเลย"
"เอาน่า ข้าเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆเดินทางคนเดียว
ช่วยเหลือข้าหน่อยนะ" ตาแป๋วๆนั่นจ้องจนเขาเกือบใจอ่อน
"ข้าเป็นนักโทษที่ทางการต้องการตัว
เจ้าจะกล้าไปกับข้าเหรอ" ลาเลียสพูดขู่
"ช่างสิ ข้าว่าท่านก็ไม่ใช่คนเลวนี่นา
รับรองสายตาการมองคนข้าไม่มีพลาดอยู่แล้ววว"
"งั้นตามใจเจ้า ทางไม่ใช่ของข้าคนเดียว"
เสียงแจ้วๆ ซาเรสก็ทำให้ลาเลียสรู้สึกผ่อนคลายได้เหมือนกัน
เสียงใสๆถามเขาด้วยความอยากรู้ในสิ่งรอบตัว เขารู้สึกสงสารซาเรสที่เห็นเป็นเด็กตัวเล็กๆกลับต้องออกเดินทางคนเดียวเสียแล้ว
"เจ้าตัวเล็กแค่นี้ออกเดินทางคนเดียวได้ยังไง
ไม่มีใครมาด้วยเลยเหรอ"
"โธ่ ข้าโตแล้วนะ แต่ตัวน่ะ มันเล็กเองต่างหากล่ะ"
"แต่เด็กสาวหน้าตาสวยๆแบบเจ้า เดินทางคนเดียวมันอันตรายมากนะ"
ลาเลียสพูดพร้อมกับพิศใบหน้านั้น ใช่สิ ต้องอันตรายแน่ ผิวขาวอมชมพู
ผมยาวสีน้ำตาลแกมทอง ดวงตากลมโตสีฟ้า จมูกเล็กๆที่ค่อนข้างเชิดบอกว่าเป็นคนเอาใจ
ริมฝีปากอิ่มเอิบสีแดงระเรื่อ ....
"ข้าดูแลตัวเองได้น่า " ร่างเล็กจ้องตอบเขา
"จะเป็นห่วงข้าดูตัวเองก่อนดีกว่าน่า ท่านถูกทหารตามล่าอยู่ไม่ใช่เหรอ"
ลาเลียสชะงักไปพักหนึ่ง "ก็ใช่ แต่เพื่อนข้าหายตัวไปน่ะ ข้าอยากจะตามหาเขาก่อน"
"เพื่อนคนสำคัญล่ะสิถึงทำท่าห่วงขนาดนี้น่ะ
ฮึ"
"สำคัญ ? ข้าไม่รู้เขาสำคัญรึเปล่า"
"อ้าว อะไร เพื่อนกันแท้ๆท่านไม่รู้เหรอ
ถามใจตัวเองดูสิ ถ้าข้าเป็นเพื่อนท่านได้ยินคำนี้มีหวังเสียใจตายเลย"
ซาเรสพูดงงๆ ลาเลียสเงียบไป ฟารูสเป็นเพื่อนคนสำคัญของเขารึเปล่า
เขาถึงต้องเป็นห่วงขนาดนี้ เขาไม่เคยถามคำถามนี้กับตัวเองมาก่อน
ความคิดที่ว่ามุกวิเศษอยู่ในร่างกายของฟารูสผุดขึ้นมา มุกวิเศษไม่มีอีกแล้ว
เลือดของฟารูสทำให้ข้อจำกัดของเผ่าพันธุ์ในตัวเขาหมดสิ้นไป เขาคิดว่านี่เป็นหนี้บุญคุณที่ต้องตอบแทนฟารูสรึเปล่าถึงคิดตามหาเขา
ลาเลียสยังไม่ยอมรับความคิดที่ว่าเขารู้สึกกับฟารูสเกินเพื่อนธรรมดา
"เข้าเป็นผู้มีบุญคุณกับข้า และเขาก็ถูกทหารตามล่าอยู่เหมือนกัน"
"อ้าว เพื่อนท่านถูกทหารจับไปรึเปล่า"
ซาเรสยักไหล่
"ไม่รู้สิ แต่ข้าว่าไม่ใช่หรอก"
ฟารูสคงไม่กล้าอยู่เผชิญหน้ากับเขามากกว่าถ้าเขารู้แล้วว่าลูกแก้ววิเศษอยู่ไหน
"ถ้าไม่ถูกจับไป ก็แสดงว่าเขาจงใจไปจากท่าน"
ซาเรสพูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
"จงใจไปจากข้า......." เหมือนความฝันอันลางเลือนของเขาจะได้ยินฟารูสพูดว่า.....ลาก่อน.....
