My aliens friends
ตอนที่ 3
"อือ
." ชัยยกมือกุมหน้าผากด้วยความเจ็บปวด
เขาเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว หลังจากลุกขึ้นมานั่งได้เรียบร้อย เขาก็สำรวจสภาพรอบตัว
ยานเหมือนถูกกระแทกกับพื้นอย่างแรง ฝุ่นคลีคละคลุ้ง เศษกระจกเกลื่อนตามพื้น
มิธคอมพิวเตอร์หลักสภาพดูยับเยิน สายไฟห้อยระโยงระยาง เขารีบมองหาน้องชาย
"แสน" เขาประคองร่างเล็กที่ไม่ได้สติขึ้นมา เอามือประคองใบหน้าเล็ก
ตบหน้าเบาๆ สักพักร่างเล็กก็เริ่มขยับตัว
"พี่
.เรายังไม่ตายใช่ไหม" ผมรู้สึกปวดหัวมาก สงสัยคงกระแทกกับผนังยานอย่างแรง
"พวกเราอยู่ที่ไหนเนี่ยพี่" ผมถามต่อพยายามมองไปรอบๆ
"คงอยู่ที่เอรันเทร่าแน่
.ไม่รู้ว่าจะมีคนมาตามจับตัวพวกเราหรือเปล่า"
พี่พูดอย่างหมดอาลัยตายอยาก
"แล้วฟล็อกล่ะพี่" ตอนนี้ร่างกายผมรู้สึกดีขึ้น ผมลุกขึ้นยืน
เราสองคนมองหาฟล็อก
"gjkodakejhgohgadekl" เสียงพูดประหลาดดังจากข้างหลัง
พวกเรารีบหันไปมอง ก็เห็นฟล็อกยืนอยู่ ท่าทางเขาก็บาดเจ็บไม่น้อยเหมือนกัน
ที่ศีรษะมีเลือดสีส้มไหลย้อยลงมา ฟล็อกพูดอะไรไม่รู้รัวขึ้นมาอีกชุด
"kgoaikdghoieglhbisaw"
"เกิดอะไรขึ้น นายพูดอะไรน่ะ" พี่ชายผมถามซ้ำ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถฟังฟล็อกออก
ฟล็อกเองก็อึ้งไปเหมือนกัน แต่แล้วเขาก็เหมือนนึกอะไรได้ เขาเดินเลยไปที่คอมพิวเตอร์ใหญ่กลางยาน
รื้อค้นอะไรอยู่สักพักก็กลับมาพร้อมกับสิ่งที่เหมือนกำไลสองอัน เขาเอามันมาคล้องไว้ที่ข้อมือพวกเรา
กดสวิตซ์เปิดอะไรสักอย่าง
"เป็นไง เข้าใจผมแล้วใช่ไหม" ฟล็อกพูดออกมา "เข้าใจหรือเปล่า"
เขาถามย้ำ
"เข้าใจ เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ" พี่ผมงงมาก
"นี่คือเครื่องแปลภาษานะ ก่อนหน้านี้ที่เราคุยเข้าใจก็เพราะมีมิธอยู่
มิธส่งคลื่นความถี่ของภาษาผมเข้าไปสู่สมองของคุณ เหมือนเราสื่อสารผ่านกันทางจิต
แต่ตอนนี้สงสัยมิธจะเสียเสียแล้ว เราเลยไม่สามารถสื่อสารกันได้ นี่เป็นเครื่องสื่อสารรุ่นเก่าหน่อยน่ะ
แต่ก็ยังใช้ได้" ฟล็อกอธิบายให้ฟัง "พวกเราไม่มีใครบาดเจ็บใช่ไหม"
"เอ่อ พวกผมนะ ไม่เป็นไรหรอก แค่เคล็ดขัดยอกเท่านั้น แต่ฟล็อกหัวแตกนี่"
ผมบอกเขา
"ไม่เป็นไรหรอก แผลเล็กน้อยน่ะ ออกไปสำรวจข้างนอกกันหน่อยไหม
บรรยากาศของเอรันเทร่าเหมือนกับโลกน่ะ" ฟล็อกบอกผมยกมือขึ้นเช็ดเลือด
"ไม่ได้นะ ต้องทำแผลก่อน" พี่ผมไม่ยอม "แผลเล็กน้อยก็จริง
แต่ถ้าติดเชื้อมาจะวุ่น ไม่มียาก็ต้องเอาน้ำสะอาดล้างแผลก่อน"
พูดจบพี่ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตยื่นส่งให้ฟล็อก
วิวทิวทัศน์ภายนอกยานนั้น ตอนก่อนยานจะตก ผมยังเห็นตึกรูปทรงประหลาดเต็มไปหมด
แต่ยามนี้ เบื้องหน้าที่ผมเห็นเป็นเพียงทุ่งโล่งกว้างสุดลูกหูลูกตา
มีก้อนหินใหญ่วางเรียงรายโดยรอบ มีต้นไม้ขึ้นอยู่เป็นระยะ บรรยากาศเงียบวังเวง
"อะไรกันเนี่ย นี่เรามาตกส่วนไหนของเอรันเทร่ากัน
.."
