01      02      03      04      05      06      07      08       09       10       11       12       13       14       15       16      17
Peebee

My aliens friends

ตอนที่ 5

พวกเราสามคนตื่นตะลึงกับบรรยากาศในราเรียมาก หลังจากที่พวกเราเหยียบย่างเข้ามาที่เมืองหลวงสำคัญแห่งนี้ ทุกผู้คน บรรยากาศ สัตว์เลี้ยง บ้านเรือน ล้วนแตกต่างจากโลกที่พวกเรามาโดยสิ้นเชิง ตอนผ่านประตูมีทหารกลุ่มหนึ่งออกมาต้อนรับอาร์ดีนและคนของเขา พร้อมกับบอกเรื่องที่พักและอาหารที่เตรียมไว้รับรอง
"พวกเจ้าก็คงจะหิวกันแล้ว เรารับประทานอาหารกันก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยแยกย้ายเข้าที่พัก" อาร์ดีนหันมาบอกทุกคน พวกเราพยักหน้าเห็นด้วย
"ส่วนเรื่องที่พักของพวกเจ้าทั้งสามคน พวกเจ้าต้องรอจนกว่าจะพิพากษาเสร็จสิ้น ตอนนี้พักห้องเดียวกับชั้นไปก่อน" พูดจบอาร์ดีนก็เดินนำพวกเราตรงไปทางห้องอาหาร

การตัดสินของสภาส่วนกลางดำเนินอย่างรวดเร็ว โดยมีอาร์ดีนเป็นคนเล่าเหตุการณ์ระหว่างที่เจอกับพวกเขาให้สภาฟัง ผลสรุปก็คือพวกเราสามคนได้มีโอกาสตามอาร์ดีนกลับไปยังบานาเดียด้วยกันหมด
เหตุผลสำคัญที่อาร์ดีนเดินทางมายังราเรียคือต้องการขอกำลังทหารไปต่อกรกับพวกชนเผ่าหลังหุบเขาบาร์แดน ที่มีพรมแดนติดต่อกับบานาเดียหัวเมืองทางเหนือมากที่สุด ช่วงนี้ชนเผ่าหลังหุบเขาบาร์แดนเริ่มสะสมกำลังและอาวุธคนพวกนี้มีจำนวนไม่มากแต่ว่ามีนิสัยโหดร้าย เขาเองไม่แน่ใจว่าชนเผ่าหลังหุบเขาบาร์แดนจะเข้ามาโจมตีเมื่อไหร่ และยิ่งบานาเดียเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำของเอรันเทร่าอีกด้วย
"แสน มานี่หน่อยสิ" อาร์ดีนเรียกผมเข้าไปหา พร้อมกับยื่นกล่องๆหนึ่งเข้ามาให้ผม
"อะไรเหรอครับ" ผมรับกล่องมาเปิดดู ข้างในเป็นสร้อยข้อมือสีเงินเส้นเล็กๆเส้นหนึ่ง มีแถบจารึกอักษรประหลาดๆอยู่ตรงกลาง
"ชั้นให้แสน ถือเป็นมิตรภาพในการรู้จักกันก็แล้วกัน" อาร์ดีนพูดพร้อมกับจ้องมาที่ผม
