Surechigai no kataomoi
ตอนที่ 04
มาซาฮิโระซังไม่สบายกลับมา
เป็นครั้งแรกที่เขาพยุงร่างกายอันอ่อนเพลียในชุดสูทเรียบหรูเข้ามานอนที่โซฟาในห้องรับแขก
แทนที่จะเข้าห้องตัวเองทันทีอย่างทุกครั้ง
"มาซาฮิโระซัง.." ผมรีบยกน้ำเย็นไปให้
เขาจิบเพียงเล็กน้อยก่อนยื่นคืนให้ผม
"สงสัยฉันคงไม่สบาย"
ยังจะมีหน้ามาพูดอีก เป็นผมคงพูดประโยคนี้ตั้งแต่เมื่อ 2-3 วันที่แล้ว
"ก็คุณทำงานหนักเกินไปนี่ครับ" ผมบ่นเบาๆ แล้วถึงมารู้สึกตัวทีหลังว่าดันพูดเป็นเชิงวิจารณ์เขาเสียแล้ว
ผมคลายเนคไท ปลดกระดุมเสื้อให้ ก่อนจะถอดรองเท้าถุงเท้าของเขา ...
จะว่าไปรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำหน้าที่ศรีภรรยาอยู่เลยแฮะ
"เดี๋ยวผมไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้นะครับ"
หน้าเขาแดงมาก ตัวก็ร้อน อย่างนี้คงไม่พ้นจับไข้อยู่แน่ๆ
"จินัตสึ" เขาเรียก นับเป็นครั้งแรกที่เขาเรียกผม ปกติแล้วคนคนนี้จะเอ่ยชื่อผมก็เมื่อมีบทสนทนาเกี่ยวกับผมเท่านั้น
ผมยกอ่างน้ำเล็กๆ ที่ใส่น้ำอุ่นมาครึ่งหนึ่ง พร้อมกับผ้าขนหนูผืนย่อมที่เพิ่งหาเจอในตู้เสื้อผ้าของเขา
"ไปหาหมอกันดีมั้ยครับ" ผมถามพลางย่อตัวลงนั่งที่พื้นข้างๆ
"ก่อนอื่นโทรบอกเลขาฉันให้หน่อยสิ ว่าพรุ่งนี้ฉันคงหยุดงาน"
"รู้สึกแย่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ"
เขาไม่ตอบ คงรำคาญผมอีกเช่นเคย แต่ที่ผมถามเพราะเป็นห่วง คนที่ขยันทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตอย่างเขา
ถ้าขอหยุดงานเองเพราะป่วยนี่ก็แสดงว่าอาการไม่ใช่น้อยๆ ที่จริงอาการแย่แบบนี้น่าจะหยุดตั้งแต่เมื่อวานซืนด้วยซ้ำไป
ผมเช็ดหน้าให้เขา สีหน้าเขาดูเหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย
"ไปหาหมอเถอะนะครับ หรือว่าจะให้ผมโทรเรียก"
ผมรู้ว่าเขายังไม่หลับ แต่ดูจากสีหน้าแล้ว คงลืมตาไม่ขึ้นมากกว่า
"ถ้างั้น ไปนอนที่ห้องมั้ยครับ"
ไม่ได้การล่ะ โทรหาหมอดีที่สุดเวลานี้
ผมลุกขึ้นไปคว้าโทรศัพท์ ทว่ามือของเขาไวกว่ายึดข้อมือผมไว้
"ช่วยอยู่ตรงนี้กับฉัน" เขาพูดทั้งที่ยังหลับตา น้ำเสียงคนป่วยนี่
ฟังดูเหงาจับใจ ผมเองก็ไม่เคยเห็นเขาป่วยมาก่อนเลย
ผมนั่งลงกุมมือร้อนๆ ของเขาไว้ ตอนนี้ผมคงทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้เท่านั้น
เกือบ 5 ทุ่ม ผมตื่นขึ้นมา รู้สึกเมื่อยตัวไปหมด
ห้องรับแขกเปิดไฟสว่างจ้า นี่ผมเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ที่น่าอายยิ่งกว่าคือผมใช้หน้าท้องมาซาฮิโระซังซึ่งกำลังป่วยอยู่เป็นหมอนหนุนเสียเต็มๆ
พวกเราหลับไปทั้งที่ยังจับมือกันอย่างนั้นหรือ
ผมแกะมือออกจากมือมาซาฮิโระซัง ก่อนออกไปทำอาหาร