ผมชักเริ่มสับสน หันไปหาฟล็อก แต่เมื่อเห็นสีหน้าและสายตาของฟล็อกที่แสดงความประหลาดใจมากกว่าผม
ทำให้ผมคิดว่าเขาเองก็งงเหมือนกัน
"เป็นไปไม่ได้" เขาอุทานเสียงดัง "นี่ไม่ใช่เอรันเทร่า!!!
เอรันเทร่าไม่เคยมีทุ่งโล่งกว้างใหญ่ขนาดนี้"
"แล้วที่นี่มันที่ไหนกันฟล็อก พวกเราตกมาที่เอรันเทร่าดาวนายชัดๆ
!!" พี่ผมถาม
"พวกเราอาจจะโดนแรงเหวี่ยงของราเรีย ทำให้วาร์ปไปที่ดาวอื่นก็ได้"
เขาให้เหตุผลง่ายๆ
"แล้วนี่พวกเราจะกลับบ้านยังไง"
"ถ้าซ่อมมิธได้พวกเราก็กลับได้
.ก่อนที่จะมีใครมาจับพวกเราไป"
ฟล็อกบอก
"แล้วนายคิดว่าต้องใช้เวลาซ่อมกี่วันกัน.." พี่ผมถาม ตอนนี้ฟล็อกอึ้งไป
"เอ่อ
ผมไม่รู้วิธีซ่อมน่ะ
" ฟล็อกพึมพำ
"อะไรน้า
..าาาาาา เจ้าไม่รู้วิธีซ่อมงั้นเรอะ" พี่ผมโมโหสุดขีด
ตะคอกใส่ฟล็อกไป
"ใช่สิ ก็ผมไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์นี่นา ยานลำนี้ผมก็เพียงแค่ขโมยมา
จะมารู้วิธีซ่อมได้ไง" ฟล็อกเองก็เริ่มโมโหเหมือนกัน
"พี่ พี่ก็ซ่อมซะเองสิ พี่เองก็เป็นอัจฉริยะด้านเครื่องยนต์ไม่ใช่เหรอ"
ผมเตือนสติ พี่ผมเหมือนนึกขึ้นได้ เดินเข้าไปดูที่เครื่องคอมพิวเตอร์
"ไม่ได้ พี่ซ่อมไม่ได้หรอก วิทยาการของดาวนี้ล้ำหน้าเกินไป
แผงวงจรพี่ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน พี่ไม่สามารถทำได้หรอก" พี่ผมพูดอย่างท้อแท้
"นั่นสิ วิทยาการของโลกนะ เขาเรียกว่าไร้ความเจริญ" ฟล็อกกระทบกระเทียบ
เขาเองก็โมโหชัยที่ตะคอกใส่เขา
"ฟล็อก!!" พี่ชายผมโกรธจนกำมือเป็นเส้นเลือด "เรื่องวุ่นๆทั้งหมดเกิดขึ้นก็เพราะนายแท้ๆ"
ตอนนี้คราบด็อกเตอร์หนุ่มผู้หล่อเหลาเพียบพร้อมของพี่ผมแทบจะไม่มีเหลือแล้ว
เสื้อผ้าที่ใส่ก็ยับเยิน ขาดรุ่งริ่ง แถมผมที่หวีเป็นทรงก็ยุ่งเหยิงเป็นรังนกกระจอก
ฝุ่นผงคลีภายนอกจับตามใบหน้าและเส้นผม ดูรุงรังที่สุด ผมเองก็สภาพไม่แพ้กัน
พี่ผมเดินเข้าไปกระชากคอปกเสื้อของฟล็อก เงื้อหมัดทำท่าจะต่อย ผมเองเห็นท่าไม่ทีเข้าไปดึงแขนพี่
ฟล็อกเป็นมนุษย์ต่างดาวที่มีรูปร่างบอบบางอยู่แล้ว แถมหน้าตาสวยราวกับผู้หญิง
ผิวขาวราวกับแก้ว ผมกลัวว่าถ้าต่อยเข้าไปจริงๆ ฟล็อกจะตายเสียก่อน
แต่แล้วพวกเราทุกคนก็ต้องหยุดชะงักทุ่มเถียง ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
ชายร่างใหญ่แปดคนขี่หลังตัวประหลาดชนิดหนึ่ง คอยาวมาก หน้าตาคล้ายกิ้งก่ามีเขาแหลมสีแดงขึ้นอยู่สองข้างหัว
ขาใหญ่ยาวเกือบเมตรครึ่ง หางยาวอยู่ด้านหลัง ยืนรายล้อมพวกเขาอยู่
บริเวณนั้นมืดไปถนัดตาด้วยเงาที่ทอดยาวลงมา ทุกคนถืออาวุธคล้ายหอก
"พวกเจ้าเป็นใครกัน แล้วสิ่งนั้นคืออะไร" ชายหนุ่มร่างใหญ่
และแต่งตัวดีที่สุดชี้ไปที่ยานอวกาศสีเงินของฟล็อก
"เอ่อ
นั่นคือยานอวกาศน่ะ บังเอิญพวกเราหลงทางมาที่นี่ พวกท่านเป็นใครกันหรือ"
"ยานอวกาศ
..คืออะไร มันคือพาหนะเดินทางของเจ้างั้นรึ"
ชายคนนั้นถามด้วยความสงสัย
"ใช่แล้ว ยานพวกเราตกนะ พวกท่านมีนักวิทยาศาสตร์ที่สามารถซ่อมมันได้ไหม"
พี่ผมถามด้วยความหวัง
"อะไรคือนักวิทยาศาสตร์" ชายคนนั้นถามอีก ถึงตอนนี้พี่ผมอึ้งบ้าง
เขามองดูการแต่งกายของคนที่รายล้อมเขาพร้อมกับสภาพแวดล้อมก็กล้ำกลืนคำพูดไว้
ดาวดวงนี้ดูห่างไกลความเจริญเสียยิ่งกว่าโลกอีก
"แต่ท่านพูดภาษาเดียวกับผมนี่ หรือว่าดาวดวงนี้เป็นอาณานิคมของเอรันเทร่า"
ฟล็อกถามด้วยความประหลาดใจ ชายหนุ่มคนนั้นทำสีหน้างง
"นี่คือเอรันเทร่า" เขาตอบด้วยความสงสัย
"บ้ารึ ผมเป็นชาวเอรันเทร่าชัดๆ นี่ไม่ใช่เอรันเทร่า เอรันเทร่าไม่เคยมีทุ่งกว้างใหญ่ขนาดนี้"
ฟล็อกเถียง
"ข้าเองก็เป็นชาวเอรันเทร่า เอรันเทร่าเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ข้าจำความได้"
เขาคำรามด้วยความโมโห กระโดดลงจากหลังตัวประหลาด
"แต่เอรันเทร่าที่ผมจำความได้ก็ไม่ใช่อย่างนี้เช่นเดียวกัน"
ฟล็อกไม่ยอมแพ้ แต่ทันที่เขาจะเถียงอะไรต่อ ร่างใหญ่ก็ลงมายืนตรงหน้า
มือหนาจับคางเขาเงยขึ้นพร้อมทั้งจับบิดไปซ้ายทีขวาที ฟล็อกพยายามสะบัดหน้าหนี
"เจ้าเองก็เป็นชาวเอรันเทร่าตระกูลหลักนี่ ผมสีเขียวกับตาสีทองเป็นหลักฐานได้
แต่เจ้าสองคนนั้นไม่ใช่" เขาชี้มาที่ผมกับพี่ ตอนนี้ผมสองคนยืนติดกัน
ตัวสั่นด้วยความกลัว พวกผมจะต้องถูกฆ่าตามที่ฟล็อกเคยบอกหรือเปล่าเนี่ย
พวกผมสังเกตดูพวกคนที่ล้อมเรา ทุกคนมีผมสีฟ้าหรือสีเขียวคล้ายกับฟล็อก
บางคนตามีสีม่วงหรือสีแดง แต่ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนคือขนาดร่างกาย
ร่างกายของฝ่ายตรงข้ามสูงใหญ่กว่าฟล็อกเกือบเท่าตัว
"แต่เจ้าช่างดูอ่อนแอนัก ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าชาวเอรันเทร่าตระกูลหลักจะมีร่างกายที่บอบบางราวกับอิสตรี"
ชายคนนั้นพูดดูถูกฟล็อก
"บ้ารึ เพื่อนที่ผมรู้จักก็ไม่มีใครตัวใหญ่กว่าผม
ชาวเอรันเทร่าที่ผมรู้จักไม่มีใครตัวใหญ่เท่าเจ้า"
ฟล็อกไม่ยอมแพ้ พี่ผมได้แต่ส่ายหัว ทำไมฟล็อกถึงเป็นเด็กหัวรั้นไม่ยอมแพ้ใครอย่างนี้นะ
เห็นชัดๆว่ารูปร่างต่างกันกว่าครึ่ง ยังไปชวนทะเลาะกับเขาอีก นิสัยอย่างนี้นี่เองทำให้ขโมยยานหนีออกมา
ดูจากนิสัย ฟล็อกน่าจะอายุไม่ต่างจากน้องชายเขาเท่าไหร่
ชายร่างใหญ่นั้นส่ายหัว เขาขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับฟล็อก เขาเบนความสนใจไปที่ชายหนุ่มผมดำตาดำสองคน
"แล้วพวกเจ้าล่ะ มาจากไหนกัน พวกเจ้าไม่ใช่ชาวเอรันเทร่านี่"
เขาถาม
"เอ่อ พวกเรามาจากโลก มาโดยยานอวกาศของฟล็อก แต่ด้วยอุบัติเหตุ
ทำให้ยานพวกเรามาตกที่นี่" พี่ผมอธิบาย ผมได้แต่เกาะหลังพี่ยืนอยู่
"โลก
มันอยู่ส่วนไหนของอารันเทร่ารึ"
"เอ่อ
โลกเป็นดาวที่อยู่ในอวกาศน่ะ ไม่ได้อยู่ในเอรันเทร่า"
ผมอธิบาย โผล่หน้าออกมาจากหลังพี่
"อวกาศ
เจ้าหมายถึงจากท้องฟ้าใช่ไหม" ชายคนนั้นถาม ตาเป็นประกาย
"ใช่
ก็จากดวงดาวที่เห็นมากมายบนท้องฟ้านั่นแหละ เรามาจากดาวดวงหนึ่งในนั้น"
ผมอธิบายต่อ แต่หลังจากฟังได้ไม่นาน ชายบนหลังตัวประหลาดหลายคนเริ่มหัวเราะ
ชายคนที่ถามผมก็อมยิ้ม ผมจึงรู้สึกตัวว่าพวกเขาไม่ได้เชื่อผมเลย
"ผมพูดความจริงนะ" ผมพ่นลมด้วยความโมโห
"เจ้าเป็นนักแต่งนิทานที่จินตนาการสูงมาก" ชายนั้นพูด
แต่แล้วสายตากลับเปลี่ยนเป็นเป็นดุดัน "เราไม่รู้หรอกว่าเจ้ามาจากไหน
แต่เราต้องคุมตัวพวกเจ้าไปตัดสินโทษที่ราเรีย-เมืองหลวงของเอรันเทร่า"
พูดจบ หอกหลายเล่มก็ชี้มาที่พวกเรา ผมจับพี่ชายไว้แน่น
"โกหก !!!" เสียงตะโกนดังมาจากทางฟล็อก "ราเรียเป็นเมืองหลวงของเอรันเทร่าเมื่อตอนสมัยยุคปฏิวัติ
ปีที่ 18 นี่นา ปีนี้มันปี 2516 ไม่ใช่รึไง" เขาหน้าซีด ถูกบังคับเขาเดินไปรวมกลุ่มกับชัยและแสน
ชายร่างใหญ่ที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้า หันมายิ้มเนือยๆให้เขา
"เจ้าเองก็เป็นนักแต่งนิทานอีกคนรึไง ก็นี่แหละเอรันเทร่าหลังสงครามปฏิวัติ
ปีที่ 22!!!"