"เอ่อ ขอบคุณครับ แต่ว่า...ผมเกรงใจ.." ผมยังกลัวๆอยู่ ถึงจะรู้จักอาร์ดีนแล้วก็ตาม แต่ยังไงเขาก็ยังเป็นเหมือนคนแปลกหน้าอยู่ดี แล้วของนี่มีราคาค่างวดรึเปล่าก็ไม่รู้
"ถ้าแสนเกรงใจที่จะรับ ถือว่าแลกกันก็ได้ แสนมีของแลกเปลี่ยนที่เต็มใจจะให้ชั้นหรือเปล่าล่ะ" อาร์ดีนพูดสบายๆ
ผมยืนคิดอยู่สักพัก ก็ยังดีกว่าเอาเขามาเปล่าๆ มีของไปแลก แต่จะเอาอะไรไปแลกล่ะ พยายามสำรวจสมบัติพัสถานของตัวเอง ตอนมาผมมาทั้งชุดนักเรียนเลย กระเป๋านักเรียนก็ทิ้งไว้บนถนนตอนถูกดูดขึ้นมาบนยานฟล็อก
ถึงแม้ตอนนี้เปลี่ยนชุดแล้วก็เถอะ มีแค่ตัวเปล่านี่แหละ
"เอ่อ ผมคงไม่มีอะไรจะแลก...." ผมตอบตามความจริง รู้สึกเหมือนแววตาฝ่ายตรงข้ามสั่นไหววูบหนึ่ง แต่แล้วผมก็นึกขึ้นได้
"ถ้าไม่รังเกียจ แลกกับนาฬิกาผมไหมล่ะ แต่ว่ามันเก่าหน่อยนะครับ" ผมบอกหลังจากก้มมองข้อมือตัวเอง ข้างหนึ่งใส่เครื่องแปลภาษาอยู่ ส่วนอีกข้างเป็นนาฬิกาสายหนังเรือนเก่งที่พี่ซื้อให้เมื่อตอนวันเกิดสองปีที่แล้ว

"แสนเต็มใจให้ชั้นหรือเปล่าล่ะ เก่าหรือใหม่ไม่สำคัญหรอก" อาร์ดีนพูดด้วยความกระตือรือร้น ผมถอดนาฬิกาของผมยื่นส่งให้ คนตรงข้ามหยิบไปพลิกดูด้วยความสนใจ
"ใส่เป็นหรือเปล่าครับ ผมใส่ให้แล้วกัน" ผมจับมืออาร์ดีนมาใกล้ ใส่นาฬิกาให้เขา ดีที่นาฬิกาผมเป็นสายหนัง
สามารถปรับให้พอดีกับข้อมือได้ ข้อมืออาร์ดีนใหญ่กว่าผมแยะ เรียกว่าใส่รูสุดท้ายเลยทีเดียว
"ที่โลกผมใช้สำรับดูเวลาน่ะครับ แต่ผมไม่รู้ว่าที่โลกนี้ดูเวลากันยังไง อาจจะไม่มีประโยชน์สำหรับคุณก็ได้" ผมอธิบายให้เขาฟัง อาร์ดีนรับฟังอย่างสนใจ
"พวกเจ้านี่มีของประหลาดให้ข้าสนใจอยู่เรื่อยเลยนะ ถึงตอนนี้ข้าจะยังใช้ไม่เป็น แต่ข้าก็จะรักษาอย่างดี" พูดจบอาร์ดีนก็หยิบสร้อยข้อมือสีเงินของตัวเองมาใส่ให้ผมบ้าง
"ตัวอักษรตรงกลางสร้อยนี่คืออะไรเหรอครับ เขียนว่าอะไรครับ" ผมถาม
"ก็อักษรเอรันเทร่าน่ะ ไม่มีความหมายอะไรหรอก แต่ถ้าคนของชั้นเห็นสร้อยนี่จะได้ให้ความเคารพเจ้า"
"เหรอครับ" ผมประหลาดใจพร้อมกับรู้สึกสนุก แค่สร้อยเส้นเดียวก็มีคนให้ความเคารพได้ด้วย
"แล้วอาร์ดีนให้พี่ผมกับฟล็อกด้วยหรือเปล่า" ผมถามต่อ ถ้าผมได้พี่กับฟล็อกก็น่าจะได้ด้วยเหมือนกัน