ถึงแม้จะดึกไปหน่อย แต่เพราะยังไม่ได้กินมื้อเย็น จึงรู้สึกทรมานในกระเพาะขึ้นมานิดๆ
จริงสิ... ข้าวต้มของมาซาฮิโระซังด้วย ผมตัดสินใจเปลี่ยนแผน ตั้งหม้อต้มข้าวทันที
ส่วนตัวเองคงต้องกินบะหมี่ถ้วยไปก่อน เพราะหิวเหลือเกิน
ผมเข้าไปดูอาการเขาอีกครั้งว่าจะตื่นขึ้นมากินข้าวต้มรอบดึกไหวหรือไม่
เขางัวเงียลุกขึ้นมา แล้วเดินดิ่งเข้าห้องนอนโดยไม่ได้สนใจใคร
ผมจัดข้าวต้มใส่จานเตรียมยกไปให้เขาในห้อง ทว่าสักพักเจ้าตัวก็ออกมาในชุดนอนเรียบร้อย
"ทานในห้องดีกว่านะครับ"
เขาไม่ตอบ นั่งลงที่โต๊ะ
ผมหลบไปในครัว ตั้งใจจะไปงาบบะหมี่ถ้วยที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งหลังจากที่กินไประหว่างต้มข้าว
ป่านนี้มันคงอืดได้ที่แล้วกระมัง
"จินัตสึ" ยังไม่ทันที่บะหมี่จะเข้าปาก ผมก็ถูกเรียกอีกแล้ว
รู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก
ผมโผล่หน้าออกไปดูเผื่อว่าเขาอาจจะต้องการอะไร
"ทานข้าวรึยัง" เขาถามเสียงอย่างคนคัดจมูก ผมนึกขำเพราะฟังดูคล้ายๆ
กับเขาร้องไห้
"ไม่ต้องห่วงครับ ผมกำลังทานอยู่"
"ทำไมไม่มานั่งด้วยกันล่ะ" เป็นครั้งแรกที่เขาสบตาผม น่าเสียดายที่สายตานั้นเลื่อยลอยด้วยพิษไข้
"มานั่งด้วยกันสิ"
ผมอิดออดอยู่พักหนึ่ง ปกติผมก็ทานของผมในครัวอย่างนี้แหละ ผมมักจะทานข้าวมื้อเช้าทีหลัง
แต่ทานมื้อเย็นก่อน ดังนั้นมื้อเช้าถ้านั่งทานบนโต๊ะจะรู้สึกเฉยๆ
แต่มื้อเย็นให้ตั้งโต๊ะแล้วทานก่อนเขากลับมาก็รู้สึกแปลกๆ เลยมานั่งทานในครัวดีกว่า
สบายใจดี
ในที่สุดผมก็ยกถ้วยบะหมี่มาอย่างอายๆ
"ทานอะไรน่ะ แค่นั้นจะอิ่มเหรอ"
"ครับ" ผมพยักหน้า
เขาคีบฟักทองใส่ถ้วยบะหมี่ "คีบให้คงไม่ติดหวัดหรอกนะ"
"แต่ว่า..." ผมอยากจะแย้ง เพราะบะหมี่ถ้วยกับฟักทองเนี่ย
มัน....
"ว่าไงล่ะ ทำไมไม่กิน ถ้าเธอไม่ชอบไปตักข้าวต้มมากินกับฉันดีกว่า
บะหมี่ถ้วยเอาไว้ตอนฉุกเฉิน"
ผู้ชายคนนี้... พอป่วยแล้วพูดมากพิกล อย่างไรก็ตามอาการแบบนี้ทำเอาผมหัวใจพองโตยังไงบอกไม่ถูก
ผมกินฟักทอง แล้วซดบะหมี่จนหมดถ้วย รู้สึกประหม่าอย่างไรไม่รู้ นี่เขาจะรู้หรือเปล่าว่ามือผมสั่นอยู่
"ไปตักข้าวมาสิ" เขาสั่ง
"ไม่ล่ะครับ ผมอิ่มแล้ว"
"กินแค่นั้นเองเหรอ"
ผมพยักหน้า เขาดูสีหน้าดีขึ้นหลังจากที่ได้ทานข้าวต้มไปแล้ว
"รู้สึกดีขึ้นรึเปล่าครับ"
"อืม... ข้าวต้มอร่อยมาก ขออีกชามได้มั้ย"
เป็นครั้งแรกที่เขาชม เขาป่วยมากเกินไปแล้วล่ะ... ผมคิด
ผมตักข้าวให้เขา คงเพราะได้พักเมื่อครู่ อาการจึงดีขึ้น พรุ่งนี้เขาคงจะหาย
หลังจากกินข้าวเสร็จ พวกเราก็แยกย้ายเข้าห้องนอน วันนี้ถึงมาซาฮิโระซังจะป่วย
แต่ผมก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก