Surechigai no kataomoi
บทนำ
เขาคงรำคาญผมมากสินะ
สายตาเย็นชา และการมองผมด้วยหางตาของเขาทำให้ผมอดคิดเช่นนี้ไม่ได้ทุกครั้ง
ผมกับเขาห่างกัน 8 ปี ผมเป็นบุตรบุญธรรมของบ้านคิโนะมิยะซึ่งเป็นตระกูลที่มีบทบาทสำคัญในแวดวงธุรกิจระดับประเทศ
พ่อของเขาแต่งงานกับแม่บุญธรรมซึ่งจริงๆ แล้วเป็นน้องสาวของแม่ผมซึ่งเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ
จึงเป็นบุญของผมที่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้
"ตั้งแต่คานาเอะภรรยาคนเก่าของลุงตาย มาซาฮิโระดูเหงาๆ ยังไงลุงก็ขอฝากมาซาฮิโระด้วยแล้วกันนะ"
คุณลุงซึ่งกลายมาเป็นพ่อบุญธรรมของผมกล่าวอย่างใจดี
"อะไรกันคะ มาฝากเด็กคนนี้ดูแล จะไว้ใจได้เหรอคะ ไม่ค่อยจะได้เรื่องเท่าไหร่"
คุณน้าพูดพลางหัวเราะ
"ผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรนักหรอก จะว่าไปผมเองก็ทำงานหนักจนไม่มีเวลาให้เขา
และผมก็เห็นว่าเจ้าหนูเนี่ยมันน่ารักดี การที่บ้านเรามีเด็กเล็กๆ
แบบนี้ น่าจะทำให้ลูกชายขี้เก๊กของผมสดใสขึ้นได้บ้าง"
ถึงคุณลุงจะพูดอย่างนั้นก็ตาม แต่ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ผมยังไม่เคยแม้แต่จะให้เขาหันมามองผมอย่างเต็มตาได้ซักที
และผมก็ยังยึดติดคำฝากฝังของคุณลุงเรื่อยมา
กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้... คุณลุงที่แสนใจดีแต่ไม่ค่อยมีเวลาของผมก็เสียชีวิตลง
ประจวบเหมาะกับการที่เขาเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย ทำให้เขาต้องบริหารกิจการต่อจากคุณลุงอย่างเต็มตัว
"ผมจะออกจากบ้าน" ผมยังจำเสียงทุ้มที่ไร้อารมณ์ของเขาในวันนั้นได้แม่น
คุณน้าเงยหน้ามองลูกชายคนโตซึ่งกลายเป็นเสาหลักของบ้านด้วยน้ำตานองหน้าจากงานศพ
"คิดดีแล้วเหรอมาซาฮิโระคุง ถ้าเธออึดอัดที่มีน้าอยู่ ให้น้าไปจะดีกว่านะ
ที่นี่เป็นบ้านของเธอ แล้วน้าก็ไม่ได้แต่งงานกับพ่อเธอเพราะหวังเงินทอง"
"ผมรู้" เขาตอบสั้นๆ สีหน้าของผู้ชายคนนี้ไม่เคยเปลี่ยนเลย
ผมแทบไม่เคยเห็นเขายิ้ม หัวเราะ หรือแม้กระทั่งคุณลุงเสียชีวิตเขาก็ไม่ร้องไห้สักนิด
เขาเพียงแค่นั่งอย่างสงบรับฟังข่าวการตาย ราวกับรู้ดีว่าซักวันเรื่องแบบนี้คงมาถึง
สีหน้าแววตาของเขาเฉยสนิทราวกับรูปปั้น
"ผมเพียงแค่คิดว่า อยากลองแยกไปอยู่ลำพังเท่านั้น"
"แต่ที่นี่เป็นบ้านของเธอนะจ๊ะ"
"นั่นไม่ใช่ปัญหาครับ ผมเพียงแค่คิดว่าที่อยู่ใหม่ของผมอยู่ใกล้ที่ทำงานมากกว่า
ที่สำคัญผมไม่ได้บอกซักหน่อยว่าผมจะยกบ้านหลังนี้ให้คุณ คุณเองตอนที่พ่อยังอยู่ก็ดีกับพ่อและผมมาตลอด
ดังนั้นเชิญคุณอยู่ที่นี่ตามสบายเถอะครับ อย่าคิดอะไรมากเลย"
"แน่ใจเหรอจ๊ะ" คุณน้าดูสงบลงเล็กน้อย "แต่ที่จริงบ้านเราก็มีรถ
ไม่น่าจะเสียเวลาเดินทางมากมายอะไร เรื่องอาหารการกินก็มีพร้อม ถ้าคุณออกไปอยู่ลำพังเรื่องพวกนี้ก็กลายเป็นภาระ..."
"ไม่ต้องห่วงหรอกครับ แค่นี้เป็นเรื่องเล็กน้อย รถยนต์จากบ้านเราน่ะช่วงเวลาเร่งด่วนรถจะติดมาก
อีกอย่างผมถนัดรถไฟฟ้าซึ่งอิสระกว่า หรือถ้าจะใช้รถผมก็ชอบขับเองมากกว่า
ส่วนอาหารก็ทานนอกบ้านได้ งานบ้านก็จ้างคนมาทำ"
ทานนอกบ้านอะไรกัน... ผมคิด ลูกคนมีเงินตั้งแต่เกิดอย่างเขาเคยแตะอาหารในร้านเล็กๆ
เสียที่ไหน เข้มงวดก็เท่านั้น ทานยากทานเย็นจะตาย
"แต่น้าก็ยังห่วงอยู่ดี..."
เขาแตะไหล่คุณน้าเบาๆ เป็นเชิงปลอบ แม้สีหน้าจะยังเหมือนเดิม แต่เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นภาพที่หาดูได้ยากแล้ว
"ผมสัญญาว่าจะพยายามกลับมาบ้าน... ถ้ามีเวลา"
คุณน้าทำท่าจะท้วงอีก แต่อะไรไม่รู้ดลใจให้ผมโพล่งออกไปอย่างน่าอายที่สุด
"ถ้างั้นให้ผมไปอยู่ด้วยนะครับ"
ทั้งคู่หันมามองผมพร้อมกัน ผมรู้สึกหน้าร้อนมือเย็นขึ้นมา
"ผมหมายความว่า ผมอยากจะไปคอยรับใช้มาซาฮิโระซังน่ะครับ จะว่าไปที่อยู่ใหม่ของคุณก็อยู่ใกล้โรงเรียนผมมากขนาดเดินแค่ซอยเดียวถึง"
ผมพูดเสียงสั่นเล็กน้อยเพราะความประหม่า
"ฉันว่าเธอควรอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่เธอนะ" เสียงทุ้มกล่าวเรียบๆ
"อย่างเราน่ะจะไปรบกวนพี่เขามากกว่า" คุณน้าผลักหัวผมเบาๆ
รอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมาเป็นสัปดาห์กลับคืนมาเล็กน้อย
"แต่ผมทำอาหารได้นะครับ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรที่รบกวนเด็ดขาด
ผมจะทำความสะอาดบ้าน ทำอาหาร แล้วก็ทำตัวไม่เป็นภาระ อีกสองปีผมก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย
อยากจะหาที่เรียนพิเศษดีๆ แถวนั้นด้วย กรุณาเถอะครับ" ผมรีบยกเหตุผลต่างๆ
นานามาอ้าง จริงๆ แล้วผมแค่อยากดูแลผู้ชายที่แสนเย็นชาคนนี้มากกว่า
"จริงสินะ" คุณน้าปกติเป็นคนเข้มแข็ง แต่มักจะใจอ่อนกับการยกเหตุผล
(ซึ่งบางครั้งก็ไม่ค่อยมีเหตุผลแต่ขอให้มีไว้ก่อน) มาอ้างเสมอ "คุณว่ายังไงคะ
ถ้าจะรบกวนให้เด็กคนนี้ไปอยู่ด้วย อย่างน้อยถ้าเป็นจินัตสึจังล่ะก็เรื่องอาหารการกินของคุณ
น้าก็หายห่วง"
ผมรีบพยักหน้า ทำไมผมถึงกระตือรือร้นขนาดนี้นะ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมตอบตัวเองได้ก็คือ
ผมไม่อยากคลาดสายตาจากคนๆ นี้ คนที่คุณลุงของผมรักมากที่สุด
"แต่ออกมากันหมด บ้านนี้คงเงียบน่าดู" เขาแย้ง
"น้าไม่เป็นไรหรอกค่ะ เด็กๆ ในบ้านมีตั้งหลายคน อีกอย่างเงินส่วนที่คุณพ่อคุณให้น้า
น้าคงจะเอาไปทำโครงการที่ฝันไว้ คนแก่อย่างน้าคงไม่มีเวลามาเหงาหรอกค่ะ"
โครงการที่ว่าเป็นโครงการชุมชนที่อยู่อาศัยสำหรับคนชรา คุณน้าซึ่งเคยทำงานด้านสวัสดิการสังคมมาก่อนพูดให้พวกเราฟังบ่อยๆ
ซึ่งจะว่าไปกว่าโครงการจะเสร็จก็เป็นโครงการสำหรับประชาชนรุ่นคุณน้า
ที่สำคัญเป็นโครงการที่ตรงกับนโยบายของบริษัทในเครือของคุณลุงพอดี
"ถ้าอย่างนั้น ผมก็คงไม่มีข้อโต้แย้ง เพียงแต่ผมคงรับผิดชอบเรื่องของจินัตสึคุงไม่ได้เต็มที่"
"เรื่องนั้นไม่มีปัญหาครับ... ผมจะพยายามให้ดีที่สุด"
ผมรีบฝากตัวก่อนที่จะมีใครแย้งอะไรอีก