"เอ่อ..บังเอิญมีอยู่เส้นเดียวน่ะ" อาร์ดีนตอบยิ้มๆ วันนี้เป็นวันที่พวกเราต้องเดินทางกลับเอรันเทร่า
ก่อนที่พวกเราจะกลับอาร์ดีนสั่งให้คนของเขาทุกคนดื่มน้ำชนิดหนึ่งที่เรียกว่า โดม่า เป็นน้ำสีเขียวขุ่นๆกลิ่นค่อนข้างแรง มีหลายคนที่ทำหน้าไม่ค่อยอยากดื่มเท่าไหร่
"อี๋ ไอ้น้ำนี่มันอะไรน่ะ กลิ่นแรงมากเลย" ผมถามด้วยความอยากรู้
"ไม่ใช่ของของเด็กน่ะ" อาร์ดีนตอบพร้อมกับดันหัวแสนออกไป
"อ้าว...ทำไมเด็กกินไม่ได้แล้วผู้ใหญ่กินได้ล่ะ กลิ่นก็ไม่ใช่เหล้านี่นา" ผมเถียง ตอนนี้พวกผมกับอาร์ดีนและทหารของเขาค่อนข้างจะสนิทกันแล้ว
"เฮ้อ..เด็กนี่ช่างอยากรู้จริงนะ พวกเราดื่มน้ำเนี่ยเพื่อสะกดอารมณ์ของร่างกายระหว่างออกรบ หรือเดินทาง....จะได้ไม่มีปัญหา" อาร์ดีนเว้นช่วงไป ไม่ค่อยอยากอธิบายต่อ น้ำโดม่านี่จริงๆแล้วเป็นน้ำที่ดื่มเพื่อระงับความอยากทางเพศ เนื่องจากชาวเอรันเทร่าไม่มีข้อจำกัดในการเลือกคู่ ดังนั้นเพื่อตัดปัญหา ถ้าไม่มีความอยากทางเพศซะ นักรบจะได้มีสมาธิ แต่แสนยังทำท่าไม่เข้าใจอยู่ดี ยังดีที่ชัยอยู่ข้างๆ เขาดึงตัวแสนออกไป
"นี่ แสนไม่ต้องอยากรู้มากเรื่องเลย" สำหรับชัยเขาเข้าใจดีทีเดียว เพราะตัวเขาเองก็อายุมากแล้ว
"ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันนะ ในช่วงปีที่ผมอยู่ไม่เคยเห็นมีน้ำโดม่าอะไรนี่เลย" คราวนี้ฟล็อกพูดแทรกขึ้นบ้าง ท่าทางสนใจพอสมควรอาร์ดีนชักเริ่มปวดหัว รู้แบบนี้เขาสั่งให้คนของเขาดื่มน้ำนี่ซะตั้งแต่ในห้องเลยจะดีกว่า ตอนแรกเขาคิดว่าเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างสบาย เสียเวลาประมาณสิบวันไม่ต้องดื่มน้ำโดมาก็ได้ แต่หลังจากเห็นสายตาของนักรบของเขาที่มองฟล็อกกับแสนก็เลยเปลี่ยนใจ.....ดื่มซะดีกว่าจะได้ตัดปัญหา แต่เจ้าเด็กพวกนี้นี่ช่างอยากรู้อยากเห็นซะจริง
"เอาน่า ปีที่เจ้าอยู่เอรันเทร่าเจริญมากแล้วนี่นา ไม่มีสงครามด้วย น้ำนี่ไม่มีคนใช้เลยหายไปแหละ" ชัยตัดบท
ฟล็อกกับแสนเองก็ไม่ได้สนใจมากนักเลยเลิกพูดไป...