แสงจันทร์สาดส่องลงมาเป็นแสงสีเงิน คืนนี้ดวงจันทร์กลมโตแต่ยังมีบางส่วนที่ยังไม่ส่องแสงเต็มที่
เสียงฝีเท้าเดินตรงมายังเทวสถานที่ดูโดดเดี่ยว เสาสูงที่เรียงรายเป็นแถวด้านหน้าแกะสลักด้วยลวดลายอันวิจิตรทอดยาวไปถึงประตูทางเข้า
ตอนกลางวันที่นี่ก็พอมีชาวบ้านมากราบไหว้ขอพรเทพเจ้าบ้างเป็นบางครั้งแต่ในเวลาค่ำคืนที่ไร้ซึ่งผู้คนบรรยากาศก็ดูวังเวงไปอีกแบบ
ลมพัดอย่างแรงพร้อมกับฟ้าแลบฟ้าร้องเป็นระยะเป็นลางบอกว่าอีกไม่นานฝนจะตก
ฟารูสเดินตามทางที่ทอดยาวไปสู่ตัววิหาร เขามาตามนัดแล้ว นาไนท์จะมีวิธีหยุดยั้งสงครามยังไงมาบอกเขาบ้าง
"ข้ากำลังรอท่านอยู่ เจ้าชายฟารูส"
เสียงนาไนท์ดังขึ้นมา ฟารูสมองไปทางต้นเสียงนั้น เขาเห็นนาไนท์นั่งอยู่ที่โต๊ะมุมของวิหาร
ด้านหลังของเขามีทหารร่างใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่
"ข้ามาช้าไปรึเปล่า" นาไนท์ยิ้มพร้อมส่ายหัว
"ไม่หรอก ข้าไม่ได้นัดเวลาแน่นอนกับเท่านี่"
"งั้นเรามาคุยกันเลยเถอะ"
"ทำไมเจ้าชายถึงใจร้อนอย่างนี้ เราพักก่อนสักหน่อยก็ได้"
นาไนท์พูดตัดบท เสียงฝนเริ่มตกตังเปาะแปะๆ จนในที่สุดก็เป็นเสียงรัวจนฟังไม่ทัน
"ฝนตกแล้วอากาศเย็นลง หนาวรึเปล่าพะย่ะค่ะ? "
"ข้าเป็นคนใจร้อน ไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอกน่า
ท่านรีบคุยมาเถอะ" เสียงฟารูสตะเบ็งแข่งกับเสียงฝนตกภายนอก
"เฮ้อ การคุยเนี่ยเราต้องใช้เวลาน่ะพะย่ะค่ะ
ถ้าเราใจร้อนก็เหมือนชักนำเราสู่หุบเหวลึก" พูดจบนาไนท์ก็หันไปพยักหน้ากับทหารร่างใหญ่ข้างหลัง
ทหารคนนั้นเข้าไปหลังวิหารพร้อมกับนำเครื่องดื่มร้อนๆออกมาสองแก้ว
"จิบชาร้อนๆก่อนสิพ่ะยะค่ะ"
ฟารูสไม่ชอบให้นาไนท์ถ่วงเวลาเช่นนี้ เพราะเขาไม่แน่ใจว่านาไนท์จะวางแผนการอย่างไร
นาไนท์เป็นคนที่ฟารูสรู้สึกว่าไว้ใจไม่ได้เสมอ ทหารที่อยู่ข้างหลังนาไนท์ก็ร่างกายสูงใหญ่พอๆกับเขาเลยทีเดียว
ฟารูสจึงอยากคุยให้เสร็จไวๆ เขายกชาขึ้นจิบพร้อมกับพูดขึ้นว่า
"ถ้าท่านจะถ่วงเวลาข้าเพราะมีเบื้องหลังอะไรล่ะก็......ท่านอย่าหวังเลยนะ"
"เจ้าชายก็คิดมากไปได้ ฝนตกหนักออกอย่างนี้ข้าจะวางแผนการอะไรได้อีก
แล้วที่มีก็มีเพียงข้ากับทหารรับใช้และท่านเท่านั้น" เว้นระยะไปสักพักนาไนท์ก็พูดขึ้นด้วยเสียงแช่มช้า
"เจ้าชายทราบหรือไม่ว่าสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่นอกจากมนุษย์แล้วบนโลกใบนี้มีอะไรอีก"
"นี่ไม่ใช่วิชาประวัติศาสตร์โลกหรอกนะ
ข้ารู้หรอกน่า นอกจากมนุษย์เดินดินแล้วก็มีมนุษย์เผ่านารูก้าที่อาศัยในน้ำไงล่ะ"
ฟารูสพูดด้วยความรำคาญ
"เจ้าชายรู้จัก"เผ่าเวหา"
หรือไม่" นาไนท์สบตาฟารูส
"เผ่าเวหาเป็นเผ่าของมนุษย์มีปีก
