Surechigai no kataomoi
ตอนที่ 2
ระยะหลังเขาดูแปลกไป...
ท่าทางเขาเหนื่อยๆ อย่างไรพิกล ผมรู้สึกว่าเขากินข้าวได้น้อยลง หรือเพราะเบื่อรสชาติอาหารของผมแล้วก็ไม่รู้
แต่ก็พอจะทราบมาเหมือนกันว่าทางบริษัทกำลังมีปัญหานิดหน่อย เขาเองก็ยังหนุ่มเกินไป
ยังไม่เป็นที่ยอมรับอย่างสนิทใจของเหล่าพนักงาน ท่าทางเขาเครียดมากจริงๆ
ผมเห็นท่าทางไม่สู้ดีของเขาแล้วอดกลุ้มใจไม่ได้ ปกติเขาก็เย็นชาอยู่แล้ว
หลังๆ อาการเหนื่อยอ่อนบวกกับสีหน้าเซ็งๆ ของเขาทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า
... หรือเขาไม่พอใจผม พอคิดขึ้นมาทีไรรู้สึกปวดใจทุกที จนในที่สุดผมก็ทนไม่ได้
วันนั้นหลังจากที่ล้างจานในครัวเสร็จ ผมลังเลอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะตัดสินใจเคาะประตูห้องเขา
แล้วเข้าไปข้างใน
ทว่าเขาไม่อยู่ จริงสิ... บางทีเขาอาจจะกำลังอาบน้ำอยู่
คิดแล้วผมก็กลับหลังหัน ทว่าทันใดนั้นเอง
"เข้ามาทำอะไรที่นี่น่ะ" เสียงของเขาดังขึ้น
ผมสะดุ้งโหยงหันกลับไป เขาเพิ่งออกมาจากห้องน้ำจริงๆ ด้วย สภาพของเขาในตอนนี้คือมีเสื้อคลุมอาบน้ำที่คลุมร่างไว้หลวมๆ
เขายืนมองผมพลางเช็ดผมที่เปียกน้ำ
ผมรีบก้มหน้างุด
"เอ่อ... คือ... ไม่มีอะไรครับ ผม... ผมกำลังจะกลับห้องพอดี"
"เดี๋ยวก่อนสิ เธอยังไม่ได้ตอบ เธอเข้ามาในห้องฉันทำไม"
ผมเหลือบมองเขาอย่างกลัวๆ เขาจะดุผมรึเปล่านะ
ทว่าเขากลับเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบชุดนอนออกมา
"เอาล่ะ ฉันให้เวลาเธอไปคิดหาเหตุผลดีๆ มาระหว่างที่รอฉันใส่เสื้อ
อีก 5 นาที แล้วเข้ามาอธิบาย"
ผมพยักหน้า ก่อนที่เดินตัวลีบออกจากห้องไป กับลูกน้องของเขาเขาจะดุอย่างนี้หรือเปล่านะ
5 นาทีต่อมา ผมยังหาเหตุผลดีๆ ที่เขาว่าไม่ได้เลย ในที่สุดผมก็คิดว่าจะโกหกเขาไปทำไม
เข้าไปคุยกับเขาเลยดีกว่า ว่าแล้วก็เคาะประตูห้องเข้าไป
เขากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะทำงาน
"คิดได้แล้วเหรอ" เขาถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองผม
"ครับ" ผมตอบเสียงอ่อยๆ
"ว่ามาสิ" เขายังคงอ่านหนังสือต่อไปราวกับไม่ได้ตั้งใจฟังผม
ผมในตอนนั้นสมองว่างเปล่าไปหมด ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอย่างไรดี จนในที่สุด
"คือ... ผมคิดว่าคุณคงเหนื่อย เลยจะเข้ามานวดให้น่ะครับ"
อ๋า....พูดออกไปแล้ว รู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูก แต่ว่าได้ผล เขาเงยหน้าขึ้นมามอง
"งั้นเหรอ งั้นก็เข้ามานวดสิ"
ผมเดินอย่างเกร็งๆ ไปด้านหลังเขา เขาวางหนังสือท่าทางยากไว้ในมือแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
ผมนวดไหล่ทั้งสองข้างให้เขาได้ซักระยะหนึ่ง สังเกตว่าบรรยากาศตึงเครียดของเขาเมื่อครู่ผ่อนคลายลง
ไม่ช้าเขาก็หลับทั้งที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ และทิ้งน้ำหนักศีรษะลงบนหน้าอกผม
"มาซาฮิโระซัง..." ผมกระซิบหลังจากที่รู้ตัวว่าเขาหลับไปแล้ว
"มาซาฮิโระซัง..." ใบหน้าตอนหลับของเขาดูสบายทีเดียว เขาคงเหนื่อยกับงานอยู่เอาการ
ไม่ได้การล่ะ ขืนปล่อยให้นอนบนเก้าอี้แบบนี้ ตอนเช้าคงเมื่อยหลังแย่
คิดแล้วผมก็พยุงเขาขึ้นไปนอนสบายๆ บนเตียงดีกว่า
