Surechigai no kataomoi
ตอนที่ 05
ผมตื่นนอน อาบน้ำแต่งตัว
แล้วออกมาเตรียมอาหารเช้าตามปกติ ทว่าเลยเวลาอาหารเช้ามาตั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว
เขายังไม่มีวี่แววว่าจะออกมาจากห้อง
ผมตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปดู มาซาฮิโระซังยังนอนอยู่บนเตียง หน้าแดงเพราะพิษไข้
เสียงหายใจฟังดูทรมานพิกล
หวา... ตัวร้อนจี๋เลย ผมรีบโทรศัพท์ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด แล้วเตรียมน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้
20 นาทีต่อมา คุณหมอก็มาถึง
"ไข้หวัดธรรมดาน่ะครับ" หมอตอบ "แต่ดูคนไข้จะไม่ได้พักผ่อน
ร่างกายอ่อนแอเลยเป็นหนัก โชคดีที่ไม่ได้เป็นภูมิแพ้ ฤดูนี้คนเป็นกันมาก
ยังไงก็รักษาตัวนะครับ เดี๋ยวผมจะจัดยาให้ เดี๋ยวคุณตามไปรับที่โรงพยาบาลแล้วกัน"
ผมไปส่งหมอที่ลิฟท์ แล้วกลับเข้าห้องมาจัดการในบ้านให้เรียบร้อย
เริ่มจากยกอาหารมาให้มาซาฮิโระซังในห้อง เช็ดตัวให้เขา เก็บกวาดครัวแล้วจึงออกไปรับยาที่โรงพยาบาล
จริงสิ... โรงเรียน... ลืมไปเลย แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยส่งข้อความไปบอกเพื่อนก็ได้
มาซาฮิโระซังตื่นมาอีกทีตอนบ่ายโมง ทานอาหารกลางวันแล้วนอนต่อ
แม้ไข้จะลดแล้ว แต่ท่าทางอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่
"ปวดหัว" เขาบ่น
ผมเข้าไปแตะหน้าผาก ทว่ามือใหญ่ของเขาคว้ามือผมไว้
"มาซาฮิโระซัง... ผมจะไปหยิบยามาให้นะครับ คุณทานยาแล้วเดี๋ยวผมจะได้ไปทำอาหาร"
เขาไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาขึ้น แต่ผมรู้สึกว่ามีน้ำตาซึม ผ่านขอบตาของเขาออกมา
ผมนั่งลงที่ขอบเตียง ลูบเส้นผมสีดำเป็นเงาของเขา เวลาป่วยเหมือนเด็กขี้อ้อนเหมือนกันนะ
ถ้าเวลาปกติเขามาอ้อนผมแบบนี้ล่ะก็ ผมคงยอมทำทุกอย่างเพื่อเขาได้เลยกระมัง
สักพักเขาคงหลับสนิท ผมจึงค่อยๆ แกะมือเขาออก ก่อนที่จะไปหุงหาอาหารเสียที
ระหว่างที่รอข้าวสุก ผมก็กลับไปปลุกเขาขึ้นมากินยาก่อนอาหาร เขางัวเงียขึ้นมากินยาราวกับยังไม่ได้สติ
แล้วล้มตัวลงนอนต่อ สภาพแบบนี้เหมือนไม่ใช่มาซาฮิโระซังคนเดิมเลย
ผมรู้สกสงสารจับใจ อยากร้องไห้ออกมา นี่ถ้าไข้มาอยู่ที่ผมแทนได้ล่ะก็
คงจะดีไม่น้อย
หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็เช็ดตัวให้เขา รู้สึกเขินๆ อยู่เหมือนกัน
เช็ดไปพลางก็มือไม้สั่น พอเช็ดช่วงบนเสร็จก็เก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูก
พูดกับตัวเองคนเดียวว่า ไม่เป็นไรน่า... ผู้ชายเหมือนกันนี่นา ยังไม่ทันลงมือ
เขาก็ดันตื่นขึ้นมาซะก่อน แหม...จริงๆ แล้วรู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกัน
เขาบอกว่าจะเข้าห้องน้ำ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ
"แต่เมื่อกี้ผมเช็ดตัวให้คุณไปแล้ว..."
"ขอบใจนะ แต่ฉันไม่รู้สึกไข้แล้ว รู้สึกอยากอาบน้ำมากกว่า"
ผมไม่ได้แย้งอะไร ถ้าเจ้าตัวยืนยันอย่างนั้นล่ะก็... พอคิดอย่างนั้นผมก็แยกออกไปเก็บกวาดในครัว
ทำธุระส่วนตัวบ้างเหมือนกัน
เข้ามาในห้องเขาอีกที เขาก็นอนแล้ว ผมตั้งใจว่าจะเข้ามาปิดไฟเฉยๆ
แต่คิดไปคิดมาเข้ามานั่งอ่านหนังสือเฝ้าไข้ก่อนดีกว่า เมื่อกี้ฝืนอาบน้ำไปอย่างนั้น
สังหรณ์ใจอย่างไรไม่รู้
แล้วลางสังหรณ์ของผมก็เป็นจริง ประมาณตี 1 เศษๆ ผมโงหัวจากโต๊ะเขียนหนังสือ
เพราะเสียงของเขา ผมรีบเข้าไปดู
... แย่ล่ะ ไข้กลับ แถมเพ้อตลอดว่าหนาว
ผมรีบกุลีกุจอหยิบยาแก้ไข้ แล้วปลุกเขาขึ้นมากินยา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายตัวใหญ่ๆ
ท่าทางสุขุมอยู่เป็นนิจอย่างเขา เวลาป่วยจะดูอ่อนแอได้ขนาดนี้
ผมห่มผ้าให้ ก่อนจะปิดไฟที่หัวเตียง ทว่ามือร้อนๆ ของเขาเอื้อมมาจับผมไว้
"มีอะไรรึเปล่าครับ" ผมถาม
"ช่วยนอนตรงนี้ด้วยกันหน่อยสิ" เขาทำสายตาวิงวอน... ผมเข้าข้างตัวเอง
จริงๆ แล้วตาเขาดูเหม่อลอย มีน้ำตาคลออยู่เล็กน้อยด้วยพิษไข้ต่างหาก
"แต่ว่า" ผมเตรียมแย้งด้วยความเกรงใจ แต่แล้วก็แพ้สายตาของคนป่วย
ผมสอดตัวลงใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับเขา แม้เตียงจะกว้าง แต่ผมก็รู้สึกถึงไอร้อนของเขาซึ่งนอนหันหลังให้ผม
ผมมองด้านหลังของเขา ... รู้สึกเปลี่ยนไปจากทุกทีเล็กน้อย ต้องขอบคุณไข้หวัดที่ทำให้ผมได้ใกล้ชิดเขามากขึ้น
แต่ผมก็เข้าใจนะ เวลาที่มีไข้น่ะ มนุษย์ทุกคนล้วนอ่อนไหวผิดปกติทั้งนั้น
ผมยังจำได้ว่าตอนที่ผมไม่สบายต้องนอนซมอยู่ที่บ้าน ผมงอแงขอนั่นขอนี่จากคุณน้าตั้งหลายอย่าง
พอตื่นขึ้นมาหาใครไม่เจอก็นึกน้อยใจที่ไม่มีใครมาอยู่เป็นเพื่อน
น้อยใจกระทั่งเขา...ซึ่งไม่ได้มาเกี่ยวอะไรเลย ดังนั้นผมคิดว่านี่คงไม่ใช่โอกาสที่ดีในการพัฒนาความสัมพันธ์ของผมกับเขาสักเท่าไหร่
ผมจะพยายามดูแลเขาดังเดิม ไม่ฉวยโอกาสอะไรทั้งสิ้น
พอคิดดังนั้นแล้ว ผมก็พลิกตัวหันหลังให้เขา พยายามข่มตานอน ทว่ายังไม่ทันที่จะรู้สึกง่วง
เขาก็พลิกตัวเข้ามากอดซบที่หลังของผม
ตอนนั้นผมน่าจะดีใจถ้าไม่รู้สึกถึงอุณหภูมิร่างกายของเขาเสียก่อน
ผมหันกลับไป รู้สึกว่าเขากำลังหายใจหอบ เหงื่อซึมตามไรผมและใบหน้า
แสงจากภายนอกที่ผ่านหน้าต่างมาทำให้เห็นคิ้วที่ขมวดแทบจะติดกันของเขา
เขากำลังต่อสู้กับความเจ็บป่วยสินะ...
ผมขยับตัวเพื่อจะกอดเขา รู้สึกว่าแผ่นหลังนั้นชื้นไปหมด
เขายังเพ้อว่าหนาว... ตัวสั่นเสียจนผมนึกกลัว
ผมลูบเส้นผมเขาเบาๆ ทำอะไรไม่ถูก... เวลานี้อยากลุกขึ้นไปเช็ดตัวลดไข้ให้เหลือเกิน
แต่ติดตรงที่เจ้าตัวกอดผมแน่นซะขนาดนี้
สักพักเขาก็หายใจเป็นปกติ อาการสั่นก็บรรเทาลง... เขาคงหลับไปแล้ว
ทว่าในสภาพแบบนี้ยากเหลือเกินที่จะให้ผมข่มตาหลับได้ลง
ผมซุกหน้าลงบนเส้นผมอ่อนนุ่มของเขา นี่น่ะหรือคนที่ผมเฝ้ามองมาตลอดนับตั้งแต่วันที่เข้ามาอยู่ในบ้านคิโนะมิยะ
ไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าตอนนี้เขาจะมาอยู่ในอ้อมกอดนี้ คิดๆ ไปก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา
เขาเคยรู้ถึงความรู้สึกของผมบ้างหรือเปล่านะ ตลอดเวลาผมได้แต่ลอบหันไปมองด้านหลังทุกครั้งที่เราเดินสวนกันอย่างเงียบๆ
ในบ้าน ผมเคยมีตัวตนอยู่ในใจเขาหรือเปล่านะ คิดแล้วน้ำตาก็พาลจะไหลออกมา
ความรู้สึกรักข้างเดียวเป็นอย่างนี้นี่เอง ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยนึกหวังอะไรเลยสักนิด
เพราะรู้สึกว่าเขาอยู่แสนไกล... ไกลเกินที่ผมจะเอื้อมถึง ทว่าในตอนนี้ผมกลับรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง
ผมรู้ตัวว่ากำลังสร้างความหวังให้ตัวเอง อาจเป็นเพราะความเจ็บป่วยของเขาได้กัดกร่อนกำแพงที่กั้นระหว่างเรากระมัง