การเดินทางค่อนข้างราบรื่น เพียงสามวันพวกเขาก็เดินทางมาถึงจุดที่ยานของฟล็อกตก ยานยังอยู่ในสภาพเดิมทุกอย่าง อาร์ดีนกับคนของเขาช่วยกันดึงยานที่เอียงอยู่ให้ตั้งตรงขึ้นมา ซึ่งก็เสียเวลาพอสมควร พอเสร็จเรียบร้อย ชัยแทบจะกระโจนวิ่งขึ้นยานไปหาปุ่มไฟสำรองอะไรนั่นที่ฟล็อกเคยบอก
"ชั้นขอเข้าไปดูในยานของเจ้าด้วยได้หรือไม่" อาร์ดีนออกปาก ซึ่งพวกผมก็เห็นว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรจึงพยักหน้า แถมเขายังช่วยเหลือพวกเราอีก
พอขึ้นไปบนยานแล้วฟล็อกกับชัยก็เดินออกมาจากกลุ่ม ปล่อยผมกับอาร์ดีนไว้สองคน ยานมีขนาดไม่ใหญ่นักเรียกว่าสี่คนก็ค่อนข้างคับแคบ ตัวยานมีสองชั้น นอกจากชั้นที่พวกผมอยู่ก็ยังมีชั้นบน เป็นส่วนเครื่องยนต์และสมองกลของมิธ
ผมก็พอรู้อยู่บ้างว่าพี่กับฟล็อกต้องการเปิดไฟสำรองให้มิธแต่คงไม่ต้องการให้อาร์ดีนล่วงรู้ด้วย....ผมมองไปทางอาร์ดีนก็เห็นว่ากำลังสนใจกับยานอวกาศของฟล็อกอย่างมาก ทั้งลูบทั้งคลำ ทั้งเคาะ ภายในของยานก็เหมือนกับตอนที่ผมเพิ่งออกไป เพียงแต่ว่าของล้มระเกะระกะ เศษเครื่องยนต์บางส่วนหลุดเห็นแผงวงจรภายใน
"ยานนี่ทำจากวัสดุแปลกมาก จะว่าเหล็กก็ไม่ใช่...แร่อะไรน่ะ.มีความแข็งแกร่งและเหนียวแน่นอีกด้วย" อาร์ดีนพยายามวิเคราะห์วิจารณ์
"ผมก็ไม่รู้หรอก แต่ว่าอาร์ดีนนี่ให้ความสนใจกับเรื่องพวกนี้จังนะฮะ...." ผมพูด ตัวผมเองไม่เคยใส่ใจหรอกว่าอะไรสร้างจากอะไร แค่มีให้ใช้ก็พอ..
"ชั้นก็ต้องใส่ใจสิ พวกนี้อาชีพชั้นนี่ ชาวเอรันเทร่าในบานาเดียน่ะ มีอาชีพหลักคือขุดแร่ ทำเหมือง
ตัวชั้นเองก็มีเหมืองแร่ที่ใหญ่ที่สุดในบานาเดียอยู่ด้วย" อาร์ดีนพูดอย่างภูมิใจ
อย่างสร้อยข้อมือที่ข้าให้เจ้าก็ทำมาจากแร่ที่มีค่าที่สุดในเอรันเทร่า..อัลกาเนียม....สามารถเรืองแสงในยามค่ำคืนได้อีกด้วย อาร์ดีนพูดอวดสรรพคุณของสร้อยให้ผมฟัง แต่พอเห็นฟล็อกเดินมาเขาก็หันไปเรียก ถามสิ่งที่เขาอยากรู้อีกครั้ง
"แร่อะไรนะเหรอ....." ฟล็อกงงกับคำถามของอาร์ดีน "ก็แร่ทั่วๆไปในเอรันเทร่านี่แหละ รู้สึกว่าชื่อฟูทาเดียมอะไรนี่แหละ เอรันเทร่ามีแร่ชนิดนี้มาก ส่งออกจนกระทั่งเป็นดวงดาวที่ร่ำรวยที่สุดในจักรวาลแล้ว"
"ฟูทาเดียมงั้นเหรอ ฟูทาเดียมเป็นแร่ที่แทบไม่มีค่าเลยเลยนี่นา แถมเปราะอีกต่างหาก แต่นี่ยานของเจ้าแข็งแกร่งแล้วยังทนทานอีกด้วย ไม่น่าใช่ฟูทาเดียมเลย" อาร์ดีนพูดอย่างตกใจ
"ผมว่าอาจจะเป็นแร่ตัวเดียวกันแหละ เพียงแต่วิธีผลิตต่างกัน อาจจะมีส่วนผสมของแร่อื่นปนด้วย หรือไม่ก็ขั้นตอนการถลุงต่างกัน" ชัยตอบตามเหตุผล เอรันเทร่าในอนาคตมีเทคโนโลยีก้าวหน้า เรื่องแค่นี้คงไม่ยากอะไร
"การถลุงงั้นเหรอ พูดได้น่าสนใจดีนะ" อาร์ดีนชะงักทำท่าครุ่นคิด "ถ้าเราสามารถหาวิธีการถลุงอย่างที่ชัยบอกได้ พวกเราก็ไม่ต้องกลัวพวกชนหลังหุบเขาบาร์แดนอีกต่อไปแล้ว" อาร์ดีนทำท่าสนใจมาก พึมพำอะไรต่ออีกสักครู่ แล้วก็ชวนพวกเรากลับ

ระหว่างทางชัยรู้สึกว่าฟล็อกแปลกๆไป เงียบขรึมขึ้นและทำท่าไม่สบายใจบ่อยๆ ครั้ง ต่างกับน้องชายเขาที่ทำท่าจะปรับตัวได้แล้ว อาหารของเอรันเทร่าแม้จะแปลก แต่รสชาดก็ไม่เลวทีเดียว
"เป็นอะไรไปน่ะ ฟล็อก" ชัยถาม
"พวกเรากำลังจะทำลายเอรันเทร่าหรือเปล่า" ฟล็อกเอ่ยเบาๆ ชัยยังงงอยู่
"ทำลาย ทำลายตรงไหน....ผมไม่เห็นเข้าใจที่ฟล็อกพูดเลย"
"พวกเราน่ะ มาจากอนาคต ถ้าเราเปลี่ยนแปลงอดีตก็จะส่งผลกระทบถึงอนาคตด้วยใช่ไหม เมื่อวันก่อนผมพูดถึงฟูทาเดียม....ถ้าเกิดอาร์ดีนคิดค้นการแปรธาตุได้ล่ะก็ ผมเองถือว่าเป็นคนทำลายประวัติศาสตร์ของเอรันเทร่าหรือเปล่า" พูดถึงตรงนี้ชัยก็เข้าใจกระจ่างถึงความกังวลของฟล็อก
"ชั้นเองก็คงมีส่วนด้วย ถ้าประวัติศาสตร์ของเอรันเทร่าเปลี่ยนไปจริง แต่ว่าพวกเราจะกลับยุคปัจจุบันที่พวกเรามาได้ยังไงต่างหากสำคัญกว่า ถ้าพวกเรากลับไปไม่ได้ พวกเราก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่นี่เท่านั้นเอง" ชัยอธิบายเรียบๆ เขาเป็นผู้ใหญ่กว่าเลยเก็บความรู้สึกได้ดีกว่า


เมื่อเริ่มเข้าเขตบานาเดีย ทุกคนสังเกตได้ถึงหุบเขาสูงที่รายล้อม ทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่ระหว่างหุบเขา แสงแดดส่องเห็นประกายระยิบระยับเจ็ดสี มีสัตว์ตัวใหญ่รูปร่างประหลาดว่ายน้ำอยู่ในทะเลสาบอีกด้วย เป็นภาพที่แปลกตาพอสมควร อากาศที่บานาเดียไม่เย็นนักแม้จะอยู่สูง บ้านเมืองที่เห็นก็รูปร่างประหลาด ตัวบ้านทำจากวัสดุที่คล้ายหินสีน้ำตาล ก่อขึ้นไปคล้ายกับปิรามิดแต่ว่าไม่มียอดแหลม
ระหว่างทางที่อาร์ดีนพาไป เริ่มมีคนออกมาต้อนรับมากขึ้นตามรายทาง ถึงตอนนี้พวกผมก็รู้สึกว่าพวกเราถูกมองเป็นตัวประหลาดจริงแล้ว ทุกคนที่นี่มีผมสีเขียวไม่ก็สีฟ้า อาจจะมีบางคนออกสีม่วงแดง แต่ก็ไม่ใช่ดำสนิทเหมือนกับพวกผม จำนวนชาวเอรันเทร่าในบานาเดียมี มากกว่าราเรีย เพราะราเรียเป็นแค่เมืองที่มีสภาส่วนกลางเท่านั้น นับเป็นเมืองใหญ่ๆเมืองหนึ่งเลย ผมกับพี่เลยรู้สึกเหมือนแกะดำกลางฝูงยังไงอย่างนั้นแหละ
อาร์ดีนพาพวกเราไปที่ตึกรูปร่างประหลาดขนาดใหญ่ ก่อนที่จะเข้าไปในตึกมีผู้หญิงชาวเอรันเทร่าหน้าตาดีสามคนเอาดอกไม้ร้อยเป็นพวงมาให้พวกเราทุกคนก่อนเข้าไปด้วย ห้องโถงตรงกลางคล้ายมีงานเลี้ยง ชายหญิงหลายคนแต่งตัวดียืนถือแก้วเครื่องดื่ม ดูก็รู้ว่าฐานะแตกต่างจากชาวบ้านที่มาต้อนรับข้างนอก พวกทหารที่มากับพวกเราเดินแยกออกไป บางคนสวมกอดคนที่มารออยู่ บางคนก็จับกลุ่มคุย ไม่ได้สนใจพวกเราเท่าไหร่ อาร์ดีนพาพวกเราสามคนเดินขึ้นไปยังตัวตึกด้านบน ผ่านห้องที่ตกแต่งหรูหราห้องหนึ่ง เขาพาเดินอ้อมผนังแล้วพาเดินออกมาที่ระเบียง ซึ่งสามารถมองลงไปเห็นห้องโถงห้องเดิมได้ ถึงตอนนี้ทุกคนเงียบกริบเงยหน้าขึ้นมอง อาร์ดีนยิ้มให้กับทุกคน
"ในที่สุดพวกเราก็เดินทางกลับมาด้วยความปลอดภัยทุกคน.......ชั้นมีข่าวดีสองข่าวจะแจ้งให้ทราบ" พูดถึงตอนนี้ทุกคนในห้องโถงต่างก็รอฟังอย่างตั้งใจ
"ข่าวแรก การเดินทางไปราเรียเพื่อขอกำลังทหารเพิ่มเติม ทางสภาได้ตกลงจะติดต่อกับเคนน่าหัวเมืองทางตะวันตกในส่งทหารมาช่วยเราภายในสองอาทิตย์นี้" เสียงปรบมือดังกระหึ่ม ทุกคนยิ้มอย่างยินดี
"ส่วนข่าวที่สอง...เกี่ยวกับแขกของชั้น" ถึงตอนนี้เขาหันมาเรียกผมกับชัยแล้วก็ฟล็อกให้เดินเข้าไปหา
"พวกเจ้าอาจจะแปลกใจ สองคนที่ผมสีดำนี้เป็นคนต่างถิ่น และหนึ่งในนั้น" อาร์ดีนจับมือผมชูขึ้นมาก่อนจะพูดต่อ "ชั้นเลือกมาเป็นเมรันอาของชั้น" เสียงฮือฮาดังขึ้นมาจากห้องโถง พวกผมทุกคนก็งงกันอยู่ ว่าเมรันอาที่อาร์ดีนว่าคืออะไร "ส่วนสองคนนี้…" อาร์ดีนหันไปทางพี่ชัยกับฟล็อก "ก็เป็นคู่กัน พวกเขาจะมาอยู่ตำแหน่งที่ปรึกษาแห่งชั้นจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะเรียบร้อย" เสียงฮือฮาเริ่มจางหายไป ทุกคนยิ้มให้อาร์ดีน เสียงหนึ่งตะโกนดังขึ้นมา
"ขอให้ท่านอาร์ดีนมีความสุขตลอดไป" เสียงอื่นเริ่มรับตาม อาร์ดีนยิ้มเดินกลับเข้ามาในห้อง

แนะนำติชมได้ที่บอร์ดนิยายนะคะ...................
1