ตัวเขาหนักทีเดียว แน่ล่ะ เขาสูงกว่าผมประมาณ 10 เซนติเมตรเห็นจะได้
เขารูปร่างสูงเหมือนคุณพ่อของเขา
แม้จะเป็นคนโครงร่างดูใหญ่ แต่พักนี้ด้วยความที่ไม่ได้กินไม่ได้พักผ่อนทำให้เขาดูซูบผอมลงไปเหมือนกันแฮะ
ผมแบกเขามาที่เตียงอย่างทุลักทุเล ยิ่งตอนที่วางเขาลง ด้วยความที่ไม่รู้ว่าจะลงท่าไหนดีเลยทำให้ผมล้มลงไปด้วย
ร่างสูงใหญ่ของเขาทับผมอยู่ซีกหนึ่ง ผมค่อยๆ ขยับห่างออกมา ทว่าเขากลับดึงผมเข้าไปอย่างกับเป็นหมอนข้างอย่างนั้นแหละ
ผมจ้องหน้าตอนหลับของเขาอย่างท้วงๆ ทั้งที่เจ้าตัวก็ไม่ได้มารับรู้เลยว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
แต่ที่แน่ๆ ผมรู้สึกร้อนไปหมดทั้งหน้า สภาพในตอนนี้ไม่ต่างจากการที่ผมนอนอยู่ในอ้อมกอดของเขาสักเท่าไหร่
ถ้าอย่างนั้นผมก็จะขอฉวยโอกาส ณ วินาทีนี้สักครั้งหนึ่ง
ผมซุกหน้าลงบนแผ่นอกของเขา กระชับกอดพลางหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข
เหมือนได้ยินเสียงหัวใจเบาๆ แต่ผมไม่มีสมาธิจะสนใจมันมาก เพราะตอนนี้ในหัวผมมันวุ่นวายไปหมด
กลิ่นของเขาทำให้ความคิดผมกระเจิดกระเจิง ตัวของเขาอุ่นมากทีเดียว
"มาซาฮิโระซัง..." ผมอยากจะปลุกให้เขาตื่น แต่ด้วยเสียดายจึงทำให้เสียงออกมาแค่แผ่วๆ
จนแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่ได้ยิน
ไม่ได้การล่ะ ถ้าเขาเกิดตื่นขึ้นมาเห็นผมนอนอยู่บนเตียงด้วยแบบนี้คงไม่ดีแน่
ผมค่อยๆ ลุกขึ้น ไม่อยากให้เขาตื่น ใบหน้าตอนหลับของเขาน่ารักเหลือเกิน
ดูไม่ออกเลยว่าพอตื่นขึ้นจะกลายเป็นคนเย็นชาได้ขนาดนั้น
ด้วยความลืมตัว ผมจูบเขาเบาๆ ที่ริมฝีปาก
"ผมรักคุณ"
ผมรีบห่มผ้าให้เขาดับความอายในสิ่งที่ตัวเองกระทำลงไป ปิดไฟก่อนรีบกลับเข้าห้อง
คืนนั้นผมใจเต้นแรง รู้สึกร้อนวาบไปทั้งตัว ถึงจะร้อนแต่ผมก็คลุมผ้าห่อมเกือบมิดหัว
จินตนาการว่าเป็นอ้อมกอดเมื่อครู่ นอนไม่หลับทั้งคืน ตื่นเช้าผมจะทำหน้าอย่างไรดีนะ
แล้วถ้าจริงๆ แล้วเขายังไม่หลับล่ะ ไม่หรอกน่า... ผมสะบัดหัว คนอย่างเขาคงไม่มีอารมณ์มาล้อเล่นแกล้งหลับอย่างนั้นหรอก
อีกอย่างเขาท่าทางเหนื่อย น่าจะหลับจริงมากกว่า... และอีกหลายเหตุผลที่ยกขึ้นมาเถียงตัวเองเพื่อให้สบายใจ
เช้าวันต่อมาเขาออกจากห้องมาทานอาหารเช้าตามปกติ
ทำให้ผมแน่ใจว่าเขาคงไม่รู้สิ่งที่ผมทำไปเมื่อวานจริงๆ ผมรู้สึกโล่งอก
แต่ก็นึกเสียดายอยู่เหมือนกันว่าอยากให้เขาได้ยินความรู้สึกของผม
แต่ก็นั่นแหละ มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไรถ้าเขาไม่ได้คิดอะไรกับผมอย่างที่ผมคิดกับเขา
ยิ่งหวังมากก็มีโอกาสผิดหวังมาก เป็นอยู่อย่างนี้ก็ดีแล้ว อย่างน้อยผมก็แน่ใจว่าเขาความบ้างานและความเฉยชาของเขาทำให้เขายังไม่มีใครในหัวใจ
ความจริงนี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณน้าของผมเป็นห่วงเขาอยู่ คุณน้าเคยพูดกับผมทางโทรศัพท์เหมือนกันว่าให้ผมสังเกตว่าเขามีทีท่าสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษบ้างหรือไม่
แต่นั่นน่ะเป็นสิ่งที่ผมเฝ้าสังเกตมานานแล้วเหมือนกัน ไม่มีวี่แววว่าเขาจะชอบใคร
วันๆ ทำแต่งาน ยิ่งระยะหลังๆ เขากำลังวางแผนทำกิจการเล็กๆ ของตัวเองอีก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เฮ้อ...เขาจะเหงาบ้างรึเปล่านะ