เป็นเผ่าที่สามที่แยกตัวออกมาโดดเดี่ยว แทบไม่ค่อยมีใครเคยพบเห็น
เป็นเผ่าที่พวกเรามนุษย์เดินดินหรือเผ่านารูก้ายกย่องเป็นถึงเทพเจ้า"
นาไนท์หยุดพูดจนได้ยินเสียงฝนตกภายนอก อย่างชัดเจน
"เรื่องนั้นมันเป็นแค่ตำนานหรอกน่า
เผ่าเวหาอะไรนั่นไม่มีจริงหรอก"
"เรื่องที่ข้าจะบอกท่านมันเกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของสามเผ่าพันธุ์ต่างหากล่ะ
ที่จริงแล้วโลกเรามีทั้งหมดสามเผ่าพันธุ์ เผ่ามนุษย์ เผ่านารูก้า
และเผ่าเวหา ก็เหมือนกับวงจรของสิ่งมีชีวิต
เผ่ามนุษย์ที่อ่อนแอเป็นเผ่าที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุด
เผ่านารูก้าเป็นเผ่าที่อาศัยอยู่ในน้ำมีมุกวารีเป็นของวิเศษประจำเผ่า
เป็นเผ่าที่มีกำลังสูง แต่จำนวนสมาชิกก็มีไม่ค่อยมาก........"
"เรื่องพวกนี้ข้ารู้หมดแล้ว ไม่อยากให้ท่านมาสั่งสอนข้าหรอก
ไอ้เผ่าเวหาอะไรนั่นจะมีหรือไม่มีมันก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องของข้า"
ฟารูสขัดขึ้นมาด้วยความรำคาญ
"แต่ถ้าข้าบอกว่ามันเป็นประเด็นสำคัญเลยล่ะ"
นาไนท์จ้องตาเจ้าชายฟารูสพักหนึ่ง
"เผ่าเวหาเป็นเผ่าที่ค่อนข้างรักสันโดษ
ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเผ่าอื่นๆ มีจำนวนสมาชิกที่น้อยยิ่งกว่าน้อย แต่เป็นเผ่าที่เข้มแข็งที่สุด
คนในเผ่าเวหาสามารถใช้เวทมนต์ได้แทบทุกคน ดังนั้นอายุเฉลี่ยของคนเผ่านี้จึงหลายร้อยปี.....ที่จริงทั้งสามเผ่าพันธุ์ต่างก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน
จนกระทั่ง เผ่านารูก้ากับเผ่ามนุษย์มาผูกสัมพันธ์......"
"เจ้าหมายถึงพ่อกับแม่ของข้างั้นเหรอ"
ฟารูสชักเริ่มสนใจ
"ในเมื่อเผ่านารูก้ากับเผ่ามนุษย์มีสัมพันธ์กัน
ก็ย่อมส่งผลกระทบถึงเผ่าที่อยู่โดดเดี่ยวด้วย...."
"ท่านหมายความว่า......."
"หึ หมาไนทั้งฝูงเมื่อรวมกันสามารถล้มราชสีห์ได้"
นาไนท์กล่าว
"ท่านหมายความว่ายังไง......หรือว่าเรื่องราวทั้งหมดถูกวางแผนขึ้นมาโดยเผ่าเวหางั้นหรือ"
ฟารูสโถมขึ้นสุดตัว สมองของเขามึน งงจนรับเรื่องราวไม่ทัน เขารู้สึกเหมือนโลกหมุนไปหมด
"จะว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิง.....แต่เรื่องทั้งหมดมันเป็นแผนการของข้าที่วางไว้นานนับปีต่างหาก"
นาไนท์พูดพร้อมกับยิ้มเหยียดๆ ตอนนี้ฟารูสรู้สึกว่าสติแทบจะหายไป
...
"เจ้า...เจ้าใส่อะไรในน้ำชา.............."
ฟารูสทรุดกายลงกับพื้น ตอนนี้ร่างกายเขาชาจนขยับแทบไม่ได้ ก่อนที่เขาจะหมดสติไปเขาได้ยินเสียงนาไนท์พูดแว่วๆ
วิธีแก้ไขปัญหาง่ายๆที่สุดก็คือ ฆ่าท่านซะแล้วก็ส่งศพไปขอขมากับเผ่านารูก้าไงล่ะ...."
|
|
|